บทที่ 4
สองตำรวจหนุ่มกอดคอกันหัวเราะคิกคัก ทำเอาธรรมวัชรหันไปแยกเขี้ยวขู่บรรดาน้องๆยกใหญ่
“เอาล่ะๆ เกรงใจผู้กองเจเดนเขาหน่อย” ผู้บังคับบัญชาเอ่ยเตือนลูกน้อง แล้วหันไปมองผู้กองหนุ่มที่นั่งนิ่ง เหมือนมีเรื่องให้คิดอยู่ตลอดเวลา
“คุณโอเคหรือเปล่าผู้กองเจเดน ?”
“ครับ” เขาตอบสั้นๆ เหมือนถูกถามว่ากับข้าวอร่อยไหม จนธรรมวัชรอดเหน็บไม่ได้
“นี่ผู้กองลืมเอาสติมาจากฮ่องกงหรือเปล่าน่ะ นั่งเหม่ออยู่ได้”
“ผมไม่ได้เหม่อ แค่ไม่อยากให้สมองว่าง… เดี๋ยวจะป๊อดเหมือนคุณ” เจเดนได้ทีแขวะกลับบ้าง ทำเอาคนฟังขบกรามแน่น
“พอๆ ให้ร่วมมือกันนะ ไม่ใช่ให้ตีกันเอง”
“ขอโทษครับ” ธรรมวัชรเอ่ยขอโทษผู้บังคับบัญชา แต่ไม่วายหันไปมองคู่กรณีตาขวาง
“จะเริ่มเมื่อไหร่ครับ ?” นายตำรวจฮ่องกงถามขึ้นอย่างกระตือรือร้น เพราะอยากจะจบภารกิจนี้เต็มทน
“อีกสองวัน”
“ครับ”
เขารับคำหน้านิ่งเหมือนทุกที เพราะในหัวกำลังตัดสินใจว่าควรจะไปสำรวจสถานที่ก่อนลงมือปฏิบัติภารกิจหรือไม่…
เสียงเพลงอึกทึกครึกโครมดังขึ้นภายในผับทันทีที่ดีเจสาวสวยปรากฏตัวขึ้น เพลงมันส์ๆเชิญชวนให้นักท่องราตรีทั้งหลายลุกจากที่นั่งมาขยับตัวโยกย้ายตามจังหวะของมันอย่างสนุกสนาน ในขณะที่ลูกค้าผู้ชายบางกลุ่มแวะเวียนเข้าไปทักทายดีเจด้วยสายตาเจ้าชู้ และคำพูดหวานๆไม่ขาดสาย
“วันนี้มิรินสวยที่สุดเลย” ลูกค้าวีไอพีเอ่ยขึ้น พลางเอื้อมมือมาสัมผัสต้นแขนของเธอด้วยสีหน้าหื่นกามอย่างปิดไม่มิด
“แปลว่าวันอื่นไม่สวยหรอคะ” ดีเจสาวถามขึ้น พลางใช้ดวงตากลมโตมองสบเขาอย่างยั่วยวน
“สวยสิครับ แต่วันนี้แค่สวยเป็นพิเศษน่ะ”
“อ่อ… อย่างนี้นี่เอง” เธอพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มสดใส ก่อนจะก้มไปหอมแก้มเขาฟอดใหญ่ เพื่อเป็นรางวัลสำหรับคำชม “ขอบคุณนะคะ แต่วันนี้มิรินต้องทำงานค่ะ คงไม่ว่างคุยด้วย ไว้โอกาสหน้านะคะ”
สาวเจ้าพูดจบก็ขยิบตาให้เขา แล้วหันกลับมาให้ความสนใจกับเครื่องเสียงตรงหน้าต่อ
“ถ้าผับปิดแล้ว…”
“กว่าผับจะปิดมิรินคงเหนื่อยมากแล้วล่ะค่ะ ยังไงก็ต้องขอตัวไปนอนพักก่อน อย่าลืมสิคะว่ามิรินยังเรียนอยู่ ขืนไปต่อคงตื่นไม่ทันเข้าเรียนคาบเช้า”
มาริรินเอ่ยด้วยสายตาออดอ้อนเหมือนลูกแมวตัวน้อยที่กำลังร้องขอความเห็นใจจากเจ้าของ เธอไม่ได้โกหกเรื่องเรียน เพราะตอนนี้หญิงสาวกำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่สามในมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง ซึ่งจะมีแค่บรรดาลูกค้าระดับวีไอพีเท่านั้นที่รู้ และพวกเขาก็มักจะยอมอ่อนข้อให้เธอทุกที เมื่อพูดเรื่องนี้ขึ้นมา
“ขาดเรียนแค่วันเดียวเองนะ”
“ไม่ได้หรอกค่ะ ผู้หญิงมีดีแค่หน้าตาคงไม่พอ” คนตัวเล็กเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มสดใสอีกครั้ง ก่อนจะแตะนิ้วที่ริมฝีปากของเธอ แล้วนำไปแตะที่ปากของเขาเบาๆ “จริงไหมคะ ?”
“โธ่… ชวนทีไรมิรินก็บอกแบบนี้ทุกที”
“ไม่เอาสิคะ อย่างอแงนะคนดีของเค้า” เธอพูดขึ้น แล้วยิ้มหวานให้อีกฝ่ายอย่างเอาใจ
“ผมแพ้ลูกอ้อนคุณทุกทีให้ตายสิที่รัก ทำไมชอบทำให้อยากแล้วก็จากไปนักนะ” ชายหนุ่มบ่นขึ้น
เพราะหลายครั้งหลายคราเหลือเกินที่เขาเกือบจะได้เผด็จศึกสาวน้อยตรงหน้า แต่เธอก็มักจะรอดเงื้อมมือของเขาไปได้แบบหวุดหวิด และที่เขาไม่กล้าลงมือบุ่มบ่ามกับเธอ เช่นการฉุดไปปู้ยี่ปู้ยำนั่นก็เพราะคุณตาของเธอเป็นคนใหญ่คนโตในย่านนี้ แถมยังมีเครือข่ายทางธุรกิจเยอะแยะไปหมด แน่นอนว่าคงไม่มีใครกล้าเอาอนาคตทางการเงินมาเสี่ยงกับอารมณ์ชั่ววูบนั่น
“จุ๊ๆ มิรินเปล่านะคะ”
“เฮ้อ… งั้นขอจูบหวานๆให้ผมหนึ่งทีได้ไหม” ร่างสูงพยายามต่อรอง
“มิรินต้องทำงานค่ะ” มาริรินเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งขึ้นเล็กน้อย ทว่ามันกลับมีอำนาจมากพอที่จะทำให้คนฟังยอมลามือจากเธอ