ตอนที่ 3 ดูแคลน
รถม้าเคลื่อนตัวมาถึงจวนตระกูลเจียงแล้ว คุณชายสามเปิดม่านขึ้นก่อน ฉุนเฉียวกระโดดลงจากรถ ปล่อยให้หญิงสาวตามลงมาในภายหลัง
เจียงจวินพบมารดายืนอยู่หน้าประตูทางเข้า เขาเข้าไปโอบกอดอย่างประจบประแจงเอาใจ “ท่านแม่ มารอข้าเช่นนั้นหรือ” เขาแนบใบหน้าคลอเคลียมารดาอย่างออดอ้อน ท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูเสียเหลือเกิน
ทว่าฟางหว่านหนิงเห็นภาพเช่นนี้จนชินตา กลับรู้สึกว่าเขาพยายามประจบประแจงท่านป้า เอาอกเอาใจไม่ให้ตนเองถูกดุด่า ลงโทษที่ออกไปเที่ยวเล่น สร้างความขุ่นเคืองให้ท่านลุงต่างหาก เขาคือจอมเสแสร้งอันดับหนึ่งแห่งเมืองเจียงหนาน
คุณชายใหญ่และคุณชายรองยังเทียบชั้นไม่ได้ เขาแสดงงิ้วได้ดียิ่งนัก การกระทำของเขานั้นช่างเลวร้าย แต่ก็หาได้มีใครล่วงรู้เรื่องน่าอัปยศอดสูของนางและคุณชายสาม คนไร้ใจฝีปากก็ดูเหมือนจะมีสุนัขครอบครองอยู่ไม่จางหาย พ่นคำพูดออกมาแต่ละครั้ง ล้วนเชือดเฉือนนางจนเจ็บปวดทรมาน
“เจ้านี่นะ ชอบออกไปเที่ยวเล่น ไม่สนใจกิจการตระกูลเสียบ้าง” ถังจินคือฮูหยินเอกของนายท่านเจียง ในจวนนี้ยังมีฮูหยินรอง และฮูหยินสาม เช่นนั้นแล้วนางจึงวาดหวังให้บุตรชายเป็นผู้สืบทอดกิจการ แทนที่จะเป็นบุตรชายที่เกิดจากฮูหยินรอง และฮูหยินสาม
ทว่าลูกชายตัวดีกลับไม่เอาไหน วัน ๆ เอาแต่เที่ยวเตร่อยู่ข้างนอก พลอยทำให้มารดากลัดกลุ้มใจอยู่บ่อยครั้ง มักถูกสามีตำหนิต่อว่าเรื่องการอบรมของบุตรชายอยู่เสมอ วันนี้รู้ว่าเจ้าตัวดีออกไปข้างนอกอีก
จึงมาดักรอเพื่อต่อว่า แต่แล้วก็ใจอ่อนอีกเช่นเคย ถูกเจ้าเด็กดื้อคนนี้ออดอ้อนคลอเคลีย แม่ที่ไหนจะดุด่าได้ลงคอกันเล่า
เจียงจวินยิ้มร่า มารดาไม่ดุด่าก็ได้ใจ ยังเอ่ยกล่าวพูดว่า “ท่านแม่บอกให้ข้าพานางออกไปข้างนอกบ่อย ๆ ไม่ใช่หรือ ข้าก็ทำตามที่ท่านแม่กำชับแล้วนี่นา” นั่นสิ ท่านแม่เป็นคนสั่ง เหตุไฉนเขากลายเป็นคนผิด ชายหนุ่มยังยืนกอดท่านแม่อยู่หน้าประตู พลางเหลียวมองดูฟางหว่านหนิง
“ท่านป้า หลานกลับมาแล้วเจ้าค่ะ” ฟางหว่านหนิงยอบกายลงอย่างสวยงาม ยืนสงบเสงี่ยมเจียมเนื้อเจียมตัวยังไม่ยอมเดินเข้ามาใกล้ ๆ เห็นสายตาของเจียงจวินมองมาทีไร นางอยากข่วนหน้าหล่อเหลานั้นให้กลายเป็นอัปลักษณ์สักที
ถ้อยคำพูดของผู้เป็นหลานก็ล้วนฟังดูไพเราะเสนาะหูนัก ทว่ากลับมีสตรีนางหนึ่งเยื้องย่างเข้ามาทางด้านหลังของนายหญิงใหญ่ “กลับมาแล้วก็รีบเข้ามาข้างในจวน หน้าที่ของเจ้าทำเสร็จแล้วหรือไม่”
สิ้นเสียงฮูหยินรอง เจียงจวินคลายอ้อมกอดออกจากมารดา ยืนนิ่งแต่แววตากลับแข็งกระด้างดุดันยิ่งนัก เขาขึ้นเสียงต่อว่า อีกฝ่ายอย่างไม่ไว้หน้า “แม่รองกล่าวหนักเกินไป นางเป็นสาวใช้ของข้า เป็นหลานสาวของท่านแม่ มิใช่สาวใช้ที่ท่านจะใช้สอยได้ตามอำเภอใจนะ”
“คุณชายสามกล่าวมาไม่ผิด จะนั่งกินนอนกินไม่หยิบจับใช้ได้หรือ” ถึงนางเป็นฮูหยินรอง ไม่มีอำนาจมากนักในจวนนี้ คุณชายสามผู้ถือดี มิยินยอมให้ใครเรียกว่าลูกสาม นอกจากจะเป็นมารดาของเขาแล้ว
พวกนางล้วนต้องทำตามคำสั่งของผู้เป็นเจ้าของจวน นั่นก็คือสามี หรือนายท่านเจียงเฉิง อย่างเคร่งครัด หากผู้ใดเอ่ยเรียกว่าลูกสาม ต้องลงโทษสถานหนัก แม้นางจะให้กำเนิดคุณชายใหญ่ แต่ก็ยังไม่ได้เป็นที่รักใคร่เฉกเช่นบุตรชายที่เกิดจากฮูหยินใหญ่ผู้นี้
“ในจวนนี้ นอกจากข้าแล้ว เจ้าออกคำสั่งได้หรือ หลี่เมิ่ง ฐานะเจ้าเป็นเพียงแค่ภรรยารอง มิใช่ภรรยาเอกที่ถูกแต่งตั้ง อีกทั้งข้ายังมีสมรสพระราชทาน ส่วนเจ้าเล่า” ถังซื่อ หรือถังจินไม่ชอบหน้านัก เอ่ยวาจาหนักตักเตือนไม่ไว้หน้า
ซ้ำยังพูดจาว่าร้ายหลานสาวของนาง มิเท่ากับหักหน้าเช่นนั้นหรือ แม้นางให้กำเนิดบุตรชายทีหลัง ก็หาใช่ว่าในจวนนี้จะไม่เห็นความสำคัญของนาง
สตรีนางนี้ช่างมีวาจาร้ายกาจ มิรู้ว่าสามีของนางรักชอบได้อย่างไรกัน ตาแก่หน้าตายนั่นอีกคน วัน ๆ ก็เอาแต่บ่ายเบี่ยงไม่มาหา จนสาวใช้ในจวนต่างก็คิดว่า เขาหมดรักฮูหยินตราตั้งแล้ว
ต้องโทษเจ้าเจียงเฉิงนั่น ช่างมักมากนัก!...ตัดเจ้ามังกรน้อยดีหรือไม่
“ขออภัยเจ้าค่ะ น้องสาวมิกล้า เพียงแค่เห็นว่าวัน ๆ ไม่เห็นหยิบจับอันใด ซ้ำยังได้รับเบี้ยหวัดเท่ากับเหล่าลูก ๆ ของพวกเรา ข้าก็เลย” หลี่เมิ่งโกรธจัดจนตัวสั่น พยายามพูดจาให้เป็นปกติเท่าที่จะทำได้ จึงหยิบเรื่องเงินของฟางหว่านหนิงที่ใช้จ่าย คนนอกเช่นนามีสิทธิ์อันใดมาใช้เงินตระกูลเจียงด้วยเล่า
หากบอกว่าเป็นเครือญาติ ก็ดูท่าคงเท้าความหาไม่พบ ก็ไม่ต่างจากนกน้อยตัวหนึ่งที่ถูกทอดทิ้งอย่างไร้ค่า นับว่ามีฮูหยินใหญ่ให้ท้าย มอบความรักและความเอ็นดู หากมิมีถังซื่อคอยคุ้มหัวละก็ ป่านนี้ฐานะก็ไม่ต่างจากสาวใช้
“ก็เลยคิดว่านางเป็นแค่คนนอก จะกินใช้จ่ายในจวนนี้ไม่ได้เช่นนั้นหรือ” ฟางหว่านหนิงหาได้มาแต่ตัว ย้อนไปเมื่อแปดปีก่อน ฟางเหมย มารดาของหลานรัก นำเจ้าเด็กน้อยมาฝากดูแล พร้อมกับมอบเงินให้อีกหลายหมื่นตำลึง กินใช้จ่ายตลอดแปดปีมานี้ก็ยังไม่ถึงกึ่งหนึ่งเสียด้วยซ้ำ
หากมิใช่เพราะตระกูลหวังเกิดเรื่องร้ายแรง แม่หนูน้อยฟางหว่านหนิงก็คงไม่จากมายังที่นี่ ถังซื่อยังประคองหลานรักเข้ามาด้านใน “แปดปีมานี้ นางคือคนในครอบครัว มิใช่คนนอก”
คนฟังยืนอึ้งอีกครา พูดไม่ออก หลี่เมิ่งเดินสะบัดหน้าเข้าไปด้านในเรือน ส่วนฮูหยินสามยืนมองไกล ๆ ก็กลั้นหัวเราะเอาไว้ เห็นว่าคนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงก็ย่อมต้องถูกตอกหน้ากลับมาให้อับอาย
เจียงจวินเดินผิวปากเข้าไปด้านในอย่างคนอารมณ์ดี พร้อมกับควงแขนมารดา “ท่านแม่ หากนางฟ้องท่านพ่อเล่าจะทำเช่นไร”
“มีปากอยากจะฟ้องอันใดก็เชิญ คิดว่าข้ากลัวพ่อเจ้าอย่างนั้นหรือ” นางเป็นใคร เหตุใดต้องหวาดกลัวสามีด้วยหากคิดอยากลองดีก็เชิญ บุตรีแม่ทัพถัง ไม่เคยหวาดกลัวผู้ใดมาก่อน ถึงแม้คนผู้นั้นเป็นสามีก็ตามที
“ท่านแม่ละก็” เขาเองก็หวาดผวาสีหน้าของท่านแม่ทุกครา จึงไม่คิดขัดคำสั่ง นำวิหคตัวน้อยไปไหนมาไหนด้วยตลอด แต่มีเพียงสิ่งหนึ่งซึ่งยังไม่ปริปากบอกความจริง นางกับเขาสัมพันธ์สวาทเกิดขึ้นหลายครั้ง หลายหนแล้ว
และทุกครั้งก็ล้วนป้องกันเป็นอย่างดี หลานรักของท่านแม่คนนี้ ไม่มีทางท้องก่อนตกแต่งแน่นอน เขาแอบจับปลายนิ้วเรียวของฟางหว่านหนิง หญิงสาวหันขวับปาค้อนใส่วงใหญ่ก่อนจะชักมือกลับมา
“เจ้านี่นะ ชอบแกล้งน้องอยู่เรื่อย ไปโน่นเลย” ถังซื่อชี้นิ้วไปยังลานกว้าง ให้เขาฝึกฝนวรยุทธ์ อีกหน่อยจะได้สอบเข้ารับราชการทหาร เจริญรอยตามท่านตาซึ่งเป็นแม่ทัพอยู่หนานเปียนหรือทิศใต้ของแคว้นเป่ยหยาง
“ท่านแม่” เจียงจวินอุทานเสียงดัง เห็นท่านอาจารย์นั่งถือดาบคอยท่าอยู่นานแล้ว “วันนี้บอกท่านอาจารย์ได้หรือไม่ เนื้อตัวข้าเขียวช้ำไปหมดแล้ว” เขาเรียนรู้มามาก ไม่อยากฝึกฝนอีก อยากเรียนอย่างอื่นมากกว่า แต่ท่านแม่ก็มักเคี่ยวเข็ญให้เขาเจริญรอยตามท่านตา ตำแหน่งแม่ทัพใช่ว่าใครจะเป็นก็เป็นได้
“เจ้าสาม มานี่เดี๋ยวนี้” ท่านอาจารย์ชี้นิ้วพลางตะโกนเสียงดัง
คนฟังสะดุ้งโหยงอย่างตกใจ เขาไม่คุ้นชินเสียงของท่านอาจารย์เลยสักครา หากเรียกขานทีไร เขาต้องกลายเป็นเครื่องมือให้ท่านอาจารย์หยอกเย้าอีกเช่นเคย ชายหนุ่มหน้าซีด มิใช่เพราะหวาดกลัวจนหัวหด แต่เห็นสีหน้าของท่านอาจารย์แล้ว ไม่กล้ากระทั่งกลืนน้ำลายลงคอ
“ที่แท้ก็หวาดกลัว ท่าทางเหมือนลูกแมวขี้ขลาด” ฟางหว่านหนิงหัวเราะเยาะ ดีแต่เก่งกับสตรี ท่านอาจารย์เรียกหาตั้งนานก็ยังยืนทึ่มทื่ออยู่ไม่กล้ากระทั่งก้าวเท้าเดินไปหา หากไม่ใช่ขี้ขลาดแล้วเป็นอันใด
เจียงจวินได้ยินคำสบประมาท เหลียวมองยังเด็กสาวข้างกายของมารดา “ท่านแม่ ดูนางทำท่า”
“เจ้านี่นะ ตัวโตไยจึงชอบรังแกน้องนัก รีบไสหัวไปฝึกเสีย หาไม่แล้ว ข้าจะเป็นคนหวดเจ้าเองกับมือ” ถังซื่อมิยินยอมให้ลูกชายเป็นคนไม่เอาไหน หากไม่สานต่อกิจการการค้าของตระกูลเจียง ก็ต้องรับราชการ อย่าให้ผู้อื่นดูแคลนเอาไว้
เจียงจวินหน้าหงอยเหงา เดินคอตกไปยังลานกว้าง ก่อนจะไปพบท่านอาจารย์ เขากดยิ้มที่มุมปากแล้วหันมามองเจ้าเด็กสาวท่าทางไร้เดียงสา เขายังคิ้วหลิ่วตา แล้วพูดว่า “เด็กดีของพี่ อย่าลืมนำน้ำชากับขนมไปให้พี่ด้วยเล่า พี่จะคอยเจ้านะ”
“ข้าไม่ว่าง” นางขึ้นเสียง เดินลิ่วไปยังเรือนของตน ไม่อยากอยู่กับคนใจร้ายสองต่อสอง แต่เขากลับรั้งแขนของนางเอาไว้ทันใด ชายหนุ่มกดยิ้ม แววตาคล้ายปีศาจจนฟางหว่านหนิงหน้าขาวซีด
“ข้าบอกให้เจ้าทำอันใด เจ้าก็ทำตามคำสั่งของข้าสิ” เขามิสนใจว่ามารดาจะมองเช่นไร เห็นพี่ใหญ่ยืนจิบชามองมาก็ชวนให้หงุดหงิดอารมณ์เสีย ส่วนพี่รองนั่งเท้าคางมองมาไม่ละสายตา คนพวกนี้เหตุใดต้องจับจ้องแต่สตรีนางนี้ด้วยเล่า
“เจ้าเด็กนี่ ทำน้องแรง ๆ เช่นนี้ได้อย่างไร ประเดี๋ยวเถอะนะ” ถังจินไม่พูดเปล่า นางตวัดมือฟาดลงที่ไหล่ของบุตรชาย ตักเตือนทางอ้อม ฟางหว่านหนิงเป็นสตรีต้องอ่อนโยนมิใช่เอาแต่ใช้ความรุนแรง พูดจาไม่รื่นหูเยี่ยงนี้
เมื่อไรลูกชายของนางจะเลิกรังแกตั้งแง่ชิงชังน้องคนนี้เสียที หากเจ้าเด็กดื้อคนนี้ยอมเปิดใจใคร่ครวญให้ถี่ถ้วน จะพบว่าฟางหว่านหนิงนั้นเหมาะสมกว่าสตรีพวกนั้นมากโข
“ท่านแม่ไม่เห็นหรือ นางชักสีหน้า” ชายหนุ่มแสร้งต่อว่า นางน่าหยิกเพียงใดเหตุใดเขาจึงถูกตำหนิเพียงคนเดียว
“น้องก็ออกจะงดงาม เป็นเจ้าต่างหากที่ไม่รักหยกถนอมบุปผาเสียบ้าง ระวังเถิด หากนางหนีไปเมื่อไร เป็นเจ้าที่ต้องฟูมฟาย”