ตอนที่ 10 สตรีน่ากลัว1
เรือนของหญิงชราจินอีต๋าค่อนข้างใหญ่เกินฐานะเพียงแต่ขาดการซ่อมบำรุงที่ถูกต้องเหมาะสม จึงซอมซ่อและดูคล้ายว่าพร้อมพังครืนตลอดเวลา
ติงยวี่ถิงถูกเชิญมานั่งในโถงซึ่งอยู่กลางบ้าน ห่างจากประตูที่แยกออกไปทางหลังเรือนซึ่งเป็นห้องครัว
ตะกร้าสานและกล่องไม้ใส่อาหารถูกวางเรียงรายลงบนโต๊ะเล็กๆ ที่มีเก้าอี้ไม้ตัวยาวเพียงหนึ่งตัว คาดว่าคงมีไว้สำหรับนั่งกินอาหารกันแค่สองคนย่าหลาน มองผ่านๆ เหมือนจะมีเก้าอี้ไม้อีกสองตัว แต่ถูกเก็บเอาไว้บนชั้นไม้ คล้ายกับว่าไม่อนุญาตให้ใครนำออกมาใช้พร่ำเพรื่อ
หญิงสาวจัดแยกอาหารแห้งไว้บนโต๊ะอีกฝั่งและแยกอาหารสดจำพวกเนื้อวัวเนื้อไก่ออกมาใส่ถาดไม้พลางเอ่ย “ท่านป้าไม่คิดย้ายไปอยู่โรงยากับข้าจริงหรือ?”
นางชวนหญิงชราอีกรอบเมื่อเห็นสภาพความเป็นอยู่ ซึ่งค่อนข้างน่าเป็นห่วงเพราะมันทั้งไกลและร้างผู้คนเกินไป
ทว่าอีกฝ่ายส่ายหน้าเนิบช้า ใบหน้าเหี่ยวย่นมีร่องรอยแห่งความหลังฝังใจ
“ที่นี่บุตรชายของข้าสร้างด้วยมือทั้งสองของตนเอง หวังสร้างครอบครัวที่เมืองหลวงจนแก่เฒ่าเจ้าค่ะ”
“อ้อ...แล้วเขาไปไหนเสียเล่า?” ติงยวี่ถิงมองหา หรือว่าจะเป็นชายหนุ่มรูปงามที่กำลังตกปลาอยู่นะ
อืม...หลานของท่านป้าย่อมเป็นลูกชายของเขา เช่นนั้นแสดงว่า เขามีภรรยาแล้วน่ะสิ!
ไอ่โยว...แอบมองสามีผู้อื่นเสียได้ เดี๋ยวตีตายเลย
ในขณะที่ติงยวี่ถิงกำลังอยากตีลูกนัยน์ตาตัวเอง จินอีต๋าที่ถูกถามถึงบุตรชายตามตรง ค่อย ๆ เข้าสู่ภวังค์
“ลูกชายของข้า เขาตายแล้วเจ้าค่ะ”
“หา...” ติงยวี่ถิงชะงัก
รอบด้านพลันเงียบสงัดทันควัน ติงยวี่ถิงยิ้มแห้งอย่างรู้สึกผิด จินอีต๋ามิได้ถือสา เพียงเล่าเรื่องของตนอย่างไม่ปิดบัง
“ในอดีต ข้าเป็นเพียงอนุ ถูกกดขี่จากฮูหยินใหญ่ ลูกของข้าจึงตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว พาข้าและสะใภ้ออกจากสกุลใหญ่ที่จินโจวมาเมืองหลวงต้าเจิ้ง แต่ที่ดินในเมืองราคาสูงลิบลิ่ว เงินที่มีคงซื้อได้แค่เรือนหนึ่งคูหาไม่มีที่ทำกิน เขาจึงซื้อที่ดินห่างเมือง สร้างบ้านยังเหลือพื้นที่ปลูกผักขาย ทว่าน่าเสียดาย ลูกชายของข้าอายุสั้น เขาตายพร้อมภรรยาตอนโจรป่าปล้นชิงเอาทรัพย์สินในบ้านไปจนหมด ทิ้งให้ข้าย่าหลาน หาอาหารประทังชีวิตอย่างยากลำบาก จากไม่เคยคิดเป็นขอทานกลับต้องทำอย่างไร้ศักดิ์ศรี”
จินอีต๋ากวาดตามองรอบบ้านของตนอย่างเชื่องช้า ทอดถอนใจค่อยๆ เล่าต่อ “เคยมีคนมาเห็นบ้านของข้าแล้วกล่าวหาว่าข้าเป็นยายแก่ลวงโลก แสร้งทำตัวน่าสงสาร เพื่อหลอกเอาเงิน ข้าแย้งแล้วแต่พูดอะไรไปก็ไม่มีใครเชื่อ เคยมีคนบีบให้ข้าขายบ้าน ข้าไม่ยอม พวกเขาจึงกลั่นแกล้งสารพัด พืชผลที่ปลูกได้ควรจะเติบโตได้เก็บเกี่ยวเอาไปขาย กลับตายหมดแปลงอย่างไร้สาเหตุ และเป็นเช่นนี้มาตลอด”
เรื่องลูกชายแม้เกิดเหตุร้ายมานานแต่แผลในใจไม่มีทางผสาน เจ็บปวดทรมานยิ่งกว่าแผลภายนอกมากมายนัก ส่วนเรื่องถูกชาวบ้านกล่าวหาว่าร้าย ทุกคราที่คิดถึงขึ้นมา ก็อดที่จะพลั้งปากพูดพร่ำระบายออกมามิได้
แม้เป็นว่าจาพร่ำเพ้อยาวเหยียดตามประสาผู้เฒ่า แต่ติงยวี่ถิงก็นั่งฟังอย่างตั้งใจ พอเข้าใจได้คร่าวๆ คนเคยมีพอไม่มีน่ะ ไม่ค่อยมีคนเชื่อและไม่เห็นใจเท่าใดนักหรอก
ทั้งยังชอบกลั่นแกล้งอย่างหมั่นไส้แบบนี้นั่นแหละ เผื่อได้ซื้อในราคาถูกอย่างไรล่ะ เรื่องแบบนี้มีทุกยุคทุกสมัย
ครั้นมองที่ชั้นไม้อีกครานางพลันเข้าใจ เก้าอี้สองตัวที่เก็บไว้บนชั้นไม้ย่อมเป็นของบุตรชายกับสะใภ้ผู้ล่วงลับ หญิงสาวพอดูออกว่าหญิงชราเคยมีกินมีใช้สุขสบายมาก่อน เหตุการณ์เลวร้ายที่ทำให้ยากจนเพียงชั่วข้ามคืนเช่นนั้นย่อมเป็นฝันร้ายตลอดกาล ทว่าทุกความทรงจำยังคงมีค่าตลอดไป
“ท่านป้า ไม่ย้ายก็ไม่ย้าย ท่านอย่าเศร้าไปเลย หากมีสิ่งใดให้ช่วยก็บอก ข้าจะเดินทางมาหาท่านเอง”
จินอีต๋าเร่งปรับอารมณ์ปัดความเศร้านั้นทิ้งไป ใบหน้าเหี่ยวย่นค่อยกลับมาเผยรอยยิ้ม
“ข้าเสียมารยาทแล้ว เชิญนายหญิงนั่งก่อนเจ้าค่ะ ข้าชงชามาให้นะเจ้าคะ หวังว่าท่านจะไม่รังเกียจ”
นอกจากไม่รังเกียจติงยวี่ถิงยังรู้สึกเกรงใจอย่างยิ่ง
“ท่านป้า ข้าไม่รังเกียจ อย่าเอ่ยเช่นนี้”
หญิงชราจินอีต๋าให้รู้สึกปลื้มปริ่มจนน้ำตาเอ่อคลอ กุลีกุจอค้นหาชาที่เก็บเอาไว้อย่างดีที่สุดในบ้านออกมาต้อนรับผู้มีพระคุณ
หญิงงามจิตใจดีช่างหายากในเมืองเจริญโดยแท้ ก่อนนี้หญิงชราเคยมีเงินมีบุตรชายผู้คนจึงแย้มยิ้มยื่นไมตรี แต่พอกลายเป็นคนไร้ทรัพย์สิน สิ้นบุตรชาย เดินไปทางใดกลับมีแต่คนรังเกียจเดียดฉันท์
เคยมีใครถามไถ่ที่มาที่ไปหมายช่วยเหลือเช่นนี้ที่ใด นางไม่มีสิ่งใดตอบแทน คงทำได้เพียงหมั่นสวดมนต์ขอพร ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองปัดป้องเภทภัยให้นายหญิงติงแล้ว