บทที่ 1 - เกลียดแค้น (2)
ณ ไร่พรอุษา จังหวัดจันทบุรี ในบ้านหลังใหญ่กำลังต้อนรับแขกที่ไม่ได้รับเชิญเหมือนทุกครั้ง วทันยูเดินเข้ามาในบ้านตัวเองเมื่อนมอิ่มได้โทรไปตามเขาบอกว่าตอนนี้เจ้าสัวเวทิตมารออยู่ที่บ้าน เขามาถึงห้องรับแขกก็ยกแขนขึ้นมองดูนาฬิกาที่ข้อมือเป็นเวลาหนึ่งทุ่มกว่า เขาเดินไปนั่งลงโซฟาตัวยาวด้วยท่าทางสบายโดยไม่คิดจะสนใจยกมือไหว้แขกที่ตนเองเกลียดชัง
“คุณมาทำอะไร เจ้าสัวเวทิต” เขาถามทันทีเมื่อหย่อนก้นนั่งลงพร้อมกับเด็กรับใช้นำน้ำเย็นๆ มาเสิร์ฟให้เขา ส่วนของแขกและคนติดตามของแขกมีอยู่ก่อนแล้ว
“ทำไมยู พ่อมาหาลูกไม่ได้เลยรึไง”
เจ้าสัวเวทิตรู้ดีว่าลูกชายคนเดียวของตัวเองเกลียดตัวเองและไม่อยากเจอหน้าตัวเองมากแค่ไหน แต่เขาอยากให้วทันยูรับรู้ว่าแม้ชายหนุ่มจะเคียดแค้นชิงชังตัวเองมากแค่ไหน เขาก็ยังรักลูกชายคนนี้ ไม่เคยถือโทษหรือโกรธตอบแม้ได้รับความเย็นชาร้ายกาจจากอีกฝ่ายตอบโต้กลับมา
“ว่าธุระของคุณมาเถอะเจ้าสัวเวทิต อย่ามาแทนตัวเองว่าพ่อลูกกับผมเลย ผมไม่เคยมีพ่อ ผมมีแค่แม่สุรีย์คนเดียวที่เลี้ยงผมและท่านก็ได้จากผมไปแล้ว ถ้าคุณจะมาพูดแค่นี้ก็เชิญกลับไปที่ของคุณเถอะครับ ผมไม่ต้อนรับคุณ คุณก็รู้ดีแก่ใจ” เขาตอบกลับเย็นชาพร้อมกับลุกขึ้นจะเดินหนี แต่เสียงแหบแห้งของชายวัย 68 ปี เอ่ยรั้งไว้ก่อน
“เดี๋ยวก่อนสิยู พ่อมีเรื่องอยากขอร้องลูก”
“ขอร้องลูก? คุณอย่าพูดคำนี้ได้ไหม ผมไม่มีพ่อและคุณก็ไม่ใช่พ่อผม พ่อผมตายไปนานแล้ว และเลิกมาหาผมสักทีเถอะ ผมเกลียดคุณ” เขายกยิ้มเหี้ยมส่งให้ผู้เป็นบิดาแล้วทิ้งตัวนั่งลงที่เดิม
“พ่อรู้ว่ายูเกลียดพ่อ แต่ถึงเกลียดยังไง พ่อก็ไม่เคยเกลียดลูกชายของพ่อ ลูกคือลูกพ่อเสมอนะยู” เสียงแหบแห้งตามวัยเอ่ย
“เลิกพูดไร้สาระสักทีเถอะ มีอะไรก็ว่ามา ถ้าไม่พูดก็เชิญออกจากบ้านของผมไปได้แล้ว บ้านพรอุษาไม่ต้อนรับคนทรยศอย่างคุณ”
เจ็บแล้วเจ็บเล่ากับคำพูดของลูกชายคนเดียวของตัวเอง แต่ด้วยรู้ดีว่าอดีตที่ผ่านมาตัวเองผิด ผิดที่ทำให้ชายหนุ่มเป็นเช่นนี้ ผิดที่เขาเอง เขาอยากแก้ไขอดีต แต่มันก็ยากเกินจะแก้ไขแล้ว เพราะมันผ่านมาหลายปีเหลือเกิน
“พ่ออยากให้ยุเข้ามารับช่วงบริหารบริษัทต่อจากพ่อ ตอนนี้พ่อแก่มากแล้ว และพ่อก็ไม่ค่อยแข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน...แค่กๆ” เวทิตพูดจบก็ยกมือปิดปากไอ แต่มันก็ไม่ได้เรียกร้องความสงสารเห็นใจจากคนเย็นชาอย่างวทันยูได้เลย
“คงรู้ตัวว่าตัวเองใกล้ตายสินะถึงได้มาหาผมบ่อยแบบนี้ แล้วทำไมไม่ไปให้ผู้หญิงแพศยาคนนั้นกับลูกสาวหล่อนช่วยดูแลล่ะ” เขาถามกลับด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“พวกเขาสองแม่ลูกไม่เกี่ยวอะไรด้วย และไม่เกี่ยวข้องกับเรา ทำไมพ่อต้องให้เขาช่วยด้วยล่ะ”
“ก็เห็นพาลูกสาวของหญิงแพศยาคนนั้นไปทำงานด้วยนี่”
“ลูกรู้” เจ้าสัวเวทิตเอ่ยถาม
“สรุปที่มาหาผมวันนี้ เพราะอยากให้ผมไปรับช่วงบริหารงานต่องั้นสินะ ถึงได้ถ่อมาถึงที่นี่ ทั้งๆ ที่มาหลายครั้งแล้วผมก็ยังยืนยันคำเดิม งั้นครั้งนี้ผมจะสงเคราะห์ให้ก็แล้วกันถึงแม้ว่างานผมจะเยอะมากก็ตาม ไหนๆ คุณก็ใกล้ตายแล้วนี่ ถือว่าทำบุญกับคนพิการใกล้ตายก็แล้วกัน” วทันยูมองผู้เป็นบิดาที่นั่งบนรถเข็นด้วยสายตาสมเพชก่อนจะพูดต่อ “ผมจะไปรับช่วงต่อก็ได้ คุณต้องยกทุกอย่างให้ผมจัดการทั้งหมด ผมอยากปรับเปลี่ยนตรงไหน คุณก็ไม่มีสิทธิ์เข้ามาวุ่นวาย เพราะถือว่าคุณไร้ประโยชน์ในบริษัทแล้ว คุณมันก็แค่คนพิการรอวันตาย”
เจ้าสัวเจ็บร้าวในอกแทบอยากร้องไห้ แต่ก็กัดเม้มปากแน่นฝืนความเจ็บปวดในใจตัวเองไว้ ด้วยรู้ดีว่าวทันยูนั้นเป็นคนใจเหี้ยมโหดแค่ไหน และใครกันล่ะทำให้วทันยูเป็นเช่นนี้ เพราะเขาอีกนั่นแหละที่สร้างปมความเจ็บแค้นในใจของชายหนุ่มจนต้องเป็นคนก้าวร้าว ใจอำมหิตเช่นนี้
“ได้ทุกอย่าง พ่อจะไม่เข้าไปวุ่นวาย เพราะมันเป็นของยูตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ทุกอย่างที่พ่อมี มันคือของยู” เจ้าสัวเวทิตกัดกลืนความเจ็บไว้ในอกแล้วพูดออกมา
“เดี๋ยวผมจะให้เลขาของผมเข้าไปจัดการอาทิตย์หน้า ก่อนที่ผมจะเข้าไปบริหาร ถ้าหมดเรื่องแล้วเชิญคุณกลับไปได้แล้วเจ้าสัวเวทิต” วทันยูลุกขึ้นพร้อมชี้มือไล่อีกฝ่าย
“มันดึกแล้ว ให้พ่อค้างที่บ้าน...”
“บ้านนี้ไม่อนุญาตให้คนนอกพัก เชิญครับ ไปนอนโรงแรมข้างนอกเถอะครับ อย่ามานอนหายใจใต้หลังคาเดียวันเลย ผมไม่สะดวก” เขารู้ดีว่าเจ้าสัวเวทิตจะพูดอะไรเลยรีบเอ่ยแทรกตัดประโยคอีกฝ่าย
“คุณยูคะ นมว่าให้เจ้าสัวเวทิตพักค้างที่นี่เถอะนะคะ นมได้จัดห้องไว้ให้เจ้าสัวแล้ว” นมอิ่มที่แอบฟังอยู่เดินเข้ามาในห้องรับแขกพร้อมจับแขนของอีกฝ่ายพร้อมลูบเบาๆ อย่างขอร้อง ส่วนวทันยูมองไปทางคนพิการและคนติดตามแล้วเม้มปากแน่น
“ไม่ครับ ผมไม่ต้องการให้เขาอยู่ที่บ้านหลังนี้ ส่งแขกด้วยนมอิ่ม” เขาปัดมือนมอิ่มออกจากแขนตัวเองแล้วเดินจากไปโดยไม่คิดไหว้ผู้ให้กำเนิดตัวเอง
เฮ้อ!
นมอิ่มถอนหายใจไล่หลังชายหนุ่มที่เดินจากไปแล้วหันมาทางเจ้าสัวที่นั่งหน้าอมทุกข์อยู่บนรถเข็นก่อนจะเอ่ย
“เชิญเจ้าสัวกลับค่ะ ฉันช่วยได้เท่านี้จริงๆ” นางเอ่ยบอกอีกฝ่าย
“ฉันรู้ว่าในใจและในสายตาของยู ฉันเป็นเพียงคนสารเลวที่ทำให้แม่เขาตาย”
เจ้าสัวเวทิตเอ่ยแล้วหันไปแหงนเงยหน้ามองคนที่ยืนด้านหลังรถเข็นตัวเองแล้วพยักหน้าให้เข็นพาตัวเองออกจากห้องรับแขก ในเมื่อเจ้าของบ้านไม่ต้อนรับจะอยู่ทำไม และหวังเหลือเกินว่าก่อนตายเขาจะได้ยินวทันยูเรียกเขาว่า ‘พ่อ’ เหมือนครั้งที่ชายหนุ่มยังเด็ก และหวังเหลือเกินว่าความแค้นในใจของวทันยูจะจางหายก่อนที่เขาจะสิ้นลมจากโลกนี้ไป
“ฝากแม่อิ่มดูแลยูด้วยนะ ฉันคงทำได้แค่มองดูเขาโตห่างๆ เหมือนที่ผ่านมา” เมื่อออกมาที่ลานจอดรถของบ้านหลังใหญ่ที่คนขับรถได้ขึ้นไปติดเครื่องยนต์รอท่าตัวเองแล้วก็หันมาเอ่ยกับนมอิ่มที่เดินออกมาส่งตัวเอง
“อย่าคิดมากเลยนะท่านเจ้าสัว ดิฉันเชื่อว่าสักวันท่านและคุณยูจะเข้าใจกัน” นางเอ่ยทั้งๆ ที่รู้ดีว่ามันยากเหลือเกินที่วทันยูจะทิ้งความแค้นแล้วให้อภัยผู้ให้กำเนิดตัวเอง
“ฉันเลิกหวังแล้วแหละแม่อิ่ม ฉันรู้ดีว่าฉันทำผิดกับยูและแม่ของเขามากในตอนนั้น” เวทิตเอ่ยเสียงเศร้าสร้อย นมอิ่มได้แต่พยักหน้ารับรู้และเชื่อว่าเจ้าสัวเวทิตนั้นรักวทันยูและคุณสุรีย์มาก แต่ไม่รู้ว่าทำไมช่วงเวลานั้นถึงได้สร้างความเจ็บปวดให้ทุกคนแบบนี้
“ฉันไปล่ะแม่อิ่ม” แล้วก็หันมาพยักหน้าสั่งประมวลให้ประคองตัวเองขึ้นไปนั่งบนรถ เมื่อขึ้นมาบนรถก็เหลือบสายตามองไปทางชั้นสองของบ้านเมื่อรู้สึกว่ากำลังถูกจ้องมองอยู่ และคนที่ขึ้นไปบนห้องได้มายืนแอบมองก็รีบปิดดึงม่านทันทีเมื่อถูกจับได้ เจ้าสัวเวทิตเห็นผ้าม่านไหวจึงอมยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นเงาของใครบางคนอยู่หลังม่าน
ประมวลเก็บรถเข็นไว้หลังรถแล้วขึ้นไปนั่งกับนายตัวเองแล้วปิดประตูและรถก็ถูกบังคับออกตัวไปทันที ส่วนนมอิ่มก็เดินกลับเข้าไปในบ้านเมื่อส่งแขกเสร็จ
‘ยู พะ...พ่อมารึยังลูก” เสียงแหบแห้งของคนป่วยบนเตียง ปากซีดเซียว หน้าซีดเซียวกว่าจะเอ่ยจบประโยคได้ก็ลำบากเหลือเกิน
‘ยังครับแม่ ยูโทรตามพ่อแล้วนะครับ’ เด็กชายวทันยูวัย 12 ขวบเอ่ยตอบผู้เป็นมารดาที่มีเครื่องช่วยหายใจให้ความช่วยเหลือประคองชีวิตในตอนนี้พร้อมจับมือนุ่มนิ่มของท่านมาแนบแก้มตัวเองทั้งน้ำตา จริงๆ หนุ่มน้อยไม่ได้โทรไปตามพ่อ เพราะเมื่อเช้าก่อนจะออกมามีผู้หญิงมาหาพ่อและท่านก็ออกไปพร้อมกับหล่อนคนนั้นจนตอนนี้ก็ยังไม่กลับมาบ้าน เขาโทรไปถามนมอิ่มก็บอกว่าพ่อของเขายังไม่กลับมา และเขาจำภาพของผู้หญิงคนนั้นได้ดี หล่อนวิ่งมาสวมกอดพ่อของเขา พ่อของเขาก็โอบกอดตอบกลับแนบแน่นแล้วพากันออกไปข้างนอก ทั้งๆ ที่มารดาของเขาป่วยหนักที่โรงพยาบาล และรู้ดีว่าที่ท่านเป็นแบบนี้เพราะใคร เพราะพ่อกับหญิงแพศยาคนนั้นท่านถึงทรุดหนัก
‘ยู...ตะ...ตามพ่อให้แม่หน่อยลูก แม่อยากเจอพะ...พ่อของลูก อึก! อื้อ” นางหายใจติดขัด ปกติสุรีย์มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว นางป่วยเป็นโรคหัวใจรั่วมาตั้งแต่เด็ก ยิ่งมาเจอสามีและจำปาไปมาหาสู่กันติดต่อกัน นางก็ยิ่งเจ็บปวด เมื่อตามไปเจอทั้งคู่อยู่ด้วยกันที่บ้านของอีกฝ่าย และภาพที่เห็นวันนั้นคือเจ้าสัวเวทิตโอบกอดกับจำปา ทั้งๆ ที่สามีของจำปานั้นเป็นเพื่อนสนิทของเจ้าสัวเวทิต สามีของตนเอง และสามีของจำปาก็จากไปด้วยอุบัติเหตุ จากไปได้ไม่นาน สามีนางก็เหมือนจะดูแลใส่ใจจำปาและลูกน้อยที่อายุยังไม่ถึงขวบของนางมากกว่าที่เพื่อนจะดูแลกัน
‘ครับแม่ ยูจะโทรตามพ่อให้แม่นะครับ’ วทันยูเอ่ยรับปากแล้วปล่อยมือแม่จะออกไปโทรศัพท์หาพ่อนอกห้อง แต่แล้วมือแม่ที่กำลังจะปล่อยก็กำมือของหนุ่มน้อยไว้แน่นจนเขาต้องนั่งลงเหมือนเดิมแล้วหันมาเอ่ยกับท่านว่า...
‘ยูไม่ไปแล้วครับแม่ แม่รีอยากให้ยูอยู่ข้างๆ ใช่ไหมครับ’ หนุ่มน้อยบีบกุมมือของแม่แน่นพร้อมกับแนบแก้มไปกับหลังมือของท่าน
‘อยู่กะ...กับแม่ อึก!’ นางรู้ว่าตอนนี้นางฝืนตัวเองไม่ไหวแล้ว ลมหายใจเริ่มจะหมดลงทุกที
‘ครับแม่ ยูจะอยู่กับแม่ แม่ต้องอยู่กับยูนะครับ แม่...อึก!’ หนูน้อยเอ่ยเสียงสั่นเครือเจ็บปวดสงสารแม่ที่หายใจรวยรินทุกที
‘มะ...ไม่ไหวแล้ว แม่รักยูนะลูก อื้อ...อึก!’ นางยกแขนอีกข้างที่ไม่ได้จับกุมกับมือลูกชายมาลูบแก้มของลูกชาย ก่อนที่มือจะร่วงหล่นจากแก้มพร้อมกับสัญญาณชีพของนางดับสูญไปตลอดกาล
ติ๊ด! ติ๊ด! ติ๊ด!
“แม่! อย่าทิ้งยูไป อึก! ฮือๆๆๆๆ อยู่กับผมก่อน ตื่นขึ้นมาคุยกับผมก่อนแม่ ฮือๆๆๆ’ เด็กชายวทันยูร้องไห้พร้อมตะโกนเรียกแม่และเขย่าปลุกท่านให้ตื่นมาพูดคุยกับตัวเองเหมือนเดิมและหมอพยาบาลก็ต่างพากันวิ่งเข้ามาในห้อง
นั่นคือความทรงจำที่เจ็บปวดและฝังอยู่ในใจเขาตั้งแต่วัย 12 ขวบ ภาพของแม่ที่จากไปไม่มีวันกลับมันคอยย้ำเตือนความชั่วของเจ้าสัวเวทิตกับจำปาได้ดี และตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่เขาจะแก้แค้นพวกทรยศนั่น พวกที่ทำให้มารดาที่เป็นที่รักยิ่งของเขาจากไปไม่มีวันหวนกลับ