ตอนที่ 4 พูดจาเหน็บแนม
เจียงจวินถูกมารดาบิดใบหู จนเขาต้องร้องโอดโอยออกมา ฟางหว่านหนิงไม่ยิ้มแย้มหรือหัวเราะชอบใจ นั่นเพราะรู้ดีว่ายิ้มไปก็เท่านั้น หัวเราะไปก็เท่านั้น คนเช่นนางเป็นแค่คนไร้ค่า หาได้มีราคาต่อจิตใจของเขาแต่อย่างใด
นางจึงเลือกยอบกายลงแล้วเดินกลับเรือนนอนของตน ซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเรือนของคุณชายสาม เรือนนอนของฟางหว่านหนิงตกแต่งอย่างเรียบง่าย ด้านในมีเครื่องประดับเป็นจำพวกแจกันหยก ม่านไข่มุกประดับก่อนถึงเตียงนอน
มีอาภรณ์ที่ตัดเย็บอย่างประณีตพับเรียงรายอยู่ในตู้ไม้ไผ่ หลังฉากกัน ในห้องส่วนนี้จะมีอ่างไม้ใบใหญ่วางอยู่ ข้าง ๆ มีเก้าอี้ตัวเล็ก เอาไว้วางเหล่าน้ำปรุงกลิ่นหอมละมุนละไม นำมาใช้ผสมกับกลีบดอกไม้งามในอ่าง
วันนี้ฟางหว่านหนิงรู้สึกเมื่อยเนื้อตัว นั่นเพราะถูกละอองฝนเล่นงาน นางคันจมูกยุบยิบ ใช้มือเรียวถูไถยังบริเวณปลายจมูกจนแดงก่ำ ไม่นานนักได้ยินเสียงเคาะประตูอยู่ด้านนอก
“คุณหนูเจ้าคะ คุณหนู” สตรีนางนี้คือสาวใช้ของฮูหยินใหญ่ หรือนายหญิงของจวนนี้ นางเป็นคนดูแลคุณหนูฟางมาแปดปีแล้ว “คุณชายสามให้ข้านำน้ำแกงไก่มาให้เจ้าค่ะ”
หญิงสาวกำลังดึงสายคาดเอวออก ได้ยินเข้าก็ชวนให้รีบเดินออกมา ฝ่ามือของนางยังถือสายคาดเอาไว้ ก้าวมายังหน้าประตู “พี่เยี่ยนสือรอเดี๋ยวนะเจ้าคะ”
“คุณหนูให้ข้าเข้าไปได้หรือไม่” เยี่ยนสือมักถูกคุณหนูฟางให้รอด้านนอก มิให้เข้ามาด้านในหลายวันแล้ว ไม่รู้เป็นเพราะอะไร สาวใช้อดที่จะสงสัยไม่ได้ อยากรู้อยากเห็นมิใช่เอาไปนินทาว่าร้าย แต่อยากรู้เผื่อจะได้ช่วยเหลือนางได้เท่านั้น
“เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ อย่าเพิ่งเข้ามา” ฟางหว่านหนิงรีบรัดสายคาดเอวเข้าที่ มิอยากให้เห็นว่าเนินหน้าอกของนางมีร่องรอยจาง ๆ หลงเหลืออยู่ ไม่แน่อาจถูกพี่สาวผู้นี้คาดคั้นถาม คราวนี้จะตอบว่าอย่างไร จะเสแสร้งได้อีกนานเพียงใดกัน
“เจ้าค่ะ” เยี่ยนสือยังยืนรออยู่ด้านนอก ไม่กล้าเข้าไปข้างในโดยพลการ
ประตูบานใหญ่ถูกเปิดออก สาวใช้พบใบหน้างามแต่กลับดูขาวซีด ราวกับคนป่วย “คุณหนูป่วยหรือเจ้าคะ เหตุใดจึงหน้าซีดเช่นนี้” เยี่ยนสือถือน้ำแกงไก่เข้าไปด้านใน วางลงบนโต๊ะกลมอย่างคุ้นเคย
ฟางหว่านหนิงปิดประตูเองแล้วเดินมานั่งลงบนเก้าอี้ รีบดื่มน้ำแกงไก่ขณะยังอุ่น ๆ อยู่ น้ำแกงนี้มีรสชาติเฝื่อนฝาดเป็นประจำ นั่นเพราะในนี้มียาห้ามครรภ์อยู่ หญิงสาวไม่คิดบ่ายเบี่ยงรีบดื่มมันลงคออย่างว่าง่าย
พอดื่มเสร็จเรียบร้อยใช้ก็ผ้าเช็ดหน้าซับยังมุมปากที่เปรอะคราบน้ำแกงไก่อยู่ ก่อนจะคลี่ยิ้มหวานมอบให้สาวใช้ นามว่าเยี่ยนสือ “ดื่มเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
“คุณหนูให้ข้าตามท่านหมอหรือไม่เจ้าคะ” สาวใช้มองดวงหน้ายิ่งทำให้รู้ว่าคุณหนูน้อยผู้นี้ป่วยไข้เป็นแน่ อีกทั้งคงเกรงใจเจ้านายของจวน มิอยากให้เสียเงินให้แก่การว่าจ้างท่านหมอมาตรวจอาการ ถึงได้แสร้งทำเป็นปกติ ทั้ง ๆ ที่ใบหน้าก็ขาวซีดเซียวเช่นนี้
“ไม่เป็นไร แค่รู้สึกเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวเท่านั้น พี่เยี่ยนสือไม่ต้องเป็นห่วง อย่าบอกท่านป้ากับคุณชายสามเล่า” นางกำชับ หวั่นว่าเจ้าบ้าผู้นั้นจะกล่าวหาว่านางแกล้งป่วยเพื่อเรียกร้องให้เขาหันมาสนใจ ป่านนี้ก็คงจะหนีออกนอกจวนไปเที่ยวหาคุณหนูสักคนกระมัง คนไม่เอาไหนเช่นนั้น มีดีอะไรเหตุใดจึงทำให้ใจของนางเจ็บปวดถึงเพียงนี้
เยี่ยนสือรับคำในมือของนางถือถ้วยน้ำแกงไก่เอาไว้ จากนั้นจึงยอบกายลงก่อนจะหมุนตัวออกไปนอกห้องของฟางหว่านหนิง ประตูบานใหญ่ถูกเปิดออกอีกครั้ง และปิดลงเช่นเดิม ราวกับว่าเจ้าของเรือนนี้มิต้อนรับผู้ใดนอกเสียจากจะเป็นฮูหยินใหญ่
คล้อยหลังได้ไม่ถึงอึดใจหนึ่ง ฟางหว่านหนิงคิดจะลงแช่น้ำในอ่าง คิดว่าคนที่เคาะประตูคงเป็นพี่เยี่ยนสือ นางไม่รีบร้อน เพียงแค่ตะโกนออกไปว่า “พี่เยี่ยนสือ ข้าบอกแล้วว่าข้าสบายดี”
คนด้านนอกได้ยินรู้ทันทีทันใดว่า คนของเขากำลังป่วย ชายหนุ่มไม่รีรอหาทางเข้าไปข้างในโดยใช้หน้าต่างที่เปิดอ้าเอาไว้ เขาเข้าออกทางนี้เป็นประจำ นาน ๆ ครั้งถึงจะเข้าออกทางประตู
ชายหนุ่มกระโดดเข้ามาด้านในแล้ว กวาดสายตามองรอบ ๆ ห้องก็หาได้พบหญิงสาวแต่อย่างใด เขาได้ยินเสียงน้ำที่รินไหล จึงถือวิสาสะเข้าไปหลังฉากกั้น ภาพที่เขาเห็นคือเรือนร่างอันอรชร ขาวผุดผ่องยิ่งนัก เอวช่างเล็กคอดกิ่ว ก้นกลมกลึงนี่เป็นเขาที่เคยบีบเคล้นคลึงอยู่บ่อยครั้ง ยามที่เขากับนางสอดประสานเป็นหนึ่งเดียว
หญิงสาวกำลังยื่นมือคิดหยิบเสื้อคลุม หวังว่าจะปิดเรือนร่างเอาไว้ แต่บังเอิญว่าก้าวขาพลาดไป ทำให้นางลื่นถลา คนตัวโตกว่าเห็นท่าไม่ดี รีบร้อนเร่งฝีเท้าเข้ามารับร่างบอบบางเอาไว้ ทรวงอกอันอวบอั๋นกระแทกเข้าที่จมูกของชายหนุ่มอย่างจัง
ว๊าย...ฟางหว่านหนิงอุทานเสียงดังอย่างตระหนกตกใจ พลางใช้มือทั้งสองข้างเปิดทรวงอกตนเองเอาไว้ ทว่า...เจียงจวินกลับตลกขบขัน ท่าทางของนาง “เจ้าปิดข้างบนได้ แต่ข้างล่างของเจ้าเล่า” เขามองเนินสาว
พลางกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ปกติก็เคยเห็นและสัมผัสบ่อยครั้ง แต่ยามที่นางเพิ่งอาบน้ำเสร็จใหม่ ๆ มันช่างดูเย้ายวนเสียเหลือเกิน “งดงามนัก” เขาเผลอหลุดปากออกไป เหม่อมองอย่างเคลิบเคลิ้มอยู่เช่นนั้น
ฟางหว่านหนิงอายจนหน้าแดงก่ำราวกับผลอิงเถาเสียอย่างนั้น รีบคว้าเสื้อคลุมตัวสาวสวมใส่ “มาทำไม” นางขึ้นเสียงใส่ทันควัน
“...” นั่นสิ เขาหลงลืมไปสิ้น เข้ามาหานางทำไมกัน
“ไม่พูดก็ออกไป ข้าอยากพักผ่อน” นางตวาดเขาอีกครั้ง พร้อมกับเดินเบี่ยงกายออกมา สีหน้าของร่างบอบบางยังคงขาวซีดไร้สีเลือดเช่นเดิมไม่เปลี่ยน นางเดินมายังตู้ไม้ไผ่ คิดหยิบชุดมาสวมใส่อย่างรัดกุม เพราะมีเจ้าปีศาจร้ายตัวหนึ่งยืนจ้องจะเขมือบนางอยู่ด้านหลัง ซึ่งรู้สึกหายใจหายคอไม่ทั่วท้อง
“ข้าก็ง่วงแล้วเหมือนกัน ขอนอนด้วยได้หรือไม่” ว่าแล้วเจียงจวินเดินตัวปลิวไปยังเตียงนอน เขาหย่อนกายนั่งลงมองหญิงสาวกำลังหยิบอาภรณ์ออกมา เขาจำได้ว่าผ้าผืนนี้เขาเป็นคนนำมามอบให้นางเมื่อสามปีก่อน ยังมีเครื่องประดับที่เขามักเสาะหามอบให้เป็นของกำนัลยามที่...ได้ร่วมอภิรมย์กันอย่างหวานหอม
“วันนี้ข้าอยากนอนคนเดียว” คนตัวเล็กชักสีหน้า ยกมือขึ้นชี้หน้าของคนใจร้าย กล้ามองนางไม่หันเหไปไหน อยากควักตาของเจ้าบ้าคนนี้ออกมานักเชียว ช่างหน้ามึนหน้าด้านที่สุด
“เมื่อคืนเจ้ากับข้าก็ไม่ได้นอนร่วมห้องกันนะ” เขายอกย้อนเอ่ยกล่าวตอบกลับ
“ก็บอกแล้วอย่างไร ว่าข้าเหนื่อย ปวดเมื่อยไปทั้งตัว” นางขึ้นเสียงตอกหน้าไม่นึกหวาดกลัว ซ้ำยังถือไม้ไผ่หนึ่งลำ เอาไว้ในมือ “หากไม่ออกไป ข้าจะตีท่านให้ตายอยู่ในนี้คอยดูสิ”
สีหน้าของคนตัวเล็กดูขึงขังไม่น้อยนัก ถึงกระนั้นไม่สามารถทำให้เจียงจวินเดินหนีอย่างหวาดกลัว เขายังก้าวสามขุมเข้าไปใกล้ ส่วนนางเห็นท่าทางเอาจริง แววตาดุดันก็ถอยหลังจนแผ่นหลังติดกับผนังแล้ว ไม้ไผ่ท่อนดังกล่าวยังอยู่ในมือ ท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ เยี่ยงนี้มันดูน่าอดสูยิ่งนัก
ฝ่ามือหนาของเจียงจวินปัดท่อนไม้จนล่วงลงพื้น เขาโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ ๆ เด็กดื้อของตนแล้วเอ่ยวาจาข่มขู่ขึ้นมา “บอกแล้วไง คืนนี้ข้าจะนอนที่นี่”
“แต่ตอนนี้มันยังไม่ค่ำเลยนะ ท่านวิปลาสหรือไรกัน” นางเชิดหน้าน้อย ๆ รู้ทั้งรู้ว่าอย่างไรก็เสียเปรียบชายผู้นี้อยู่ดี พูดไปจนเมื่อยปาก ชายผู้นี้ก็ไม่สะทกสะท้าน มักชอบรังแกนางเยี่ยงนี้เสมอ
ฝ่ามือหนาของเจียงจวินจับเข้ายังปลายคงของสาวงาม “เวลาที่เจ้าดื้อรั้น ช่างพยศเช่นนี้ ข้ารู้สึกอยากจับเจ้าโยนลงเตียงเสียเหลือเกิน”
“ท่านพูดบ้าอะไรกัน” นางปัดมือเขาออก แล้วย่อกายมุดหนี ทว่าเรียวแขนกลับถูกเขากระชากกลับมาอีก “ข้าเห็นนะว่าเจ้ากำลังยั่วยวนทั้งพี่ใหญ่กับพี่รอง”
“เจียงจวิน” นางขึ้นเสียงใส่ สีหน้ากราดเกรี้ยวนัก นางมิเคยหว่านเสน่ห์ยั่วยวนผู้ใด
“ทำไมกัน ข้าพูดความจริงแค่นี้ถึงกับรับไม่ได้เช่นนั้นหรือ หากเจ้าไม่ยั่วยวน เหตุใดพี่ชายของข้าจึงมองเจ้าไม่วางตา” ชายหนุ่มขึ้นเสียงดุดัน ซ้ำยังกระชากร่างบอบบางของนางเข้ามาในอ้อมกอด แม้นางจะดีดดิ้นแต่ก็ไม่เป็นผล ยังอยู่ในอ้อมกอดของเขาเช่นเดิม
“แปดปีที่ข้าพักอยู่ที่นี่ เห็นพวกเขาเป็นเพียงแค่พี่ชาย มิได้คิดเป็นอย่างอื่น” หญิงสาวเอ่ยกล่าวความจริง
ชายหนุ่มหัวเราะเยาะหยัน แล้วคลายอ้อมกอดออก จากนั้นจับร่างนางเหวี่ยงขึ้นเตียง แล้วเขาก็คลานขึ้นไปคร่อมร่างนางเอาไว้ เด็กสาวตื่นตระหนกราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง นางขยับหนี แต่เขายังคร่อมร่างบอบบางเอาไว้อยู่เช่นนั้น
“ไม่เคยคิดเป็นอื่น ช่างน่าขันนัก เมื่อวานข้าเห็นเจ้าวาดภาพอยู่กับพี่ใหญ่ วันก่อนเห็นเจ้าดื่มชากับพี่รอง ยังไม่รวมหลายวันก่อน ๆ ที่เจ้ามักทำตัว...” เขาหัวเราะทีหนึ่ง ก่อนจะมองตั้งแต่ปลายเท้าจรดถึงใบหน้า พลางเหยียดยิ้มที่มุมปาก แววตานั้นล้วนตำหนินางอย่างเห็นได้ชัด
ฟางหว่านหนิงมึนงงไปหมด ล้วนเป็นเพราะคุณชายทั้งสองกำลังอบรมสั่งสอนนางต่างหาก ท่านป้าก็อนุญาตแล้ว แต่เหตุเจียงจวินต้องมาหัวเสียใส่ความนางเยี่ยงนี้ “ทำตัวอันใด”
“เยี่ยงสตรีในหอโคมเขียวอย่างไรเล่า” คำพูดของคนตัวโตนั้นพูดออกมาโดยไม่ตั้งใจ ทว่าเขาไม่พอใจเสมอที่เห็นว่านางกับพี่ชายทั้งสองมีความสนิทสนม ทั้งจับไม้จับมือ หัวเราะระริกระรี้ ใครจะทนได้เล่า ท่าทางอ่อนหวานแสนน่ารักนั่น นางมิเคยมีให้เขาสักคราก็ว่าได้
ฟางหว่านหนิงโกรธจัดจนหน้าดำหน้าแดงตะคอกเสียงดังกึกก้อง “คนชั่ว ออกไปจากห้องข้าเดี๋ยวนี้นะ”