ตอนที่ 5
“ผมไม่ได้มองคุณสักหน่อย…ทำไมขี้ตู่อย่างนี้ล่ะคุณ” ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงยียวนเล็กๆ ทั้งที่จริงอย่างตอบออกไปว่า ‘ผู้หญิงน่ะเคยเห็นมาเยอะ…แต่ไม่เคยเห็นใครสวยเท่าคุณ’
“ยังจะมาแก้ตัวน้ำขุ่นๆ…ก็ฉันเห็นอยู่ว่าคุณชำเลืองมองฉันตลอด” ว่าพลางส่งสายตาค้อนให้เขาเล็กๆ
“ไม่สำคัญตัวผิดไปหน่อยหรือคุณ…ก็ตรงที่คุณนั่ง มันเป็นทางผ่านของสายตา ถ้าผมไม่มองออกไปในทิศทางนั้นแล้วผมจะเห็นทิวทัศน์ข้างทางได้ยังไง” ชายหนุ่มพยายามอธิบายอย่างใจเย็น ทั้งที่รู้ว่าไม่มีทิวทัศน์ไหนจะน่าจนใจเท่ากับใบหน้าหวานของเธออีกแล้ว
“ให้มันจริงเถอะ!...” เธอสะบัดหน้าหนี น้ำเสียงและแววตาบ่งบอกว่าไม่เชื่อที่ชายหนุ่มกล่าว
เสียงเพลงในรถเริ่มแผ่วลงจนจบเพลง ทุกอย่างกลับคืนสู่ความเงียบงันอีกครั้ง นอกจากเสียงครางคำรามของเครื่องยนต์ หญิงสาวรู้สึกได้ถึงความน่ารำคาญอีกสิ่งที่เธอพยายามอดทนมาชั่วอึดใจ แม้จะเป็นชั่วอึดใจสั้นๆ ทว่าสำหรับผู้หญิงที่ความอดทนต่ำอย่างมุก จึงรู้สึกว่าการอดทนในชั่วอึดใจนั้น แสนทรมานและยาวนานที่สุดสำหรับเธอ เมื่อเธอรู้สึกว่าเสียงกรนจากหนุ่มแปลกหน้าที่นั่งเคียงข้างอยู่นั้น น่าเกลียด ไร้มารยาท ราวแกล้งกรอกใส่หูเธอก็ไม่ปาน ซึ่งจริงอย่างที่เธอคิด เพราะหนุ่มนิรนามผู้นั้นจงใจแกล้งเธอจริงๆ
คร่อกๆๆๆ…คร่อกๆๆๆ…
ชายหนุ่มแกล้งกรนออกมาเสียงขรม ระงมหู หญิงสาวเอามืออุดหู เบ้ปาก ส่ายศีรษะเบาๆกับสิ่งที่ได้เจอ
“คุณ!...” เธอพยายามเรียกให้เขารู้สึกตัว หากไม่เป็นผล หนุ่มแปลกหน้ายังหลับตาพริ้ม มุกไม่ทันสังเกตว่าเขาแอบเบิกตามองเธอเหมือนลิงหลอกเจ้า สะใจที่เห็นสีหน้าไม่พอใจของหญิงสาวที่เขาแกล้ง
“หนวกหูที่สุด มันเวรกรรมอะไรของฉัน…ที่ต้องมานั่งใกล้นาย” ท่าทางของหญิงสาวแสดงความอึดอัดใจมากขึ้น รำพึงขึ้นมาเบาๆ
“เอ่อ…ตื่นเดี๋ยวนี้” เธอเอื้อมมือเข้าไปใกล้ สีหน้าแสดงอาการสองจิตสองใจที่จะสะกิด
“นี่นาย!...กรนอยู่ได้” เธอตัดสินใจเอานิ้วน้อยๆสะกิดไปที่ท่อนแขนกำยำและรกไปด้วยไรขนของเขาเบาๆ ทว่าคนแกล้งหลับเป็นตายหาได้สะทกสะท้านไม่
“คุณ…ถ้าคุณยังไม่หยุดกรน ฉันจะย้ายที่นั่งเดี๋ยวนี้” เธอมองซ้ายมองขวาเหมือนจะลืมไปว่ารถที่เธอโดยสารมานั้น มีผู้โดยสารเต็มทุกที่นั่ง ก่อนตัดสินใจใช้กำปั้นน้อยๆทุบไปที่ปั้นไหล่กำยำของเขาเต็มแรง
“โอ๊ย!...อะไรกันคุณ” คนแกล้งหลับแกล้งกรน ร้องออกมาเกินกว่าอาการเจ็บจริง ใบหน้าสำออยทำราวกับว่าเจ็บมาก
“มือหนักไม่เบานะคุณ”
“ก็คุณทำฉันหนวกหู…กรนอยู่ได้”
“โธ่…แค่เสียงกรน นึกว่าเรื่องคอขาดบาดตายอะไร นี่ใจคอจะไม่ให้อภัยคนหลับเชียวหรือคุณ” ชายหนุ่มว่า เบะปากและส่ายศีรษะเบาๆกับความเรื่องมากของหญิงสาว
“ผู้หญิงอะไร…ชอบใช้กำลัง แปลกพิลึก” เขาว่าให้เธอ
“บางครั้งการใช้กำลังก็เหมาะสำหรับผู้ชายบางคนที่น่ารำคาญ” เธอเถียง
“งั้นผมขอโทษก็แล้วกัน…ที่สร้างความรำคาญให้รูหูคุณ”
“อย่ามาทะลึ่งนะ” เธอว่า
“เปล่าทะลึ่งครับ” เขาเถียง
“เอาเถอะ…ถือเป็นความโชคร้ายของฉันก็แล้วกัน…ถ้ารู้อย่างนี้ รู้ว่าจะต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ฉันนั่งเครื่องมาดีกว่า จะไม่มีวันนั่งรถทัวร์เด็ดขาด” มุกพูดพลางสะบัดหน้าหนี เบือนสายออกจากใบหน้าครึ้มเคราของเขา ทอดสายตาผ่านกระจกบานกว้างของรถทัวร์ออกไปอย่างอารมณ์เสีย
ชายหนุ่มลอบชำเลืองไปที่เธออีกครั้ง แอบเพ่งพินิจพิจารณา ทั้งเสื้อผ้า หน้าตา ผิวพรรณ ก็เชื่อได้ว่าเธอเป็นคุณหนูอย่างไม่ต้องสงสัย และคงเป็นคุณหนูที่ถูกเลี้ยงดูมาด้วยการตามใจอย่างที่สุด ท่าทางจึงได้เอาแต่ใจตัวเองเช่นนี้
ทว่าดวงหน้าหวาน พวกแก้มสีชมพูระเรื่อ เรียวปากสีชมพูอิ่มเต็มน่าสัมผัสแตะต้อง ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกว่าตัวเองโชคดี อดไม่ได้ที่จะนับว่าความบังเอิญนี้ คือความโชคดีอย่างหนึ่งในชีวิต
“ถ้าคุณไม่นั่งรถทัวร์มา…แล้วคุณจะได้เจอกับผมหรือครับ?” เขากล่าว ทำหน้าทะเล้น ซ่อนรอยยิ้มน้อยๆเอาไว้ที่ริมฝีปาก
“ผมถือว่าการที่เราได้เจอกันนั้นเป็นโชค” จากที่อมยิ้ม เปลี่ยนเป็นยิ้มเต็มหน้า เขาช่างกล้า พูดออกมาทั้งที่ในแววตาแฝงความขวยเขินเอาไว้น้อยๆ
“ใช่…เป็นโชค แต่ฉันว่าโชคร้ายมากกว่า” เธอตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ สะบัดหน้าหนีสายตาคมกริบคู่นั้นไปอีกทาง เมื่อรู้สึกว่าการมองผ่านกระจกบานกว้างออกไปเรื่อยเปื่อย ยังดีกว่ามองตาทะเล้นของเขา
“มีคนเป็นล้านคน ช่างไร้เหตุจริงๆ ที่เราเจอกัน จากเป็นคนที่ไม่เชื่ออะไร สุดท้ายก็ได้…แต่ถามตัวเองซ้ำๆ ตกลงคือพรหมลิขิตใช่ไหม?” ชายหนุ่มเผลอฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี ชำเลืองมองตาของหญิงสาวเมื่อร้องมาถึงตอนประโยคสุดท้ายทิ้งคำถามเอาไว้อย่างจงใจ
“คุณเชื่อในพรหมลิขิตไหม” ไม่รู้อะไรทำให้หัวใจฉกรรจ์ ที่เลือดหนุ่มกำลังฉีดพล่าน กล้าหาญโพล่งออกไปถามผู้หญิงแปลกหน้าที่เพิ่งพบกันไม่นาน