ตอนที่ 5 ถูกตี
ค่ำคืนอันแสนเงียบสงัด ผู้คนต่างพากันหลับใหล ยกเว้นมีเพียงแค่สตรีนางหนึ่ง นั่งขดตัวอยู่ในห้องอันกว้างขวาง มีแสงสว่างพอให้เห็นเงาร่างของชายตัวสูงโปร่ง เขากำลังสวมอาภรณ์ อย่างเอื่อยเฉื่อย ไม่รีบเร่งรีบร้อนออกจากห้องนอนของฟางหว่านหนิง
คนที่ถูกทำร้ายทั้งกายและใจอย่างเลือดเย็น ก้มลงซุกใบหน้างามพริ้งลงบนเข่า เนื้อตัวสั่นสะท้านอยู่เช่นนั้น ร่างบอบบางมีเพียงผ้าห่มผืนบาง ๆ ผืนหนึ่งคลุมเรือนร่างเอาไว้ มีร่องรอยมากมายที่ชายผู้นี้ได้กระทำนางเยี่ยงเดรัจฉาน
“จะร้องไห้อีกนานไหม ไม่เบื่อบ้างหรือไง ร้องอยู่ได้น่ารำคาญนัก” ได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นพลางรู้สึกผิด แต่ก็ไม่คิดเข้าไปโอบกอดปลอบขวัญ ประเดี๋ยวนางจะตีเขาเข้าอีกครั้ง เขามิยอมให้นางลงไม้ลงมือทุบตีเป็นอันขาด
เจียงจวินเคยพบว่าบิดาของเขาที่ว่าแน่และดุดัน แต่กลับศิโรราบพ่ายแพ้ให้แก่มารดา เขานับถือมารดากว่าสิ่งอื่นใด ทว่าหากเขาถูกฟางหว่านหนิงทำร้าย ก็เสียเชิงชายหมดพอดี เขาไม่ยินยอมกลายเป็นเบี้ยล่างเป็นอันขาด
“ถ้ารำคาญก็รีบไปให้พ้นหน้าข้า” ฟางหว่านหนิงตัดสินใจแล้ว มิขอทนอยู่กับคนไร้หัวใจ นางยินดีที่จะจากไปโดยไม่นำอันใดติดตัวไปด้วย รู้ทั้งรู้ว่าเขามิเคยรักและแลเหลียว แต่นางก็ไม่รู้จักจดจำความเจ็บปวดชอกช้ำนี้เอาไว้
คำพูดคำจาที่เขาเอ่ยมา บอกกล่าวว่านางคล้ายสตรีหอโคมเขียว เที่ยวหว่านเสน่ห์ยั่วยวนบุรุษไปทั่ว ฟางหวานหนิงทั้งเจ็บทั้งจุกจนพูดไม่ออก ชายผู้นี้เหตุใดถึงดูแคลนนางเช่นนั้นด้วย นางทำอันใดให้เขาไม่พอใจเยี่ยงนั้นหรือ เขาถึงทรมานนางเช่นนี้
หญิงสาวปาดน้ำตา ก่อนจะค่อย ๆ คลานลงจากเตียงนอน กลางกายสาวปวดร้าว เจ็บตรงท้องน้อยยิ่งนัก ยามที่ถูกเขากระแทกกระทั้นเข้ามา เขาไม่เคยอ่อนโยนกับนางเลยสักครา
ไม่เคยทะนุถนอม พูดจาดี ๆ สักคราก็หาได้มีไม่ มักทำร้ายใจนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า สามปีมานี้พอกันที ความรักที่นางมอบให้คนใจร้าย นับจากนี้เป็นต้นไป ฟางหว่านหนิงขอเดินหนทางใหม่
“จะไปไหน” เขาสวมอาภรณ์จนเรียบร้อย เหลือแค่เส้นผมที่สยายเต็มแผ่นหลัง เอ่ยน้ำเสียงแข็งกระด้าง ที่เห็นว่านางลงจากเตียงนอน เดินตัวงอไปยังหลังฉากกั้น
ฟางหว่านหนิงตอบกลับ “ล้างความสกปรก” ใช่...คำพูดนี้ไม่ผิดเพี้ยนนัก นั่นเพราะเจียงจวินทำให้เนื้อตัวนางสกปรกเปรอะเปื้อน ล้างคราบเสนียดให้ออกจากกาย หวังว่าจะช่วยบรรเทาเยียวยาจิตใจที่บอบช้ำได้บ้าง
ทว่าเจียงจวินก็หาได้รู้ตัวว่าเป็นคนชั่วช้า “เจ้าต่างหากที่สกปรก เปรอะเปื้อนไปหมด นอกจากข้าแล้ว มีใครอื่นอีกหรือไม่”
ฝ่ามือเรียวตวัดฟาดเข้าที่แก้มของชายหนุ่มทันใด “คนชั่วเช่นท่าน มันไร้หัวใจ ข้าไม่เคยคิดเลยว่าท่านจะชั่วช้าได้มากมายเยี่ยงนี้ นอกจากท่านแล้ว หาได้มีใครอื่นกระทำเยี่ยงเดรัจฉาน” ฟางหว่านหนิงโกรธจัดจนตัวสั่นทนไม่ไหวอีกแล้ว จึงบันดาลโทสะด้วยฝ่ามือตวัดลงที่ใบหน้าของชายหนุ่ม
“วันนี้เจ้าตีข้าสองครั้งแล้วนะ” เมื่อช่วงสาย ๆ กับช่วงมืด ฝ่ามือน้อย ๆ ของนางตวัดฟาดลงมาจนเขารู้สึกว่ากระพุ้งแก้มของเขามีโลหิตซึมออกมาอีกคน
เขาหัวเราะเยาะหยันขึ้น กระนั้นไม่พูดจาอันใดอีก เดินออกไปจากเรือนนอนของนาง ทว่าสาวใช้ที่เดินผ่านมา ได้ยินน้ำเสียงของคนทะเลาะกัน
นางจึงแนบใบหูฟัง พอรู้ว่าข้างในนั้น เกิดอันใดขึ้น ก็รีบเผ่นหนีทันใด สีหน้าของสาวใช้ล้วนขาวซีดราวกับพบเจอภูตผีเสียอย่างนั้น ระหว่างทางพบกับสาวใช้คนสนิทของฮูหยินใหญ่ จึงยอบกายลง ซ่อนใบหน้าเลิ่กลั่กเอาไว้
“จะเร่งรีบอันใด มิรู้จักสำรวมเสียบ้าง” เยี่ยนสือดุเล็กน้อย เห็นว่าสาวใช้ผู้นี้ทำกิริยามิสวมรวม หากวันหน้ามีแขกเหรื่อมาที่จวน จะไม่อับอายขายหน้าตระกูลเจียงหรอกหรือ
“ข้าผิดไปแล้วเจ้าค่ะพี่เยี่ยน คราวหน้าข้าจะระมัดระวังให้มากเจ้าค่ะ” อาอินรีบบอกกล่าว ยังก้มหน้าก้มตามิกล้าสบตาพี่เยี่ยนสือ หวั่นว่าอาจเผยพิรุธให้พี่สาวผู้นี้รับรู้ ว่าในเรือนของคุณหนูฟางนั้นมีสิ่งใดเกิดขึ้นกันแน่
ทว่าอาอินได้กลิ่นจาง ๆ จากถ้วยสมุนไพรที่เยี่ยนสือถือมา “พี่เยี่ยนเชิญเถิดเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวยาจะเย็นชืด”
คนถือคือเยี่ยนสือ เหตุใดจะไม่ทราบเล่าว่า ที่นางถือมาให้คุณหนูฟางนั้นดื่มเป็นประจำนั่นคือยาบำรุงสุขภาพ เมื่อก่อนคุณหนูฟางล้มป่วยหนักอยู่หลายวัน กินไม่ได้ ร่างกายผ่ายผอม
คุณชายสามจึงเสาะหายาบำรุงร่างกายมาให้โดยเฉพาะ นับจากวันนั้นเป็นต้นมา ร่างกายของคุณหนูฟางก็ดีขึ้น ไม่ค่อยเจ็บป่วยแล้ว เรียกได้ว่าร่างกายแข็งแรงทีเดียว
“เอาละไปพักได้แล้ว” เยี่ยนสือมิชักช้า เร่งฝีเท้าไปยังเรือนนอนของคุณหนูฟาง ตามคำสั่งของคุณชายสาม ก่อนยามจื่อต้องนำยามาให้คุณหนูฟาง อีกทั้งชั่วยามซื่อของแต่ละวัน ก็มักจะเป็นสมุนไพรที่มีรสชาติฝาดเฝื่อนเสมอ
ถึงจะมีรสชาติขมเพียงใด คุณหนูฟางก็มักดื่มอย่างว่าง่ายเสมอ ไม่แม้แต่จะปริปากบ่นกระปอดกระแปด บ่ายเบี่ยงมิอยากดื่มเลยสักครา
เยี่ยนสือถือถ้วยสมุนไพรบำรุงเอาไว้ในมือข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งยกมือขึ้นคิดว่าจะเคาะประตู แต่ที่ไหนได้เป็นคุณชายสามเปิดประตู สาวใช้ไม่ตกใจได้อย่างไร ถ้วยยาล้ำค่าเกือบหล่นจากมือของนางแล้ว
เจียงจวินรีบคว้าถ้วยยาเอาไว้ได้ ส่งสายตาดุดันให้แก่สาวใช้อาวุโส เขาไม่พูดมาก บอกเพียงแค่ว่า “นำยาไปให้นาง”
“เจ้าค่ะ” สาวใช้ไม่กล้าเอ่ยถาม เก็บความสงสัยเอาไว้ เส้นผมยาวสลวยของคุณชายสามที่ปกติแล้วมักจะนุ่มสลวยดั่งอิสตรี แต่วันนี้เหตุใดจึงฟูฟ่องยุ่งเหยิงนักเล่า
ซ้ำใต้ตายังดูคล้ายว่าถูกกระทบกระทั่งด้วยกำปั้นเสียอย่างนั้น แก้มของคุณชายยังมีรอยฝ่ามือขึ้นเป็นริ้ว ๆ อีก พอเยี่ยนสือก้าวเข้าไปข้างในห้อง ก็พบกับคุณหนูฟางนั่งเป่าที่มือน้อย ๆ ของนางอยู่
“คุณหนูมือไปถูกอะไรมาเจ้าคะ” คงไม่ใช่ทะเลาะกันใช่หรือไม่ คู่นี้พบหน้ากันทีไรจำเป็นต้องมีปากเสียง ลงไม้ลงมือเสมอ
“ข้าแค่ตีสุนัขตัวหนึ่งเท่านั้น” เจ้าบ้าเจียงจวินคือสุนัขตัวใหญ่ ทั้งน่าเกลียดน่ากลัว วันนี้เป็นเขาที่ยั่วโมโหนางเอง จึงทำให้พลั้งมือต่อยเข้าที่เป้าตาอย่างเต็มแรง
ทว่าเจ้าบ้าเจียงจวินก็ไม่หลบหลีก ปล่อยให้นางลงมือได้ตามสบาย ไม่รู้ว่าสมองกระทบกระเทือนหรือไม่ ถึงได้ยืนทื่อให้นางลงมือได้อย่างง่ายดาย คนปากร้ายเยี่ยงนั้น สมควรแล้วที่ถูกตี วาจาเราะรายก็ที่หนึ่ง ต่อว่านาง
แล้วยังหยามศักดิ์ของนางว่าเป็นสตรีหอโคมเขียวอีก ใครจะใจเย็นได้เล่า “พี่เยี่ยนสือ อย่าบอกท่านป้านะ ว่าข้าตีเจ้าบ้าคนนั้น” นางดื่มยาที่เข้าใจเสมอว่านี่คือยาห้ามครรภ์ ฟางหว่านหนิงไม่ลังเลสักนิด ดื่มลงคอพร้อมกับซับที่มุมปาก กิริยาล้วนน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก
เยี่ยนสืออมยิ้มเล็กน้อย เอ็นดูคุณหนูฟางดั่งน้องสาวตัวเล็กที่มักร่าเริงสดใสอยู่เสมอ ไม่ว่าจะมีเรื่องร้ายเข้ามาเพียงใด คุณหนูน้อยผู้นี้ก็มักทำตัวให้สดใสไม่เศร้าหมอง เช่นสาวใช้จึงรับคำแล้วคลี่ยิ้มอบอุ่นมอบให้ “เจ้าค่ะ ข้าน้อยไม่ปริปากบอกแน่นอน”
ในความโชคร้ายของนาง ก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้าง มีท่านป้าและท่านลุงที่เมตตารับเลี้ยงนางมาแปดปี มีสาวใช้ที่คอยช่วยเหลือนางทุก ๆ เรื่องอย่างพี่เยี่ยนสือ
ยังไม่รวมสาวใช้อีกสองนาง ที่ท่านป้ามักส่งพวกนางให้เป็นสาวใช้ข้างกาย ว่าแล้วฟางหว่านหนิงจึงโอบกอดสาวใช้ด้วยความเคยชิน “พี่เยี่ยนสือของข้าน่ารักที่สุด ไม่เหมือนใครบางคนที่วัน ๆ เอาแต่จิกกัดข้าอยู่เรื่อย แล้วยังไม่พอนะ ในปากของเจ้านั่นเลี้ยงสุนัขเอาไว้ฝูงใหญ่ทีเดียว พ่นคำพูดมาแต่ละครั้งฟังได้เสียที่ไหนกัน”