ตอนที่ 2
“บังเอิญมุกไม่ใช่คนโบราณค่ะ…”
“คุณก็เป็นซะอย่างนี้ทุกที” มนตรีว่า
“มุกจะเชื่อเฉพาะความเชื่อที่มีข้อมูลอยู่บนพื้นฐานของความจริงและสอดคล้องกับกาลเวลา” หญิงสาวแสดงทรรศนะ แสดงอาการดื้อดึงและเอาแต่ใจออกมาทันที จมูกโด่งเป็นสัน ตรงปลายเชิดรั้น ช่วยยืนยันถึงคุณลักษณะของคนที่มีความดื้อและเชื่อมั่นในตัวเองให้กับเธอเป็นอย่างดี
“มุก…ทำไมต้องทำให้ผมลำบากใจด้วยล่ะ!”
“ลำบากใจก็ไม่ต้องไป” หญิงสาวว่า
“ผมไม่อยากโดนเตี่ยกับแม่ด่า” มนตรีส่งสายตาและสีหน้าหนักใจให้แฟนสาว
มุกเป็นผู้หญิงที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง หากมีความเชื่อหรือแนวคิดใดๆที่จะทำให้ผู้หญิงคนนี้เชื่อหรือคล้อยตามได้…อย่างน้อยความเชื่อหรือแนวคิดนั้นก็ควรจะได้รับการพิสูจน์ด้วยตัวของเธอเอง ด้วยทฤษฎีที่มุกได้สร้างเอาไว้ในความคิด เหมือนว่าหญิงสาวคนนี้มีสารานุกรมของชีวิตและความเชื่อ ความศรัทธา ที่เธอสร้างมันขึ้นจากความรู้ความเข้าใจและประสบการณ์หลากหลายที่ผ่านเข้ามาในช่วงหนึ่งของชีวิต ไม่ใช่เชื่อเพราะมีคนพูดต่อๆกันมา
มีคำพูดหนึ่งที่มุกยังจดจำและระลึกได้เสมอ
‘ความเชื่อหลายๆอย่างที่เรารับรู้และที่ครูสอน ครูไม่ได้ให้เธอฟังแล้วเชื่อทั้งหมด…เพราะเราจะเชื่อได้อย่างไรว่ามันไม่ได้รับการบิดเบือนมาตั้งแต่ต้น…..เห็นได้จากทุกวันนี้ที่ทำไมเราต้องมานั่งหาข้อพิสูจน์ทางประวัติศาสตร์ ต้องมาสังเคราะห์ความเชื่อหลายๆอย่างที่ฝังรากลึกอยู่ในสังคมไทยกันอีกที’
เป็นคำพูดของอาจารย์คนหนึ่ง ที่หญิงสาวยังจดจำได้ในชั่วโมงเรียนประวัติศาสตร์ อาจารย์ที่หลายคนมองว่าเขาเพี้ยน หากเป็นอาจารย์ที่เธอศรัทธา แม้หลายคนจะตำหนิว่าอาจารย์คนนี้มักจะฉีกตำราสอน ฉีกตัวเองออกจากกรอบและกฏเกณท์ที่ครอบเอาไว้
หลายครั้งที่มีคนมักจะอ้างว่า โบราณว่าอย่างนี้ โบราณว่าอย่างนั้น คนนี้ว่าอย่างนั้น…คนนี้ว่าอย่างนั้น ซึ่งมุกเองก็ไม่ได้นึกค้านไปในทุกความเชื่อที่มุกเองก็พิสูจน์แล้วว่าความเชื่อบางอย่างก็จริงอย่างที่คำโบราณสอน และมันให้ประโยชน์ในการดำเนินชีวิต หากก็มีอีกหลายความเชื่อที่มุกนึกค้านอยู่ในใจและยังไม่เชื่อมาจนทุกวันนี้
“ทำไมจึงได้เป็นคนดื้ออย่างนี้นะมุก” มนตรีว่าแฟนสาว แม้น้ำเสียงของเขาจะอ่อนใจกับความดื้อรั้น ทว่าก็ไม่ได้มีวี่แววว่าตั้งใจจะดุเธอจริงจัง เพราะความที่รู้จักและคุ้นเคยในอุปนิสัยใจคอของกันและกันมานาน
“ก็ดื้อมานานแล้วนี่คะ…ตั้งแต่รู้จักคบหากันมา มีอะไรบ้างล่ะที่มุกแสดงออกว่ามุกไม่ใช่คนดื้อ” มุกโกรธ เมื่อรู้สึกว่าคำอ้อนเพื่อจะขอไปเที่ยวทะเลของเธอ ต้องถูกมนตรีปฏิเสธอย่างแน่นอน
“ไม่เอาน่า!…มุก อย่าทำให้ผมไม่สบายใจสิครับ ช่วงนี้ผมต้องเข้าบริษัททุกวัน คุณก็รู้ว่างานผมยุ่งแค่ไหน” มนตรีกล่าว สีหน้าขอความเห็นใจ ซึ่งมุกเองก็รู้และเข้าใจดีว่าช่วงนี้งานของมนตรียุ่งมาก…มากจนมุกแอบน้อยใจหลายๆครั้ง เมื่อรู้สึกว่าเธอกับแฟนหนุ่มผู้นี้ นับวันกำลังจะต้องการในสิ่งที่แตกต่างกันขึ้นเรื่อยๆ
มุกมองตาแฟนหนุ่มด้วยความรู้สึกน้อยใจว่ามนตรีกำลังรักที่จะหาเงินทอง…มากกว่ารักเธอ
‘มนตรีคะ!... มุกไม่ได้ต้องการเงินทองของคุณ แต่มุกอยากได้เวลาให้กับชีวิตมากกว่า…เวลาที่คู่รักควรจะแบ่งปันและได้ใช้ร่วมกันบ้าง’ มุกคิดด้วยความน้อยใจ แม้รู้สึกอยู่บ้างว่ามันอาจจะไม่ถูกนัก เพราะมุกเองก็ตระหนักอยู่เสมอว่าที่มนตรีกำลังทำงานหนักและสะสมเงินทองอยู่นั้น ก็จะเพื่อใครเสียอีกล่ะ?...ถ้าไม่ใช่เพื่อเธอ
“รอไว้หลังแต่งงานดีกว่านะ” มนตรีกล่าว
“ไม่ค่ะ” มุกค้าน ยืนยันหัวหกก้นขวิด
“เห็นใจผมหน่อยสิ!...ผมต้องทำงานนะมุก” มนตรีทำเสียงแข็งขึ้นมาบ้าง
“ตามใจค่ะ…คุณก็ทำงานของคุณไปเถอะ” มุกกล่าวเบาๆ สีหน้านิ่งเรียบ ไม่ได้กระแทกเสียง ไม่ได้ใส่อารมณ์ใดๆเหมือนในตอนแรก ทว่าด้วยความที่คบกันมานาน มนตรีจึงรู้ได้ทันทีว่ากระแสเสียงเรียบๆแบบนั้นแหละ ที่แปลว่าโกรธมาก
“อาร์ตตัวแม่จริงๆ” มนตรีว่า ประชดประชันแฟนสาวผู้เอาแต่ใจเบาๆ ดวงตาหรี่เล็กเหลือบมองใบหน้างามที่เปลี่ยนเป็นง้ำงอ ด้วยสายตางอนง้อ
ที่มนตรีว่ามุกเป็นอาร์ตตัวแม่ก็ไม่ผิด เพราะสาขาวิชาที่มุกเรียนจบมาก็ล้วนแต่เกี่ยวของกับศิลปะทั้งสิ้น ภายหลังจากไปใช้เวลาร่ำเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยที่มีเชื่องเสียงแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ถึง 4 ปี
“เอาไว้หลังแต่งงานแล้วเราค่อยไปเที่ยวไม่ได้หรือมุก…นะครับ” มนตรีพยายามงอนง้อ น้ำเสียงอ่อนข้อ เพราะไม่ต้องการให้เธอโกรธ
อาจเป็นเพราะคุณลักษณะของมนตรีซึ่งเป็นคนที่มีอารมณ์สุขุม เยือกเย็น ใจเย็นเป็นน้ำ จึงทำให้มนตรีคบหาดูใจกับมุกมายาวนาน ทว่าในความสุขุมเยือกเย็นนั้น…มุกกลับรู้สึกว่ามันกำลังจะกลายเป็นความจืดชืด เย็นชาลงทุกที ต่างกับมุกที่รู้สึกว่ายิ่งใกล้จะถึงวันแต่งงานมากขึ้นเท่าไร มันยิ่งทำให้มุกรู้สึกโหยหาสีสันและรสชาติให้กับชีวิตมากขึ้นทุกที และมุกเองก็รู้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกโหยหาอิสรภาพขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด เหมือนรู้ล่วงหน้าว่าอิสรภาพของเธอ จะถูกริดรอนภายหลังจากการแต่งงาน
จากการที่มุกได้มาเห็นกับตาบ่อยๆ ในตอนที่แวะมาหามนตรีที่บ้าน ว่าสะใภ้ที่ต้องแต่งงานและต้องย้ายเข้ามาอยู่ร่วมกันภายใต้ชายคาบ้านหลังใหญ่ของตระกูลสามี ในบ้านซึ่งเป็นที่รวมของเขยและสะใภ้ จากพี่น้องร่วมท้องอีกหลายคนของมนตรีนั้น มันน่าวุ่นวายและอึดอัดใจเพียงไร
“ช่วงนี้ยังมีอะไรอีกหลายอย่างให้ผมต้องเตรียมการ ทั้งงานที่บรัท ทั้งเรื่องงานแต่งงานของเรา คุณเองก็ควรจะเตรียมตัวให้พร้อมเช่นกัน สำหรับเป็นเจ้าสาวของผม” มนตรีพยายามให้เหตุผล