บทย่อ
“พี่ยูกำลังจะเป็นพ่อคนแล้วค่ะ ดีใจไหมคะ” มือน้อยกุมมือใหญ่ที่มีแท่งทดสอบการตั้งครรภ์ถืออยู่ในมือพร้อมก้มหน้าลงไปจะแนบกับหลังมือตัวเอง แต่ก็ถูกมือใหญ่สะบัดออกเต็มแรง “หึ! ดีใจสิ ดีใจมากด้วย” วทันยูตอบกลับพร้อมก้าวถอยห่างออกจากพรปวีณ์ไปหนึ่งก้าวเดินเพื่อมองร่างเล็กชัดๆ ก่อนจะพูดต่ออีก... “ในที่สุดก็ถึงวันนี้สักที ไสหัวออกไปซะ! ออกไปจากบ้านของฉัน และไม่ต้องกลับมาให้ฉันเห็นหน้าอีก ส่วนหุ้นสิบห้าเปอร์เซ็นต์ที่บริษัท ฉันยกให้เธอกับลูกของเธอพรปวีณ์” น้ำคำเลือดเย็นเย็นชาดังลอดออกมาจากริมฝีปากหนาทำให้พรปวีณ์ไม่อยากเชื่อหูตัวเอง สีหน้าท่าทางของชายหนุ่มที่รักเปลี่ยนไปจากก่อนหน้านี้ เขาเย็นชาไร้ความอ่อนโยนเหมือนกับว่าไม่เคยรู้จักมาก่อน สาวน้อยยืนนิ่งปล่อยให้น้ำตาไหลอาบสองแก้ม ช็อกกับสิ่งที่ได้ยินและได้เห็นตรงหน้า “พะ...พี่ยูทำไมพูดกับวีแบบนี้คะ เรารักกันไม่ใช่เหรอคะ” เธอถามเสียงสั่นทั้งๆ ที่ในใจร้าวเหลือจะทนในตอนนี้ เธอไม่ใช่คนโง่และตอนนี้ก็พอจะมองอะไรออกแล้วว่าที่ผ่านมามันเป็นแค่ละครฉากหนึ่งของเขาเท่านั้น มันจะเป็นไปได้ยังไง ผู้ชายที่ตบหน้าตัวเองครั้งแรกที่เจอจะมาเปลี่ยนเป็นรักตัวเอง เธอมันโง่เอง โง่เองที่หลงรักผู้ชายไร้หัวใจคนนี้ “ยัยโง่เอ๊ย! ฉันโกหกเธอ เธอก็เชื่องั้นเหรอ ใครจะไปรักลูกของผู้หญิงแพศยาอย่างเธอ ฉันล่ะสะอิดสะเอียนเธอเต็มทนแล้วตอนนี้ ไสหัวไปซะ! ไปไหนก็ไป อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก ส่วนลูกในท้องเธอ ฉันยกให้เป็นของขวัญวันเลิกราก็แล้วกันยัยโง่! หึหึ” ----------- "วทันยู" ผู้ชายที่มีความแค้นหล่อเลี้ยงชีวิต "พรปวีณ์" ผู้หญิงที่มีความรักหล่อเลี้ยงชีวิต แล้วจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อสาวน้อยบริสุทธิ์ต้องมาเจอกับคนที่มีจิตใจมืดบอดอย่างวทันยู ----------- #คิดหื่นเชิญเสพ ณิการ์(ยักษ์)
บทที่ 1 - เกลียดแค้น (1)
กรอด!
เสียงกัดกรามกรุ่นโกรธดังลอดออกมาจากริมฝีปากหนาสีเข้มจากการดูดบุหรี่เป็นประจำของชายหนุ่มดังลอดออกมาเมื่อได้เห็นภาพที่เลขาส่วนตัวนำมาให้ ชายหนุ่มได้จ้างนักสืบเพื่อสืบดูความเคลื่อนไหวของพ่อบังเกิดเกล้าตลอด ระยะเวลาหลายสิบปีมานี้ และยังเหมือนเดิมที่พ่อของเขายังคงไปมาหาสู่ผู้หญิงสารเลวที่แย่งพ่อเขาไปจากแม่ของเขาจนท่านต้องตรอมใจตาย เพราะความชั่วของคนสองคน เขาถึงต้องโตมาโดยไร้ซึ่งอ้อมกอดของผู้เป็นมารดา เขาโตมากับนมอิ่มที่เปรียบเหมือนแม่คนที่สอง
สมควรรับรู้ถึงความเจ็บปวด ความแค้นของนายหนุ่มตัวเองดี และรู้ดีว่าความแค้นยิ่งเพิ่มพูนขึ้นทุกวันเมื่อเห็นคนสองคนมีความสุขดี ต่างจากเขาที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว มีเพียงความแค้นที่เยียวยาหล่อเลี้ยงให้เขาโตมาเป็นวทันยู พรอุษา หรือยู วัย 35 ปี เหมือนอย่างทุกวันนี้ เขาเปลี่ยนมาใช้นามสกุลของแม่ ตั้งแต่ที่แม่ตรอมใจตายตอนเขาอายุ 12 ขวบ วทันยูรับรู้ทุกอย่างถึงความขัดแย้งไม่ลงรอยของพ่อแม่ และจำมันได้ดีเมื่อพ่อทรยศต่อความซื่อสัตย์ของแม่ไปคบชู้กับหญิงสารเลวคนนั้น
สิ่งที่เขาเกลียดแค้นที่สุดยามมองกระจกคือเห็นเงาะสะท้อนของตัวเอง ไม่ว่าจะรูปร่างหน้าตา ทุกอย่างล้วนถ่ายทอดมาจากผู้ชายสารเลวคนนั้นทั้งหมด ทำไมเขาถึงต้องเหมือนแฝดของคนที่เขาเกลียดด้วย เกลียดแม้กระทั่งเลือดของเวทิตที่ไหลเวียนในตัวของเขาครึ่งหนึ่ง
“คุณยูจะให้เลิกติดตามหรือติดตามต่อครับ” สมควรเลขาคนสนิทเอ่ยถาม
“ติดตามต่อไป แล้วลูกสาวของหญิงแพศยาคนนั้นล่ะ ตอนนี้เรียนจบรึยัง” เขาถามถึงพรปวีณ์ ลูกสาวของหญิงแพศยาคนนั้น
ธุรกิจทุกอย่างที่เขาดูแลล้วนเป็นของมารดาผู้ให้กำเนิด ทรัพย์สมบัติทุกอย่างที่เป็นของเวทิต บิดาผู้ทำให้เขาเกิดมา เขาไม่รับสักอย่างแม้จะเป็นโรงงานส่งออกผลไม้อบแห้งที่อีกฝ่ายได้มาขอร้องให้เขาเข้าไปรับช่วงบริหารต่อจากตน ทุกวันนี้เขาทำไร่ส้มและส่งออกส้มไปต่างประเทศ ทุกอย่างคือสมบัติที่มารดาทิ้งไว้ให้เขา และตอนนี้ก็เปิดตลาดไปหลายประเทศแล้ว ทั้งเวียดนาม จีน มาเลเซีย ญี่ปุ่น เกาหลี ตอนนี้กำลังเปิดตลาดที่ยุโรป และทุกวันนี้ไม่มีใครไม่รู้จักนายวทันยู เจ้าของไร่ส้มพรอุษาที่ร่ำรวยที่สุดในจังหวัดจันทบุรี
“เรียนจบแล้วครับคุณยู และตอนนี้เหมือนว่าจะไปทำงานที่บริษัทของคุณเวทิตครับ”
“หึ! อีกหน่อยคงยกทุกอย่างให้สองแม่ลูกนั่น ขนาดพิการยังบ้าตัณหา” เขามองรูปในมือที่เปิดดูเป็นรูปที่เจ้าสัวเวทิตบิดาและจำปา ผู้หญิงที่เขาตราหน้าว่าแพศยามาตลอดกำลังโอบกอดกันในบ้านของอีกฝ่าย
เมื่อสิบกว่าปีก่อน เวทิตได้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เลยทำให้เดินไม่ได้ ขยับช่วงล่างไม่ได้ แต่ช่วงบนยังทำงานได้ปกติ และนั่นแหละทำให้เขาสะใจนักที่กรรมกำลังเล่นงานพวกไม่ซื่อสัตย์ พวกทรยศคนรักตัวเอง และเขาจะไม่เป็นแบบผู้ชายคนนั้นแม้ว่าเลือดในตัวของตัวเองจะมีเลือดของเจ้าสัวเวทิตไหลเวียนอยู่ครึ่งหนึ่งก็ตาม
“สั่งนักสืบของเราจับตาดูพวกชั่วนั่นตลอดเวลา ฉันต้องการความเคลื่อนไหวจนกว่าจะมีจังหวะ” วทันยูเน้นท้ายประโยคห้วนแข็งและนั่นทำให้สมควรเลขาคนสนิทถึงกับงงไม่เข้าใจ เพราะไม่รู้ว่านายหนุ่มรอจังหวะอะไรอยู่ตอนนี้
“จังหวะอะไรครับคุณยู”
“จังหวะที่จะทำให้พวกมันตายทั้งเป็นไงล่ะ เหมือนที่พวกมันทำกับแม่ฉัน และทำให้ฉันต้องอยู่กับความแค้น อยู่อย่างไม่มีความสุขมาตลอดหลายสิบปี โดยเฉพาะลูกสาวของผู้หญิงแพศยาคนนั้น จับตาดูให้ดี ฉันต้องการความเคลื่อนไหวเด็กนั่นทุกอย่าง”
เขารู้แล้วว่าตอนนี้เจ้าสัวเวทิตและหญิงชั่วที่มาแทรกกลางความรักของแม่เขาที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับนั้น ใครมีความสำคัญกับทั้งสองคน ทางเดียวที่จะทำให้พวกทรยศนั่นตายทั้งเป็นคือทำลายชีวิตที่กำลังสดใสของพรปวีณ์ สำเภางาม หรือวี วัย 22 ปีพังย่อยยับ ทำให้หล่อนตายทั้งที่ยังหายใจอยู่
สมควรรู้ทันทีว่าตอนนี้เจ้านายหนุ่มมุ่งเป้าไปทางหญิงสาว เข้าใจดีว่าตลอดระยะเวลาที่ตัวเองเป็นทั้งเลขาและเพื่อนคนเดียวของวทันยูนั้นเป็นเช่นไร ชายหนุ่มรับรู้ถึงความเคียดแค้นชิงชังเจ้าสัวเวทิตที่เป็นพ่อแท้ๆ ของเพื่อนรักดี และรู้ดีว่าเกลียดสองแม่ลูกอย่างจำปาและพรปวีณ์ สมควรได้แต่หวังว่าสักวันวทันยูจะละทิ้งความแค้นแล้วอยู่เพื่อตัวเองบ้าง แต่นับวันก็ยิ่งเพิ่มพูนความแค้น สะสมจนทำให้ตัวเองหมกมุ่น ชีวิตของวทันยูน่าสงสาร คนภายนอกอาจจะมองว่าดีเลิศน่าอิจฉา แต่ใครจะรู้จักเพื่อนคนนี้ดีเท่าเขาล่ะว่าน่าสงสารมากแค่ไหน
เฮ้อ!
สมควรถอนหายใจดังออกมาพร้อมเดินไปหยิบซองเอกสารตรงหน้าที่นายหนุ่มเพิ่งวางลงมาถือไว้
“ถอนหายใจทำไมสมควร และบอกกี่ครั้งแล้วเวลาอยู่ด้วยกัน นายไม่ต้องเรียกฉันว่าคุณก็ได้ เราเพื่อนกันนะเว้ย! กูกับมึงโตมาด้วยกัน” เขารู้ดีว่าเสียงถอนหายใจของสมควรนั้นหมายถึงอะไร
“มันชินปากไปแล้วว่ะไอ้ยู จะให้สลับไปมา กูก็เบื่อว่ะ”
“งั้นมึงก็เรียกกูเหมือนอยู่ด้วยกันก็ได้ ไม่ต้องเรียกคุณยูหรอก มันขนลุก อ้อ...ไปได้แล้ว ไปสืบเรื่องของเจ้าสัวเวทิตมาด้วยว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่ และกูมีความคิดดีๆ แล้วว่ะ” เขายกยิ้มร้ายเมื่อมีความคิดแทรกเข้ามาในหัว จริงอยู่เมื่อก่อนเขาไม่ต้องการจะเข้าไปวุ่นวายกับบริษัทของเจ้าสัวเวทิต ผู้เป็นบิดาให้ชีวิตตัวเองในใบสูติบัตร
“ความคิดดีๆ?” สมควรเลิกคิ้วจ้องมองหน้าเพื่อนที่โตมาด้วยกันอย่างไม่เข้าใจ
หึหึ
“เดี๋ยวมึงก็รู้เองไอ้สมควร ไปจัดการงานของมึงได้แล้ว มึงจำไว้ว่ามึงไม่ใช่แค่เพื่อน แต่มึงเป็นเหมือนครอบครัวกู เพราะกูมีแค่มึงและนมอิ่ม” เขาเน้นย้ำในท้ายประโยค
“อืม...ละ...แล้วเดี๋ยวยังไงจะบอกอีกทีถ้าได้ความคืบหน้ามา”
แล้วสมควรก็ออกจากห้องทำงานของวทันยูไปทำงานของตัวเองที่ได้รับมอบหมาย สมควรเป็นหลานชายของนมอิ่ม สมควรไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน โดดเดี่ยวไม่แพ้เขา เพราะพ่อแม่แท้ๆ ได้ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปตั้งแต่เด็ก นมอิ่มที่เป็นญาติคนเดียวของสมควรจึงรับสมควรมาอยู่ด้วย
ร่างเล็กเพรียวระหงวิ่งเข้ามาในบ้านพร้อมกับข้าวของเต็มไม้เต็มมือ วันนี้หลังเลิกงานเธอก็แวะตลาดสดซื้อของสดกลับมาบ้านเพื่อทำให้แม่ที่รักและคุณลุงที่เคารพของตัวเอง เมื่อท่านบอกว่าเย็นนี้จะแวะมาทานมื้อเย็นที่บ้าน พรปวีณ์เลยตื่นเต้นที่จะโชว์ฝีมือทำมื้อเย็นให้คุณลุงและแม่ตัวเองทาน เพราะทุกครั้งที่ท่านมา เธออยากจะโชว์ฝีมือการทำอาหารแต่ก็ไม่มีเวลา วันนี้เลิกงานเร็วจึงรีบกลับมาเตรียมมื้อเย็น หญิงสาวเข้าไปทำงานที่บริษัทของเจ้าสัวเวทิตเพื่อนสนิทของพ่อตัวเอง ท่านใจดีกับเธอและแม่มาก ตั้งแต่พ่อจากไปก็มีท่านเข้ามาดูแลให้ความช่วยเหลือทุกอย่าง
“กลับมาแล้วเหรอลูก” จำปาถามลูกสาวที่ถือข้าวของเข้ามาในบ้านเต็มไม้เต็มมือ
“ค่ะแม่ ลุงเวทิตจะมารึยังคะ วันนี้วีจะทำมื้อเย็นเองค่ะ แม่กับป้าแจงไม่ต้องทำนะคะ” เธอบอกแม่และป้าแจง แม่บ้านของตัวเอง
“วันนี้ลุงเวทิตไม่มานะลูกวี คุณลุงเพิ่งโทรมาบอกแม่ก่อนที่ลูกจะมาถึงบ้านไม่นานนี้เอง ท่านบอกว่าจะไปจันทบุรี ไปหาลูกชายน่ะ” นางบอกลูกสาว
“ไปตอนนี้เนี่ยนะคะ กรุงเทพไปจันทบุรีตอนนี้เนี่ยนะคะ ทำไม่รอไปพรุ่งนี้ เพราะนี่ก็ใกล้ค่ำแล้ว” เธอเอ่ยถามแม่
“น่าจะมีธุระน่ะลูก ไหนวันนี้ได้ของสดอะไรมาฮึ น้องวีของแม่ก็ทำให้แม่กับป้าแจงทานก็ได้ วันหลังค่อยทำให้คุณลุงเวทิตกินดีไหมลูก”
“เอางั้นก็ได้ค่ะ ก็ว่าจะทำผัดเปรี้ยวหวานทะเล แกงจืดเต้าหู้ และแกงเผ็ดเนื้อที่คุณลุงเวทิตชอบ และมีไข่เจียวหมูสับของโปรดแม่จำปาด้วยค่ะ” พรปวีณ์พูดอย่างตื่นเต้น เธอเรียนจบบริหารมาและตอนนี้ได้เข้าทำงานในบริษัทของเจ้าสัวในตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายการตลาด
“ทำไมทำหลายอย่างจังลูก เอาแค่สองอย่างพอแล้วเรากินกันแค่สามคนเอง”
“แต่น้องวี...” แล้วเธอก็พยักหน้าเมื่อนึกตามคำพูดแม่ ท่านพูดถูกกินกันแค่สามคนเอง เก็บไว้ทำวันอื่นก็ได้
“งั้นก็ได้ค่ะ น้องวีไปเปลี่ยนชุดก่อนนะคะ จะได้มาเข้าครัว วันนี้ป้าแจง แม่จำปาไม่ต้องช่วยนะคะ น้องวีทำเอง” หญิงสาวบอกทั้งสองที่นั่งบนโซฟาชุดเล็กในห้องนั่งเล่นของบ้านชั้นเดียวหลังเล็กที่แสนอบอุ่นของตัวเอง ป้าแจงเหมือนคนในครอบครัวไปแล้วตอนนี้
“ไปเถอะ เดี๋ยวป้าแจงเอาของไปไว้ในครัวให้นะน้องวี” แจงเอ่ยขึ้นพร้อมลุกขึ้นไปรับถุงของสดและผักที่หญิงสาวถืออยู่ทันที
“ขอบคุณนะป้าแจง” แล้วเธอก็ส่งของในมือให้ป้าแจงก่อนจะเดินไปทางห้องนอนของตัวเอง ส่วนแจงก็เดินไปทางห้องครัวที่อยู่ด้านหลังบ้าน ส่วนจำปาก็หันมาสนใจหนังสือนิยายที่หน้าตักตัวเองต่อ