บทที่ 2
แม้จะเพิ่งเป็นยามสาย แต่อากาศในบริเวณตลาดนัด หรือ “ซุค” ก็ร้อนอบอ้าวเหลือทนแล้ว เสียงไก่กรีดร้องระงม เสียงพ่อค้าตะโกนโฆษณาสินค้าของตนและต่อล้อต่อเถียงกับผู้ซื้อ ลูกลิงตัวน้อยที่คนจับมันใส่เสื้อกั๊กส่งเสียงร้องเพื่อเรียกความสนใจของผู้คนที่เดินผ่านไปมา เสียงดนตรีแปลก ๆ ลอยล่องออกมาจากร้านแผงลอยคละเคล้าอยู่ในสายลมอ่อนที่โบยโบกมาเป็นครั้งคราว กลิ่นเครื่องเทศประสมประสานอยู่กับกลิ่นสาบ และกลิ่นอาหารที่ทอดอยู่ในกะทะเหนือเตาไฟอบอวลไปทั่ว เสื้อคลุมสีสันสดใสที่ชาร์ลอตต์ขอยืมมาสวมใส่พร้อมกับผ้าคลุมหน้านั้น ชื้นเหงื่อแนบอยู่กับเนื้อตัวเธอ
แต่เธอกําลังตกอยู่ในมนต์เสน่ห์ของสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น...
เพียงแต่ว่า เบตติน่า ริชาร์ดสัน ซึ่งอ่อนวัยกว่าเธอสองสามปีและแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแบบเดียวกัน มิได้บังเกิดความตื่นเต้นหรือกระตือรือร้นตามไปด้วย
“ปาป้าจะต้องฆ่าเราแน่เลย ถ้ารู้ว่าเราออกมาสถานที่อย่างนี้” เธอพูดกรอกหูชาร์ลอตต์อยู่ ผ้าที่คลุมใบหน้าสวยงามนั้นพริ้วอยู่กับลมหายใจที่รดลวก “คิดดูสิ อาจจะมีเชคสักคน ออกคําสั่งให้บริวารลักพาตัวเราออกไปกลางทะเลทรายก็ได้”
“โธ่เอ๊ย...” ชาร์ลอตต์ทอดถอนใจ “มันไม่เป็นยังงั้นไปได้หรอกน่า คิดอะไรไม่รู้ช่างน่าสงสารเสียจริง” เธอแสร้งพูดเพื่อให้เบตติน่าโมโหเล่น
“ชาร์ลอตต์” เบตติน่าร้องออกมาด้วยความตกใจ
และชาร์ลอตต์ก็ลอบยิ้มอยู่เบื้องหลังผ้าคลุมหน้า ครอบครัวริชาร์ดสันได้แล่นเรือมาพํานักอยู่ที่เกาะริซ ซึ่งอยู่ระหว่างแผ่นดินสเปนกับมอร็อคโค เพื่อที่จะมาเยี่ยมเพื่อนเก่า ซึ่งเป็นพ่อค้าผู้มีฐานะมั่งคั่งทั้งหลายที่รู้จักกันมาตั้งแต่ครั้งอยู่บอสตัน
เบตติน่าอยากจะพํานักอยู่ในปารีสจนกว่าจะถึงเวลาแล่นเรือกลับลอนดอนและต่อไปยังสหรัฐอเมริกา แต่ชาร์ลอตต์ไม่เห็นด้วยกับความคิดของสาวน้อย เธอจะไม่ยอมพลาดโอกาสที่จะได้มาชื่นชมทัศนียภาพอันสุดแสนงดงามของเกาะริซแห่งนี้ เพราะบางทีมันอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายสําหรับการผจญภัยที่เธอใฝ่ฝันแล้วก็ได้...
ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุที่สร้างความไม่พอใจและไม่สบายใจให้กับเบตติน่าอย่างมาก หลังจากนั้นเธอก็ยังต้องรับหน้าเกลี้ยกล่อมเพื่อขอยืมเสื้อผ้าแบบที่สตรีในแถบนี้สวมใส่มาจากตู้เสื้อผ้าของเจ้าของบ้านฝ่ายหญิงอีกด้วย
หลังจากนั้น สองสาวก็แอบหลบออกจากบ้านทางประตูด้านข้าง เดินไปตามตรอกซอกซอยแคบ ๆ จนในที่สุดก็บรรลุถึงตลาดนัดหรือ “ซุค” แห่งนี้
ขณะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าแผงลอยขายเครื่องจักสาน ชาร์ลอตต์ลูบไล้ตะกร้าที่สานขึ้นไว้ด้วยฝีมือหยาบ ๆ อย่างสนใจ บอกตัวเองว่า เธอจะจดจําวันนี้ไว้จนชั่วชีวิต เมื่อใดที่มีความเบื่อหน่ายเกิดขึ้น เธอจะทบทวนความทรงจำรำลึกแล้วก็จะยิ้มออกมาอย่างีความสุข
นอกจากนั้น ในภาพฝันที่วาดขึ้น เธออาจจะเพิ่มเติมด้วยภาพของเชคผู้งามสง่าสักคนหนึ่งขี่ม้าอาหรับตัววใหญ่เข้ามาในตลาดนัดแห่งนี้ เพื่อหาซื้อทาส หรือบางทีเธออาจจะได้พบกับโจรสลัดสักกลุ่มหนึ่ง ที่เอาปลายดาบตวัดเข้าใส่ร้านค้าที่เป็นแผงลอยเหล่านี้เพื่อการปล้น...
ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นตรงสุดปลายแถวแผงลอยที่ตั้งรายเรียงไปจรดกําแพงเมืองโบราณขัดจังหวะความฝันอันหลายสีสันของเธอขึ้น เบตติน่าจับแขนชาร์ลอตต์ไว้แน่น กระซิบบอกด้วยน้ําเสียงร้อนรนว่า
“ชาร์ลอตต์...ได้โปรดเถอะ เรากลับไปบ้านวินเซ้นท์กันดีกว่า”
แต่ชาร์ลอตต์กําลังจับตามองบุรุษผู้มีเรือนร่างสูงสง่า ซึ่งกำลังเดินผ่านเข้ามาในหมุ่ผู้คน เธอไม่อยากเชื่อสิ่งที่สายตากาลังเห็นอยู่ในขณะนี้เลย
ในช่วงขณะอันแสนสั้น มันคล้ายกับเธอได้กลับไปเป็นเด็กสาววัยสิบสามอีกครั้ง กลับไปสู่ซีแอตเติ้ล ขณะนั้นเธฮกำลังป่ายปีนขึ้นบนเสากระโดงของเรือใบลำหนึ่งชื่อ “เอนชานเทรสส์” แต่เมื่อปีนสูงขึ้นไปเหนือดาดฟ้า เธอก็บังเกิดความหวาดกลัวขึ้นมา กอดสายระยางไว้แน่น ไม่กล้าแม้แต่จะปีนกลับลงมา
แพตทริค เทรวาร์เรน ต้องเป็นผู้ขึ้นไปรับตัวเธอลงมา...
“ชาร์ลอตต์...” เบตติน่าเขย่าแขนเธอแรง ๆ “ชาร์ลอตต์...ได้โปรดเถอะ ฉันไม่ชอบหน้าตาของผู้ชายคนนั้นเลย ฉันว่าเขาต้องเป็นโจรแน่เลยละ”
แต่ชาร์ลอตต์ไม่อาจขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวร่างกายได้ รู้สึกขอบใจผ้าคลุมหน้าไม่น้อย เพราะรู้อยู่ว่าถ้าเธอจะยิ้มออกมาตอนนี้มันคงเป็นการกระทําของคนปัญญาอ่อนอย่างที่สุด
ตลอดเวลาสิบปีที่ผ่านมา แพตทริคมิได้เปลี่ยนไปเท่าไรนัก แม้ว่าแผงอกกับช่วงไหล่จะผึ่งผายขึ้น โครงหน้าคมชัดขึ้น เขายังคงไว้ผมยาวเคลียต้นคอเหมือนเดิม มันเป็นสีเดียวกับริบบิ้นสีดำที่รัดรวบไว้ ดวงตาคูสีครามเข้มยังคมปลาบเช่นเดิม
ท่าทางเดินที่บ่งบอกถึงความทระนงองอาจ มั่นใจในตนเองนั้นดูน่าหมั่นไส้นัก แต่กระนั้นหัวใจของชาร์ลอตต์ก็ยังเต้นระทึก ต้องพยายามบังคับใจตัวเองไว้ที่จะไม่วิ่งเข้าไปหาเขา ทักถามว่าเขายังจําเธอได้หรือไม่...
เขาไม่มีทางที่จะจําเธอได้อยู่แล้ว เพราะตอนที่พบกันครั้งหลังสุดเธอเป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น
แต่เขาหารู้ไม่ ว่าตลอดเวลาสิบปีที่ผ่านมา เธอได้เฝ้าฝันถึงแต่เขา เฝ้าถักทอความฝันครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงลูกเรือหนุ่มคนนั้น แต่ดูเหมือนเขาไม่เคยให้ความสนใจในตัวเธอเลยด้วยซ้ำ
เขาเดินใกล้เข้ามาแล้ว แม้มันจะมีรอยยิ้มฉาบอยู่บนใบหน้าที่คมสันบ่งบอกถึงความเป็นผู้ดีในสายเลือด แต่กระนั้น แววในดวงตาของเขาก็ช่างเย็นชาเสียเหลือเกิน เขาใช้ปลายดาบจิ้มส้มผลหนึ่งจากกระจาดใบใหญ่แล้วก็โยนเศษเหรียญให้พ่อค้าที่มองหน้าเขาด้วยความหวาดหวั่นอยู่
ชาร์ลอตต์ยืนตัวแข็งอยู่กับที่ จะมีก็แต่ลมหายใจที่สะท้อนอยู่ในอกเท่านั้นที่บอกว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ แต่มันอาจจะมีสัญญาณอะไรบางอย่างที่ส่งออกไปจากตัวเธอ เพราะเขาเดินตรงเข้ามาหาเธอที่ยืนอยู่เคียงข้างเบตติน่าที่ตัวสั่นงันงก จ้องลึกลงไปในดวงตาของชาร์ลอตต์ด้วยสีหน้าที่บอกความขบขัน
พูดอะไรสักอย่างออกมาสิ...ชาร์ลอตต์ภาวนาอยู่ในใจ แต่กระนั้นมันก็ไม่มีเสียงลอดออกมาได้ ลําคอของเธอตีบตันแทบจะหายใจไม่ออก
แพตทริคพิจารณาเธออยู่เป็นครู่ เลื่อนสายตาลงไปตามชุดที่คลุมร่างเธออยู่ และแล้ว...เขาก็ยักไหล่เบา ๆ ขณะเดินจากไป เขาก็ปอกส้มไปพลาง และยังโยนส้มเสี้ยวหนึ่งไปให้ลิงด้วย
“นั่นละใช่แล้ว” เบตติน่าพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เราจะต้องออกจากที่นี่เดี๋ยวนี้เลย ชาร์ลอตต์ ฉันแน่ใจอย่างที่สุด ว่าผู้ชายคนเมื่อกี้ต้องเป็นโจรสลัด”
แต่ชาร์ลอตต์ยังคงจับตามองตามหลังแพตทริคต่อไป เขาไปหยุดอยู่เบื้องหน้านางระบําที่กําลังส่ายเอวอยู่บนเวทีที่ยกพื้นขึ้นระหว่างถังน้ำมันใบใหญ่ รู้สึกริษยาที่เขาให้ความสนใจกับผู้หญิงคนนั้นมากกว่า เป็นครั้งแรกที่เธอเอ่ยออกมาว่า
“เธอไม่ได้เห็นคนเดียวหรอกนะ ฉันก็เห็นด้วย” หางเสียงของเธอเยาะหยันอย่างแปลกประหลาด แต่แล้วก็เสียใจกับสิ่งที่ได้พูดออกไป เพราะถึงแม้ว่าเบตติน่ากับเธอจะไม่ใช่เพื่อนสนิทกัน แต่สาวน้อยผู้นี้ก็เป็นคนดี มีน้ำใจกับเธอเกินกว่าที่จะต้องมาได้รับคําพูดจากเธอแบบนี้
หยาดน้ำตาหล่อรื้นขึ้นในดวงตาคู่สีเขียวขายของเบตติน่า เธอเป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัว ได้รับการอบรมเลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอม ดังนั้นการที่จะหลบพ่อแม่ออกมาท่องเที่ยวแบบนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เธอสามารถตัดใจทําได้ง่ายนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดนัดที่แวดล้อมอยู่ด้วยคนแปลกหน้าที่มีรูปร่างหน้าตาน่ากลัวเช่นนี้
“ฉันขอโทษนะ” ชาร์ลอตต์พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนลง ขณะเดียวกันก็รู้สึกเหมือนหัวใจสลาย เมื่อเห็นแพตทริค ที่ตวัดร่างนางระบำผู้นั้นลงจากเวทีด้วยใบหน้ายิ้มละไม โยนเหรียญเงินให้กับผู้ชายที่อยู่ในเสื้อคลุมตัวใหญ่ “เราไปกันเถอะ...กลับกันได้แล้ว” เธอพูดอย่างตัดใจ