บท
ตั้งค่า

บทที่ 1 ลาจาก

รู้หรือไม่ ในอดีตกาลเหล่าบุรุษจำต้องออกรบเพื่อปกป้องบ้านเมืองให้ปลอดภัย ส่วนสตรีเองก็จำต้องออกรบเช่นกัน เพียงแต่สนามรบของสตรีเป็นภายในเรือนที่เรียกว่า...บ้าน...และศัตรูคือสตรีที่อยู่เรือนเดียวกัน เพื่อแย่งชิงการเป็นหนึ่งเดียว

เสียงลมหายใจรวยรินดังออกมาอย่างแผ่วเบาภายในห้องใหญ่หรูหราสมกับฐานะพระชายาเอกของชินอ๋อง ผู้เป็นพระอนุชาของฮ่องเต้และมีตำแหน่งเป็นแม่ทัพใหญ่สังกัดหน่วยพยัคฆ์คำราม

แผ่นหลังที่นอนคว่ำนูนขึ้นลงเพื่อบ่งบอกถึงชีพจรที่ยังคงเต้นอยู่ของเจ้าของร่างที่นอนอยู่บนเตียง แม้จะแผ่วเบาจนน่าใจหายจนคนที่อยู่ในห้องต่างพากันน้ำตาซึม

ท่ามกลางเสียงฝนตกฟ้าร้องคำรามอย่างน่ากลัว มือหยาบของคนที่ตรากตรำทำงานหนักตั้งแต่ยังเด็ก พยายามเกาะกุมมือของร่างเล็กของนายสาวผู้เป็นเจ้าชีวิต

“เจียอี ข้าเจ็บ ข้าทรมานเหลือเกิน” เสียงหวานคลางแผ่ว ฟ่านเยว่ซินนอนในท่าคว่ำหน้าเพราะแผ่นหลังที่ถูกโบยอย่างหนัก ทำให้ไม่สามารถนอนหงายได้

“พระชายาอดทนไว้นะเพคะ หยุนซีกำลังเร่งไปตามหมอหลวงมา ไม่ช้านานหมอหลวงคงพากันมาถึง” เจียอีคอยบีบมือพระชายาของนางเบาๆ เพราะเกรงว่าจะสิ้นสติไป

“ฮึก หม่อมฉันให้ขันทีไปตามท่านอ๋องแล้ว อีกสักครู่ก็คงจะรีบเสด็จมาหาพระชายาแน่นอนเพคะ ทรงอดทนอีกสักหน่อยนะเพคะ” เจียลี่นางกำนัลฝาแฝดอีกคน จากที่ขยี้ผ้าซับเหงื่อรีบปาดมาคุกเข่าข้างเตียงถัดไปจากเจียอี

เมื่อเห็นว่าลมหายใจของพระชายาแผ่วเบาลงทุกขณะ ดวงตาเริ่มเหม่อลอยราวกับจะหลุดลอยไปไกลแสนไกล

การดึงสติพระชายากลับมาโดยอ้างถึงท่านอ๋องแม้มีโทษหลอกลวงเบื้องสูง แต่นางก็พร้อมที่จะรับไว้ จะว่าโกหกก็ไม่ใช่สักทีเดียว เจียลี่ได้ให้ขันทีออกไปแจ้งข่าวแก่ท่านอ๋องให้รีบเสด็จมาดูอาการพระชายาแล้วแต่ขันทีกลับมารายงานว่า

ท่านอ๋องติดภารกิจสำคัญมาไม่ได้ ฟ่านเยว่ซินไม่ตอบเพียงแค่เหล่ตามองสาวใช้ก็รู้ได้ทันทีว่านางโกหก

เขาผู้นั้นไม่มา..ไม่มีทางมา เป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร

เมื่อความหวานของชีวิตคู่โรยราราวกับดอกไม้ที่ร่วงหล่นลงบนพสุธาก็ไม่เหลือเยื่อใยใดให้จับต้อง

ขนาดวันที่นางสูญเสียบุตรชายไป ทั้งที่พึ่งคลอดได้ไม่กี่วัน เขาก็ยังไม่มีแม้แต่น้ำตา ทั้งยังรีบมาเอาลูกนางไปฝังโดยไม่ทำพิธี

‘วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของความรักและภักดีที่ข้ามีให้แด่ท่าน ที่ผ่านมาข้าไม่เคยนึกเสียดายความรักที่ข้ามีให้ท่านแม้แต่น้อย แต่หลังจากนี้ระหว่างเราไม่เหลือซึ่งเยื่อใยต่อกัน เมื่อถึงเวลาด้ายแดงนี้ก็จะสะบั้นลงไปพร้อมกับลมหายใจของข้า’ ฟ่านเยว่ซินคิดในใจ มือข้างนึงกำชายผ้าปูแน่นเพื่อให้ความคิดนี้ฝังรากลึกลงไปถึงจิตวิญญาณ

ตึง!

เสียงเปิดประตูมาคู่กับเสียงฝีเท้าหลายคู่เร่งรุดเข้ามาใกล้ยังเตียงนอน รอยหยดน้ำตามพื้นบ่งบอกสภาพอากาศข้างนอกได้อย่างชัดเจน หมอหลวงทั้งสี่คนมากันอย่างพร้อมเพรียง เหตุเพราะถูกองครักษ์ท่านนี้ใช้ดาบจ่อคอขู่เข็ญอย่างไม่เกรงกลัวอาญา ให้รีบวิ่งฝ่าพายุมาถึงตำหนักท่านอ๋อง

“หมองหลวงมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“ถวายบังคมพระชายา”

“อย่ารีรอเลยเจ้าค่ะท่านหมอกู้ พระชายาทรงไม่ไหวแล้ว ช่วยรักษาก่อนเถิด” เจียอีคุกเข่ากล่าวด้วยสีหน้าและท่าทางร้อนใจ

หมอหลวงยังไม่ทันตรวจ เพียงแค่เห็นสภาพของพระชายาภายนอกก็รู้ว่าอาการคงสาหัสมาก

“เดี๋ยวพวกเจ้าออกไปรอข้างนอกก่อน พวกข้าจะได้เร่งตรวจอาการพระชายา” หมอหลวงกู้ไล่ให้ทุกคนออกไปจากห้องเพื่อจะได้ทำการตรวจรักษา

เวลาผ่านไปเพียงหนึ่งเค่อ หมอหลวงที่เหลือต่างประชุมกันหน้าเครียดอยู่ตรงโถงด้านนอกห้องบรรทม หมอกู้ผู้เป็นตัวแทนของบรรดาหมอหลวงออกมาถามนางกำนัลทั้งสองและองครักษ์หยุนซี

"เจ้าให้ใครไปตามท่านอ๋องมาทีเถิด”

สาวใช้ทั้งสองต่างมองหน้ากันอย่างสับสนในควายนัยในคำสั่ง "ก่อนหน้านี้ข้าไปตามมารอบนึงแล้วเจ้าค่ะ แต่ทรง..ไม่สะดวกจะเสด็จมา" เจียอีมองสบตากับเจียลี่อย่างรู้กัน

หมอหลวงกู้จึงรีบกล่าวต่อเสียงเบาพลางทำสีหน้าหนักใจ

“จงเร่งรีบไปตามมาเร็ว ในเวลานี้พระชายาควรมีคนสำคัญอยู่ข้างกาย ก่อนจะ...” อยู่ไม่พ้นคืนนี้ ข้อความหลังหมอหลวงเพียงแต่คิดในใจ

“ข้าจะรีบไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” เจียอีกล่าวแล้วเร่งรุดออกไป คราวนี้นางตั้งใจจะไปด้วยตัวเอง ต่อให้ต้องเอาหัวโขกจนเลือดไหลอาบนางก็ยอม

“ท่านหมอกู้ เกิดเหตุอันใดจึงดูร้อนใจขนาดนี้แล้วพระชายาของบ่าวเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” เจียลี่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล

“ข้าไม่อาจรักษาได้ พระชายาหมดหนทางเยียวยาแล้ว”

“บังอาจ!” องครักษ์หยุนซีตะคอกใส่หมอหลวงกู้ด้วยน้ำเสียงดุดัน

“ท่านราชองครักษ์อย่าพึ่งมีน้ำโห ข้าไม่บังอาจกล่าวความเท็จ พระชายาทรงคลอดพระโอรสเพียงไม่นาน ยังไม่ทันได้บำรุงฟื้นฟูร่างกายให้ดีก็มาบอบช้ำทางจิตใจอย่างแสนสาหัส ส่งผลให้สุขภาพพระชายายิ่งทรุดไปเท่าทวีคูณ เดิมทีบาดแผลจากการโบยก็สาหัสพอตัว แผลเก่าแผลใหม่มากมายตีกันยุ่งไปหมด ข้าเกรงว่าจะทรง..ทนรับไม่ไหว”

องครักษ์หยุนซีได้ยินก็กำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าไปยังเนื้อด้านในฝ่ามือจนเลือดไหลซึมออกมา

ส่วนเจียลี่เมื่อได้ยินก็คุกเข่าคำนับหมอหลวงกู้เพื่อขอร้องให้ช่วยชีวิตนายของตน "อึก ท่านหมอ ท่านจัดยาให้ข้าเถิด ข้าจะนำไปต้มให้พระชายา ท่านอย่าพึ่งยอมแพ้เช่นนี้เลย ฮือออ"

หมอกู้ทำได้แค่เบือนหน้าหนี ใช่ว่าเขาไม่อยากช่วยพระชายา เพียงแต่ร่างที่นอนหายใจรวยรินอยู่ข้างในนั้นเกินจะเยียวยาได้แล้ว ตอนที่เขาทำการตรวจ พระชายาเป็นคนพูดกับเขาเองก่อนจะหลับตาลงอย่างเชื่องช้าแล้วปล่อยให้หยาดน้ำตาไหลจากหัวตาผ่านสันจมูกลงไปยังแก้มอีกข้าง ก่อนจะหยดลงบนที่นอน

‘ท่านหมอ ปล่อยข้าไปเถิด ไม่ต้องรักษาแล้ว ข้าเหนื่อย..แล้ว เหนื่อย...เหลือเกิน อย่าทรมานข้าอีกเลย’ พระชายาขยับปากพูดแต่ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา นางเหนื่อยเหลือเกินแล้ว

แผลกายใช้ยารักษาก็คงหายแต่แผลใจยากจะทำการรักษา

ทางด้านเจียอีวิ่งฝ่าฝนไปยังจวนที่พำนักของชินอ๋อง ตำหนักที่พระชายากับท่านอ๋องเคยอยู่ร่วมกัน ก่อนจะเกิดเหตุให้พระชายาย้ายตนเองไปอยู่อีกตำหนักนึง

เจียอีพอมาถึงรีบบอกกล่าวแก่องครักษ์หน้าตำหนักให้ท่านอ๋องรีบเสด็จไปดูอาการพระชายาตามที่หมอหลวงได้แจ้งแก่ตน

รอราวๆ หนึ่งเค่อก็มีคนเดินออกมา เพียงแต่คนนั้นคือท่านซานจิง ไม่ใช่ท่านอ๋องอย่างที่นางเฝ้ารอ

“เจียอี เจ้าไปแจ้งแก่นายของเจ้าเสียว่าท่านอ๋องนั้นติดภารกิจ ไม่อาจเสด็จไปได้ ท่านอ๋องกล่าวว่า ตะวันรุ่งพรุ่งนี้จะไปเยี่ยมนางที่ตำหนัก”

“จะให้พระชายารอต่อไปไม่ได้ ท่านซานจิง ท่านช่วยพาข้าไปเข้าเฝ้าท่านอ๋องทีเถอะ ข้าจำต้องทูลท่านอ๋องด้วยตัวข้าเอง”

“บังอาจ! ท่านอ๋องมีประสงค์จะไม่พบใครในยามนี้ เจ้ากล้าขัดรับสั่งหรือ?”

“ต่อให้หัวหลุดจากบ่า ข้าก็ต้องพบท่านอ๋องให้จงได้ ข้าขอร้อง พระชายาของข้าทนรอต่อไปไม่ไหวแล้ว ไม่งั้นหมอหลวงจะให้ข้ารีบมาตามท่านอ๋องหรือ อึก” เจียอีพูดไปร้องไห้ไปทั้งมองไปยังซานจิงอย่างไม่กลัวเกรงสิ่งใด

“เจ้าพูดอะไร?! พระชายาเป็นอะไร” เสียงกังวานดังมาจากเบื้องหลังของซานจิง

“ฮึก ถวายพระพรท่านอ๋องเพคะ ฮือ” นี่หรือที่ว่าไม่อยากพบใครเพราะมีพระชายารองคนงามอยู่ด้วยนี่เอง เจียอีคิดอย่างเจ็บใจแทนพระชายาของตน

ชินอ๋องเฉิงหลงซานเดินออกมายืนสง่าอยู่ด้านหลังซานจิงโดยไม่ทันตั้งตัว เบื้องหลังพระองค์มีชายารองยืนอยู่ ร่างกายสูงตระหง่านกำยำเยี่ยงนักรบอาชาศึกมีเพียงเสื้อคลุมสีขาวบางสวมทับไว้ราวกับกำลังทำอะไรบางอย่างที่จำต้องถอดเสื้อผ้า พอมีเสียงเอะอะโวยวายหน้าประตูจึงรีบหาเสื้อมาสวมไว้แล้วเดินออกมาดู สายตาประดุจเหยี่ยวยามออกล่าของชินอ๋องจ้องมองไปยังนางกำนัลของพระชายาเอกอย่างคาดคั้น

“ข้าถาม! เยว่ซินเป็นอะไร”

“พระชายาทรงเจ็บหนัก หม่อมฉันไปตามหมอหลวงมารักษาแล้วเพคะ แต่ไม่นานหมอหลวงก็ออกมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีแล้วให้หม่อมฉันรีบมาตามพระองค์เพคะ” เจียอีกล่าวออกมาด้วยความเจ็บแค้นแทนนาย สาเหตุที่ท่านอ๋องไม่สะดวกเพราะนางอสรพิษด้านหลังนี่เอง

“ซานจิงรีบไปตามต้าหยางให้รีบไปพบข้าที่ตำหนักพระชายาด่วน!” เฉิงหลงซานเอ่ยเพียงแค่นั้นก่อนจะรีบฝ่าฝนออกไปตรงไปยังตำหนักพระชายา โดยมีเจียอีเร่งรุดตามไม่ห่าง ส่วนองครักษ์ซานจิงแยกตัวไปตามตัวองค์ชายห้า 

"รีบๆ ตายตามลูกเจ้าไปเสียเถอะเยว่ซิน อย่าปล่อยให้ข้ารอนานไปกว่านี้เลย ข้าอยากเป็นพระชายาเอกเต็มแก่" ชายารองสาปแช่งออกมาอย่างโจ่งแจ้ง แววตาเผยความแค้นอย่างไม่ปิดบัง หวังว่าสายลมจะส่งคำสาปแช่งไปถึงคนที่นอนเจ็บทางด้านโน้นให้รีบไปลงนรกยิ่งเร็วยิ่งดี

 ทีแรกชายารองจะตามชินอ๋องไปเพื่อเยาะเย้ยสภาพอันน่าสมเพศของอีกฝ่าย ด้วยการไปแสดงให้นางเห็นว่าคนที่ชินอ๋องเลือกคือใคร ขนาดนังชายาเอกนอนเจ็บพระองค์ยังเลือกอยู่กับชายารองอย่างนาง เสียดายที่สาวใช้ส่วนตัวของชายารองห้ามไว้เสียก่อนเพราะดูท่าพระชายาเอกคงอยู่ได้อีกไม่นาน และยังเตือนอีกว่าผู้คนต่างก็รู้ว่าพระชายาเอกกับชายารองเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานาน หากไปแล้วส่งผลให้พระชายาเยว่ซินทรุดหนักอาจโดนลูกหลงว่าก็เป็นต้นเหตุได้ ควรอยู่นิ่งๆ โดนขนาดนั้นถ้ารอดก็อึดเกินมนุษย์

"เจ้ารีบพาข้าไปอาบน้ำขัดตัวให้หอม เมื่อท่านพี่กลับมาข้าจะได้ปลอบประโลมให้คลายความเหนื่อยล้า ทรงเห็นสภาพโทรมๆ ของนังเยว่ซินแล้ว คงอยากกลับมาเห็นสิ่งเจริญตาเจริญใจ" ชายารองพูดพร้อมกับเดินยิ้มเข้าไปด้านในโดยมีสาวใช้ประคองอย่างเบิกบานตามนายของตน

ตั้งแต่เจียอีวิ่งออกไป ทางฝั่งฟ่านเยว่ซินรู้ว่าตัวเองอาจอยู่ได้อีกไม่นาน จึงเรียกให้สาวใช้ของตนที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เล็กเข้ามานั่งใกล้ เจียลี่ที่ได้ยินรีบเข้ามาคุกเข่านั่งอยู่ข้างกายพระชายา

“เจียอีออกไปทำธุระสักครู่ เดี๋ยวคงกลับมาเพคะ พระชายามีอะไรให้หม่อมฉันรับใช้เพคะ บอกหม่อมฉันได้เลย”

“เจียลี่ ข้าเหลือเวลาอีกไม่มาก ข้าไม่มีสิ่งใดให้ห่วงนอกจากเจ้าทั้งสองและหยุนซี เพียงแต่หยุนซีนั้นได้อยู่ใต้บังคับบัญชาของฝ่าบาท ข้าก็วางใจ เหลือเพียงเจ้าทั้งสอง...ข้ารักพวกเจ้ายิ่งกว่าพี่น้องร่วมสายเลือด จงฟังให้ดี จงนำข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวข้าไปขายเพื่อตั้งตัว ยังมีสินเจ้าสาว คงพอให้เจ้าทั้งสองอยู่อย่างสบายไม่ขัดสน รีบหยิบไปก่อนที่ทางราชสำนักจะนำมันกลับคืนไป ออกไปจากที่นี่แล้วอย่าหันกลับมา อันตรายรอบด้าน ข้าไม่อาจอยู่ปกป้องเจ้าทั้งสองได้อีก ขาดข้าไปพวกเจ้าอาจถูกรังแก ที่ผ่านมาขอบน้ำใจเจ้าสองคนยิ่งนัก จงใช้ชีวิตที่เหลือ…อย่างมีความสุข” ฟ่านเยว่ซินค่อยๆ ขยับทำท่าจะลุกขึ้นนั่ง เจียลี่ปาดเข้ามาประคองเอาหมอนมาวางไว้ให้พระชายาพิงได้อย่างสะดวก แต่เพราะบาดแผลที่หลังทำให้แวบแรกที่แผลสัมผัสกับหมอนจึงรู้สึกเจ็บแปล๊บขึ้นมา

“ฮือ พระชายา อึก เจ็บมากไหม อึก เพคะ” เจียลี่ว่าพลางกุมมือพระชายาแน่น พระชายาใช้มืออีกข้างลูบไปที่หลังมือเจียลี่อย่างอ่อนโยน

ฟ่านเยว่ซินกัดฟันสั่งเสียต่อ “ส่วนหยุนซี” นางหยุดกล่าวพร้อมกับหยิบหยกที่นางพกติดตัวมอบให้กับเจียลี่

“จงมอบหยกนี้ให้แก่เขาและฝากบอกเขาว่า” ฟ่านเยว่ซินหยุดคิดก่อนจะกล่าวต่อ

“ข้าขอบใจเขามาก ดูแลตัวเองให้ดี จงใช้ชีวิตเพื่อตัวเอง ทำสิ่งที่อยากทำ” นางรู้ว่าที่หยุนซีตอบรับไปเป็นองครักษ์ของฮ่องเต้ไม่ใช่เพื่อบารมี อำนาจหรือเงินทอง แต่เพื่อนาง เพื่อตอบแทนนาง

“อีกเรื่องที่ข้าต้องขอวานให้เจ้าช่วยส่งจดหมายของข้าให้พี่ใหญ่ แต่อย่าให้พี่ใหญ่รู้เรื่องของข้าเด็ดขาด ให้เขาคิดว่าข้าอยู่ดี..มีสุขตลอดไป” ฟ่านเยว่ซินกล่าวถึงพี่ใหญ่ หัวหน้ากองโจรแต่แท้จริงแล้วเป็นเจ้าสำนักกุ้ยฮวา พลางมองไปยังหน้าต่างที่สภาพอากาศข้างนอกตอนนี้พายุเริ่มสงบเหลือเพียงสายฝนปรอยๆ เท่านั้น

“ช่วยเปิดหน้าต่างที”

ฟ่านเยว่ซินมองออกไปยังนอกหน้าต่างบานใหญ่ ดีที่ลมไม่แรงนักและฝนซาแล้ว เจียลี่จึงเปิดออกรับลมตามคำสั่งนายหญิงโดยไม่ทักท้วง นางคิดว่าหากพระชายาได้รับลมอาจจะรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง

“ลมเย็นดี” คนป่วยตะแคงข้างเพื่อหันมามองบรรยากาศภายนอก

“ข้ารู้สึกง่วงแล้วล่ะ...”

“งั้น ฮึก หม่อมฉันห่มผ้า ฮึก ให้นะเพคะ” ฝ่ามือของฟ่านเยว่ซินกุมไว้ที่มือของสาวใช้ที่กำลังจะห่มผ้าให้ตน เสียงสะอื้นถูกกลืนลงคอ พยายามบังคับเสียงไม่ให้สั่น กลัวว่านายหญิงของตนจะไม่สบายใจ

“ขอบใจ...เจีย..ลี่” มือที่กุมไว้ค่อยๆ คลายออก ก่อนจะตกลงอยู่ข้างตัว

“พระ..”

“พระชายา...”

“พระชายา!! อย่าทิ้งหม่อมฉั..น ได้โปรดดด”

ฮือออ

เสียงนั้นทำให้เหล่าหมอหลวงตกใจแต่ยังไม่ทันคิดอะไรก็มีเสียงมาจากด้านนอก

ผลัวะ!

เสียงประตูถูกผลักเข้ามาอย่างแรงด้วยฝีมือของเฉิงหลงซานที่เดินผ่านบรรดาหมอหลวงเข้ามาด้านในอย่างรวดเร็วจนไม่มีใครทันได้ถวายบังคม

“เกิดอะไรขึ้น?!!” ท่านอ๋องเดินเข้ามาเห็นสาวใช้ประจำตัวฟ่านเยว่ซินทรุดตัวร้องไห้บนพื้นข้างเตียง เขาเดินเข้าไปประคองกอดเยว่ซินไว้ สีหน้าซีดจาง กอปรตัวนางเริ่มเย็นทำให้เขาใจไม่ดี

เจียลี่มัวแต่ร้องไห้สะอึกสะอื้นเกินกว่าจะตอบอะไรได้ ประจวบเหมาะกับหมอหลวงตามเข้ามาพอดี ชินอ๋องรีบสั่งให้ไปดูอาการพระชายา หมอหลวงจับชีพจรทีละคนก่อนจะพากันส่ายหัวแต่ก่อนจะมีใครได้กล่าวอะไร เสียงขันทีหน้าตำหนักก็ดังขึ้นกันอย่างพร้อมเพรียง

“ฮ่องเต้เสด็จ”

“องค์ชายสามเสด็จ”

“องค์ชายสี่เสด็จ”

ถัดจากนั้นเพียงช่วงลมหายใจ ซานจิงก็กลับมาพร้อมกับ

“องค์ชายห้าเสด็จ”

คนในตำหนักทั้งนางกำนัล ขันที หมอหลวง ต่างคุกเข่าทำความเคารพบุคคลทั้งสี่กันอย่างพร้อมเพรียง “ขอฮ่องเต้จงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี ขอองค์ชายสาม องค์ชายสี่ องค์ชายห้าพระพลานามัยแข็งแรง” เว้นแต่ชินอ๋องที่มีเยว่ซินอยู่ในอ้อมกอด

“ไม่ต้องมากพิธี ต้าหยาง เจ้ารีบเข้าไปดูนางเร็ว” ฮ่องเต้รีบสั่งให้องค์ชายห้าเข้าไปช่วยดูอาการนางที่โดยมีร่างสูงกอดไว้ไม่ยอมปล่อย 

ส่วนทางด้านหมอหลวงไม่มีคนไหนยืนขึ้นเลย ทั้งหมดยังคงคุกเข่าก้มหน้าลงกับพื้น จนหมอหลวงท่านนึงที่ยังนั่งคุกเข่ากราบบังคมทูลด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“ท..ทูล..ฝ่าบาท กระหม่อมพยายามคลำหาชีพจรไม่พบแล้ว พระชายา...สิ้นพระชนม์แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เหล่าชายสูงศักดิ์ที่อยู่ในห้องไม่มีใครฟังคำที่หมอหลวงพูดเลยสักคน ทุกสายตาล้วนจับจ้องไปยังอนุชายคนเล็กด้วยแสงแห่งความหวัง "ต้าหยาง..."

องค์ชายห้าหันไปสบตากับชินอ๋อง ที่หลังจากสบตากันร่างสูงยิ่งกอดรัดร่างบางแน่นราวกับจะกลืนกินนางทั้งตัว ก่อนจะหันไปส่ายหัวเบาๆ ให้คนที่เหลือพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาคม

เพียงเท่านั้น

เปรี้ยง!

เสียงฟ้าผ่าลงมากลางตำหนักดังกึกก้องไปทั่ว ราวกับรับรู้ได้ถึงแรงโทสะของเจ้าตำหนักและชายอีกสี่คนที่พร้อมพัดโหมกระหน่ำอย่างรุนแรงราวกับจะไม่ยอมรับความจริงตรงหน้า เสียงร้องไห้ปิ่มจะขาดของคนที่อยู่บริเวณรับไม่ได้กับความจริงที่เกิดขึ้น

ข่าวโศกนาฏกรรมของพระชายาชินอ๋องนั้นกระจายออกไปทั่วทุกสารทิศ รวมถึงกลุ่มกองโจรที่เป็นปฏิปักษ์กับราชสำนักก็ได้รับข่าวนี้

นับแต่นั้น ฮ่องเต้ทรงมีพระบรมราชโองการให้ยกเลิกงานสังสรรค์รื่นเริงทุกชนิดโดยไม่สนเสียงนินทาก่นด่าของผู้ใด เป็นเหตุให้ขุนนางฝ่ายพิธีการดูจะได้รับความเดือดร้อนเป็นที่สุด ไม่เพียงเท่านั้นทั่วทั้งแคว้นก็ไม่มีใครได้โอกาสจัดงานมงคลใดๆ ทั้งสิ้น หากจะจัดต้องแอบจัดอย่างเงียบๆ โดยประชาชนต่างรู้ดีว่าเหตุมาจากการจากไปของพระชายาฟ่านเยว่ซินที่มีศักดิ์เป็นพระขนิษฐาบุญธรรมอันเป็นที่รักยิ่งขององค์ฮ่องเต้ ซึ่งนำพาความเศร้าหมองมาสู้แคว้นชื่อ พระศพของพระชายาถูกนำไปฝังในสุสานของราชวงศ์

มีคนเคยกล่าวไว้ว่าจิตสุดท้ายของมนุษย์ก่อนตายจะฉายภาพในอดีตออกมาเป็นฉากๆ เพื่อพาดวงจิตกลับไปสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง

ภาพสุดท้ายในห้วงมโนจิตของเยว่ซินมีแต่ภาพของชินอ๋อง ชายผู้เป็นดั่งชีวิต ดั่งลมหายใจ

‘กี่ภพชาติไม่คิดลืมเลือน’ ต่อให้นางถูกกระทำเจ็บช้ำแสนสาหัสก็ยังคงรักมั่น

‘หากท่านรักข้าเพียงเสี้ยวเท่าที่ข้ารักท่าน ระหว่างเราคงไม่จบลงเช่นนี้ ข้าเคยสาบานว่าจะรักท่านตราบสิ้นลมหายใจ ยามนี้ลมหายใจข้าหมดสิ้นแล้ว รักของข้าก็เช่นกัน ไม่มีสิ่งใดติดค้างกัน’

คิดได้เท่านั้นดวงจิตสุดท้ายก็ลอยละล่องหายไปเหลือไว้เพียงร่างกายที่เย็นชืด

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel