บทที่ 3
ชาร์ลอตต์ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว ว่าจะไม่หันกลับไปมองภาพข้างหลังอีก เธอเชิดหน้าขึ้น เมื่อออกเดินไปตามทิศทางสู่คฤหาสน์วินเซ้นท์ ความตื่นเต้นยังครอบงําอยู่ในหัวใจ เมื่อได้พบกับแพตทริคโดยมิได้คาดคิดเช่นนี้ และเธอก็ไม่กล้าคิดต่อไปด้วยว่าเขาจะพานางระบําคนนั้นไปไหน
ทันใด เธอก็สัมผัสความเดือดเนื้อร้อนใจที่กําลังเกิดอยู่กับเบตติน่า แล้วก็ได้พบว่าเส้นทางที่ใช้เมื่อลอบออกมาสู่ตลาดนัดแห่งนี้กลายเป็นทางสายเปลี่ยวไปแล้ว มันเต็มไปด้วยตรอกซอกซอยที่ดูจะเหมือน ๆ กันไปหมดทุกแห่ง แม้จะแน่ใจว่ามันจะต้องมีสายหนึ่งที่พากลับไปสู่คฤหาสน์หลังนั้นได้ก็ตาม
เบตติน่ากําลังเช็ดน้ำตา สั่งน้ำมูกที่ลามไหลด้วยความตื่นกลัว
“ฉันรู้แล้วละ...” สาวน้อยร้องออกมาด้วยความตื่นกลัว “เราหลงทางแน่เลย...”
“เงียบ ๆ เถอะน่า” ชาร์ลอตต์ดุให้ “มันจะไปยากอะไร เรากลับไปที่ตลาดกันอีกที แล้วก็ถามทางเขาก็สิ้นเรื่อง”
“แต่เราพูดภาษาเขาไม่ได้นี่” เบตติน่าทักท้วง
“งั้นเราก็ต้องใช้วิธีเดินมันให้ทั่วทุกซอยจนกว่าจะพบถนนสายนั้น” ชาร์ลอตต์ตอบด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกความมั่นใจ ทั้งที่ลึกลงไปในใจแล้วเธอมิได้รู้สึกเช่นนั้นเลย
“ฉันไม่ควรเชื่อเธอเลย” เบตติน่ารําพัน “ฉันนึกแล้วว่ามันจะต้องมีเรื่องเดือดร้อนเกิดขึ้น ถ้าเราไม่ทําตามคําสั่งของปาป้า...แล้วฉันก็คิดถูกจริง ๆ ด้วย” เบตติน่าร้องอย่างแค้นใจ
ชาร์ลอตต์ต้องกัดริมฝีปากตัวเองไว้เพื่อไม่ให้หันไปดุให้เบตติน่าหยุดพูดอีกครั้ง
“ไม่ต้องห่วงหรอก ถึงยังไงเราก็ต้องกลับไปถึงบ้านได้โดยปลอดภัย” เธอพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พยายาม สงบสติอารมณ์ไว้ให้มั่น “ฉันสัญญานะว่าเราต้องทําอย่างนั้นได้แน่ แต่เธอจะต้องใจเย็นกว่านี้นะเบตติน่า”
เด็กสาวสูดลมหายใจลึก กวาดสายตามองไปทั่วถนนที่ว่างเปล่าปราศจากผู้คนอย่างประหวั่น ความเงียบที่เกิดอยู่ในยามนี้สร้างความวังเวงใจอย่างเหลือประมาณ ไม่น่าเชื่อว่ามันจะมีสถานที่สงัดเงียบเช่นนี้อยู่หลังตลาดนัดที่มีแต่เสียงอึกทึกนั้นได้
“คอยดูนะ ถ้าเราถูกจับตัวไปไว้ในฮาเร็มละก้อ ฉันจะกินยาฆ่าตัวตาย” เบตติน่าพูดด้วยน้ำเสียงเอาจริง
ชาร์ลอตต์อยากจะหัวเราะออกมาดัง ๆ ถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงต่ออันตรายน้อยกว่านี้ แต่มันมีความเป็นไปได้อยู่ว่า เธอทั้งสองกําลังตกอยู่ในอันตรายอันน่าสะพรึงกลัวเดินอยู่ในถนนโดยปราศจากผู้คุ้มครอง ภายในบ้านเมืองที่ตนไม่เคยรู้จักมักคุ้น และมีธรรมเนียมที่แตกต่างกว่าที่เคยคุ้นชินมาอย่างตรงข้าม
แต่ขณะนี้ ไม่มีทางที่จะทําอะไรได้เลย นอกเสียจากเดินกลับไปที่ตลาดกันอีกครั้ง อาจจะพยายามหาตัวมิสเตอร์เทรวาร์เรนคนนั้นให้พบ แล้วก็ขอร้องให้เขาให้ความช่วยเหลือเธอเป็นครั้งที่สอง แต่มันคงจะเป็นเรื่องยากมากที่จะทําได้ โดยเฉพาะเขากําลังมีภารกิจบางอย่างที่จะต้องปฏิบัติต่อแม่นักระบําคนนั้นอยู่ ซึ่งนั่นหมายถึงว่า ถ้าเธอสามารถตามหาตัวเขาพบด้วย
แต่ชาร์ลอตต์ก็ไม่มีทางจะทําอะไรได้ดีไปกว่านี้อีกแล้ว แม้ว่าเธอจะไม่คุ้นเคยสนิทสนมกับเขาตอนที่อยู่ในซีแอตเติ้ล แต่กระนั้นเขาก็เป็นคนเดียวในสถานที่แห่งนี้ที่พูดภาษาอังกฤษได้
เธอคล้องแขนเข้าไว้กับเบตติน่า
“มาเถอะ ฉันขอรับรองว่าเราจะกลับไปนั่งจิบชาเคี้ยวช็อคโกแล็ตกัน ก่อนหน้าที่พ่อกับแม่เธอจะถามหาเราเสียด้วยซ้ำ”
ในตลาดนัดแห่งนั้น ซึ่งหนาแน่นด้วยผู้คนอยู่ก่อนหน้า แต่ขณะนี้ดูจะมีจํานวนผู้คนเพิ่มมากขึ้น และยังม้าลาที่ปะปนอยู่ ชาร์ลอตต์พยายามเขย่งปลายเท้า กวาดสายตามองมิสเตอร์เทรวาร์เรน แต่ปรากฏไม่มีวี่แววของเขาเลย
เบตติน่าร้องเสียงสั่นขึ้นมาอีก และชาร์ลอตต์ก็ต้องสงบระงับความโมโหลงไว้...
และตอนนั้นเอง ที่ผู้ชายกลุ่มหนึ่งเข้ามาห้อมล้อมอยู่รอบตัว ทุกคนล้วนแต่สวมเสื้อผ้าสกปรกมีกลิ่นอายบางอย่างที่เป็นสารเคมีกรุ่นอยู่ตรงปลายจมูก ก่อนที่ชาร์ลอตต์จะถูกตะปบทั้งปากและจมูกแขนถูกจับกระชากไปไพล่หลัง...
เธอได้ยินเสียงเบตติน่ากรีดร้องด้วยความตกใจสุดชีวิต และแล้ว...โลกก็มีดดับลง...
แพตทริค เทรวาร์เรน ทาบมือทั้งสองลงรอบสะเอวนางระบํา อุ้มหล่อนกลับขึ้นไปยืนบนเวทีอีกครั้ง เขากํานัลหล่อนด้วยรอยยิ้มกว้างและเหรียญเงินจํานวนหนึ่ง และตอนนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งกรีดร้องดังลั่นไปทั่วซุค
ที่เกาะริซแห่งนี้ มีธรรมเนียมเช่นเดียวกับโลกอาหรับทั้งหลาย ที่ถือว่าผู้หญิงเป็นทรัพยากรธรรมชาติอย่างหนึ่ง แต่แพตทริคเกิดในบอสตัน ได้รับการศึกษาในประเทศอังกฤษ เขาจึงไม่พอใจกับธรรมเนียมดังกล่าว และแม้จะรู้อยู่ว่าการที่ตนเองจะถือเป็นหน้าที่รับผิดชอบต่อเสียงของผู้หญิงคนนั้น มันอาจเป็นการผิดธรรมเนียมของที่นี่ได้ แต่เขาก็ยังติดตามหาตัวเธออยู่นั่นเอง
เขาเดินฝ่าเข้าไปในหมู่ผู้คน และพบผู้หญิงต่างชาติคนหนึ่งในจํานวนสองคนที่เขาได้เห็นก่อนหน้านี้ ผ้าคลุมหน้าของเธอเลื่อนหลุดลง ทําให้แพตทริครู้ได้ทันทีว่าเธอเป็นชาวอเมริกัน
เขาเอื้อมมือไปกระชากไหล่เธอ ที่ยังส่งเสียงร้องอยู่อย่างไม่ยอมหยุด
“นี่...หยุดร้องเสียทีสิ แล้วบอกมาสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
อาจจะเป็นเพราะเสียงพูดที่หัวนห้าวดุดันนั้น ทําให้ชาวอาหรับที่เข้ามารุมล้อมอยู่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นถอยห่างออกไปเล็กน้อย
“เพื่อน...เพื่อนฉันค่ะ...” เบตติน่าสะอึกสะอื้น “เพื่อนฉันถูกพวกโจรสลัดพาตัวไป...”
แพตทริคกัดกรามจนนูนเป็นสัน นึกถึงดวงตาคู่สีน้ำตาลเข้มที่เขาจ้องมองอยู่เมื่อไม่นานมานี้ มันมีอะไรบางอย่างที่รบกวนจิตใจ อะไรบางอย่างที่บอกเขาอยู่ตลอดเวลาว่าเขาเคยรู้จักผู้หญิงคนนั้นมาก่อน
“แล้วเรื่องมันเกิดขึ้นที่ไหน” เขาพยายามระงับอารมณ์ตนเองไว้ “พวกมันมากันกี่คนแล้วคุณเห็นหรือเปล่าว่าพวกมันพาเพื่อนคุณไปทางไหน”
เด็กสาวร้องไห้โฮออกมา
“พวกมันคงมากันสักร้อยละมัง” ดวงตาคู่สีเขียวขาบบวมช้ำ “แล้วฉันจะรู้ได้ยังไงล่ะคะว่าพวกมันพาเขา ไปไหน ขนาดฉันจะกลับไปที่บ้านวินเซ้นท์ยังไปไม่ถูกเลย”
แพตทริคเหลียวซ้ายแลขวามองหาคนรู้จัก แล้วก็เห็นใบหน้าเล็ก ๆ ของเด็กชายคนหนึ่งซึ่งเขาเคยใช้ให้ทำธุระเล็กๆ น้อย ๆ อยู่เสมอ โดยความเป็นจริงเขารู้จักครอบครัววินเซ้นท์และเคยไปที่บ้านหลังนั้นมาหลายครั้ง
เขาออกคําสั่งเป็นภาษาอาหรับให้เด็กชายคนนั้นพาเบตติน่าไปส่งที่บ้านวินเซ้นท์ เพราะเมื่อมาถึงเวลานี้เขารู้ว่าหญิงสาวไม่มีทางที่จะหาตัวเพื่อนเธอพบได้อีกแล้ว เขาจึงเริ่มสอบถามจากผู้คนที่ยืนอยู่ในบริเวณนั้น
แม้แพตทริคจะพูดภาษาพื้นเมืองได้อย่างแคล่วคล่อง และกับความเป็นจริงที่ว่าเขาเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตาดีในย่านนี้ ได้รับการต้อนรับในสังคมชั้นสูงของที่นี่ แต่กระนั้นเขาก็ยังได้ชื่อว่าเป็นคนนอกอยู่นั่นเอง ผู้คนที่อยู่ในบริเวณตลาดจะต้องให้ความเห็นใจกับโจรสลัดพวกนั้นมากกว่าที่จะเห็นใจหญิงสาวผู้เคราะห์ร้าย เพราะในทรรศนะของพวกเขา การจับหญิงสาวไปขายนั้นถือเป็นสินค้าที่สร้างผลกําไรให้อย่างงาม และเป็นสิ่งที่มีเกียรติด้วย
กระนั้น แพตทริคก็ยังออกเดินสํารวจไปทั่วทุกตรอกซอกซอยที่แยกจากตลาดซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางไปทั่วทุกทิศทาง ยิ่งค้นหานานเข้าความตระหนกก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น เพราะดูเหมือนเขาจะไม่มีทางติดตามหาตัวเธอพบได้เลย ผู้หญิงคนนั้นหายตัวไปแล้วจริงๆ เขาไม่มีทางที่จะช่วยเหลือให้เธอรอดพ้นจากชะตากรรมที่รอเธออยู่ได้
ในที่สุด เมื่อถึงยามบ่ายคล้อย ขณะที่ดวงอาทิตย์สาดแสงแรงกล้าราวไร้ปรานีลงบนผืนแผ่นดินแห่งเมืองโบราณ แพตทริคจต้องกลับไปยังเรือ “เอนชานเทรสส์” ของเขาที่ลอยลําอยู่ในเวิ้งอ่าว