ตอนที่ 4 เลิกคิดไม่ได้
ตอนที่ 4
เลิกคิดไม่ได้
วันต่อมา...
“ไอ้แฟนท์โว๊ย!!”
“ห... ห๊ะ!?” แฟนท์สะดุ้งโหยงขึ้นหลังตรง เมื่อได้ยินเสียงเรียกข้างหูดังขึ้น
“รู้สึกตัวช้านะ เป็นอะไรทั้งวันเลยเนี่ย ไม่สบายหรือเปล่า?”
เสียงแปดหลอดของอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ แฟนท์ส่งเสียงดังขึ้นไปทั่วร้าน อันที่จริงขนมผิงเรียกเพื่อนนานแล้ว ทว่ากว่าที่อีกคนจะรู้สึกตัว ก็ปาเข้าหลายนาทีแล้ว ทำเอาเธอเกิดความสงสัยในปฏิกิริยาท่าทางของเพื่อนสนิท
“เอ่อ... ป... เปล่าๆ”
ตึก!
“โต๊ะ 4” ขนมผิงยื่นชามใหญ่ลงใส่ถาดให้แฟนท์ไปเสิร์ฟ เธอรอเพื่อนนานแล้ว ก่อนที่กวยจั๊บในถ้วยมันจะเย็นชืดไปหมด หากต้องรอนานกว่านี้
ผ่านมาครึ่งค่อนวันแล้วผิงรู้สึกถึงความผิดปกติของเพื่อนสนิทที่เปลี่ยนไป แล้วไหนจะเมื่อเช้าอีก ที่เธอเห็นเพื่อนเดินลงมาจากรถหรูราคาแพงที่ขับมาส่ง ซึ่งผิงรู้ว่านั่นคงไม่ใช่รถของคนในครอบครัวของแฟนท์อย่างแน่นอน หากแต่ในใจมันกลับรู้สึกคุ้นตากับรถคันเมื่อเช้าอยู่บ้าง ทว่ายังนึกไม่ออกว่าเจ้าของรถคือใคร
และตั้งแต่เมื่อเช้าผิงได้ถามกับเพื่อนไปแล้วว่าใครมาส่ง แต่กลับไร้ซึ่งคำตอบจากปากเพื่อนสนิท
ร่างบางเดินกลับมานั่งที่โต๊ะเดิมหลังจากที่ไปเสิร์ฟอาหารให้ลูกค้าเสร็จแล้ว ก่อนที่จะได้หย่อนตัวลงนั่งอีกครั้ง กลับมีคำถามของเพื่อนสนิทดังขึ้นมาก่อน
“สรุปว่ามึงจะไม่บอกกูไม่ใช่ไหมว่าเมื่อมึงนั่งรถมากับใคร?”
“จะอยากรู้ไปทำไม?” คนโดนคาดคั้นหาคำตอบ ถึงกับเหล่มองพลางถอนหายใจแรงๆ ใส่
แฟนท์ไม่อยากให้เรื่องเมื่อคืนมันบานปลายไปกันใหญ่ และก็ไม่ได้อยากให้ใครรู้ เธอคิดว่าเรื่องเมื่อคืนมันจะเป็นแค่ครั้งสุดท้ายที่เธอจะไปที่นั่นอีก และเรื่องของเธอกับเฮียซาน... มันก็ไม่ได้มีอะไรให้น่าสนใจ จนต้องมานั่งคอยอธิบายรายละเอียดให้ใครฟัง
แค่คิดว่าต้องพูดเรื่องนี้ให้คนอื่นรับรู้มันก็วุ่นวายมากมายแล้ว คนอย่างเฮียซานไม่ใช่คนที่ใครๆ จะเข้าไปยุ่งได้ อันนี้เธอรู้ดี
“ตามใจ ไม่บอกก็ไม่บอก แต่อย่าให้รู้เองแล้วกัน” ผิงแอบขู่เพื่อนตัวเองนิดๆ แม้ในใจอยากจะรู้เรื่องตอนนี้ให้ได้
หลังเลิกงาน
@บ้านตระกูลร่มไทรสุข
18.00 น.
รถจักรยานยนต์คันคู่ใจที่ถูกจอดไว้ในลานจอดรถในตลาดตั้งแต่เมื่อวานนี้ ถูกขับเข้ามาจอดลึกถึงใต้ชายคาตึกใหญ่ หลังจากที่ออกมาจากตลาด
ตึกพาณิชย์ 3 ชั้น 2 คูหา ถูกจัดแบ่งเป็นพื้นที่เอาไว้สำหรับขายของในโซนชั้นล่าง ส่วนชั้นด้านบนที่เหลือถูกจัดแบ่งใช้สอยเป็นห้องนอนของคนในบ้าน
อันที่จริงสมาชิกในบ้านต่างก็เคยคุยกันเรื่องที่จะย้ายที่อยู่บ้างแล้ว ตึกพาณิชย์เก่าแก่หลังนี้ถูกสร้างมาหลายปี และสมาชิกในบ้านก็อยู่กันแออัด แม้ว่าหลายสิบปีก่อนลูกๆ ของเถ้าแก่ร้านของชำ จะไม่เคยเป็นเดือดเป็นร้อนกับพื้นที่จองตึก 3 ชั้น 2 คูหา ทว่าพอโตมาต่างคนก็ต่างมีรายได้ และมีธุรกิจเป็นของตนเอง เงินในบัญชีมีเหลือเฟือมากพอที่จะสร้างบ้านดีๆ ได้สักหลัง แต่แล้วหัวหน้าครอบครัวอย่างเฮียฮั่วกลับไม่ยอมทิ้งตึกนี้ให้รกร้าง ด้วยเหตุผลง่ายๆ เลยก็คือความผูกพัน เดิมทีมีเพียงแค่เสื่อผืนหมอนใบ ยอมลำบากมากเช่าตึกนี้อยู่ค้าขาย จนกระทั่งมีเงินซื้อมันมาเป็นของตน เพราะความยากลำบากสู้ด้วยกันมากับแม่ของลูก
มือบางถอดหมวกกันน็อคที่สวมมาก่อนหน้านี้ ก่อนจะวางมันเอาไว้ที่หัวรถ จากนั้นก็เดินเข้ามาในบ้านของตนเอง
ตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะมืดค่ำได้แล้ว ซึ่งแน่นอนว่าป๊ามหาของแฟนท์ก็กำลังขมกักเขม่นช่วยกันเก็บร้านเหมือนกัน
บ้านของแฟนท์ก็ไม่ได้มีฐานะร่ำรวยอะไรมากมาย ทว่าก็พอมีเงินส่งเสียลูกทั้งสามคนเรียนหนังสือจนจบ ด้วยน้ำพักน้ำแรงจากการเป็นพ่อค้าแม่ค้าขายน้ำเต้าหู้และขายของชำนี่แหละ ที่ทำให้เธอและพี่สาวพี่ชายโตมาได้จนถึงทุกวันนี้
“กลับมาแล้วหรอ! อาแฟนท์.... นึกว่าจะจำทางกลับบ้านไม่ได้แล้ว”
“เฮีย เบาๆ สิ จะเอะอะเสียงดังทำไมกัน”
ขณะที่หญิงสาวกำลังจะเดินผ่านบุคคลทั้งสองที่กำลังเก็บร้านอยู่ เพื่อที่จะได้ขึ้นไปด้านบน ทว่ากลับได้ยินเสียงเรียกดังก้องขึ้นมาจากเฮียฮั่วผู้เป็นพ่อก่อน
เฮียฮั่วรีบวางเก้าอี้ลง หันหน้าไปตำหนิภรรยาของตน “นี่ลื้อไม่ต้องห้ามอั๊วเลยนะอาสร ก็ดูลูกสาวลื้อสิ หายหน้าหายตาไปไหนทั้งคืน โผล่มาก็มืดค่ำเลย”
เมื่อวานนี้ลูกสาวคนเล็กไม่กลับบ้าน หายหน้าหายตาไปทั้งวันทั้งคืน โผล่มาอีกทีตอนเกือบจะค่ำมืด แต่ก่อนลูกสาวจะชอบไปนอนบ้านเพื่อนสนิทอย่างขนมผิง อันนี้รู้และก็ไม่เคยห้ามอะไรได้ เพราะคิดว่ามันก็เป็นไปตามประสาเด็ก
แต่ทุกครั้งที่ลูกสาวจะไปค้างบ้านเพื่อน ก็ต้องบอกกันก่อนเสมอ ยกเว้นเมื่อคืนนี้ อีกอย่างเมื่อคืนฝนก็ตกหนัก แล้วจะไม่ให้คนเป็นพ่อเป็นแม่ห่วงลูกได้อย่างไรกัน เพราะรู้อยู่แล้วว่าทุกครั้งที่มีฝนตกและฟ้าร้อง ลูกสาวคนเล็กของบ้านจะกลัวมากแค่ไหน
เพราะแบบนี้ถึงอดเป็นห่วงไม่ได้ แม้ว่าคนเป็นเฮียฮั่วจะพูดจาขวานผ่าซากไปบ้างบางที ทว่าก็เพราะความเป็นห่วงเท่านั้นเอง
“ลื้อไปไหนมา อาแฟนท์... รู้ไหมว่าม๊าลื้อไม่ยอมหลับยอมนอน โทรศัพท์ก็ติดต่อหาไม่ได้ ตกลงไปนอนบ้านอาผิงมาจริงรึเปล่า? ห๊ะ?”
“แฟนท์จะไปไหน ป๊าเคยสนใจด้วยหรอ?”
“นี่! อาแฟนท์!! มันจะมากเกินไปแล้วนะ!” พอได้ยินลูกสาวโต้เถียงกลับมา คนเป็นพ่อมีเหลือที่จะไม่เดือดตาม
“เฮียใจเย็นๆ ก่อน” นางเกสรผู้เป็นแม่ของหญิงสาว รีบห้ามปรามสามี ก่อนที่จะได้ทะเลาะกันบานปลาย
“ไม่ยงไม่เย็นมันแล้ว หึ่ย!” เฮียฮั่วไม่ฟังที่ภรรยาบอก ทั้งยังสะบัดแขนออกห่างจากการกอบกุมของภรรยา
แต่ก่อนที่จะได้เทศนาลูกสาวคนเล็ก พอหันหน้ากลับมาเพียงเสี้ยววินาที ลูกสาวคนตัวเล็กก็เดินจ้ำขึ้นบันไดหายไปก่อนที่จะได้รับพร
“…นี่! อย่าเดินหนีอั๊วแบบนี้นะอาแฟนท์ มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน อาแฟนท์!”
ห้องนอน...
หลังจากที่ปลีกตัวหลบหนีจากความวุ่นวายด้านล่างมาได้แล้ว แฟนท์เลยต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาดังๆ
เธอคิดเอาไว้แล้วว่าคนรอบตัวต้องสงสัยและถามเอาความ ทว่าตอนนี้ยังไม่มีเวลาคิดเลยว่าตนเองจะแก้ปัญหานี้อย่างไรดี แถมเรื่องเมื่อคืนนี้ยังคอยหลอกหลอนอยู่ในหัวของเธอทั้งวัน จนแทบจะทำงานไม่รู้เรื่องเลยด้วยซ้ำไป
เมื่อคืนนี้.... เธอกับเฮียซานยังไม่มีอะไรเกินเลยไปมากกว่าจูบ และสัมผัสกันและกัน แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี อย่างไรเธอเองก็เสียหาย
เพราะนั่น... มันคือจูบแรกของเธอ!
นอกจากจะเสียพรหมจรรย์ที่ปากตัวเองแล้ว มือสวยๆ ของเธอต้องมาแปดเปื้อนจับไอ้ดุ้นมังกรของเขาอีกอย่างไรล่ะ
‘จับมันแรงๆ สิ มันไม่กัดเธอหรอกน่า’
“งื้อออ ไอ้แฟนท์เอ้ย”
ต่อไปเธอจะมองหน้าเขาติดได้อย่างไรกัน คนที่ไม่เคยคิดจะเข้าใกล้ แต่แล้วเมื่อคืนก็ได้กลายเป็นจิตอาสายอมให้ที่หลบนอนในยามฝนฟ้าโหมกระหน่ำท่ามกลางความกลัวในใจ ทว่าจิตอาสาอย่างเฮียซานนั้นกำลังจะหวังดีประสงค์ร้ายหรือไม่ ก็ในเมื่อเธอกับเฮียซานใกล้ชิดจนเกือบจะเกินเลยกันไปแล้ว หากไม่มีสติอยู่บ้าง เมื่อคืนคงจะพลาดพลั้งจนต้องกลับมานั่งน้ำตาเช็ดหัวเข่าเป็นแน่แท้