4 นางเอกต้องการมีชีวิตอยู่
รอบ ๆ ตัวของนางเต็มไปด้วยหมอกควัน เสียงนกที่ออกหากินในยามเช้าปลุกให้เด็กหญิงตื่น เมื่อลืมตาก็พบว่าตัวเองนอนกอดพี่ชายที่นางเพิ่งช่วยเหลือเอาไว้ ราวกับสนิทสนมกันมานาน ทันทีที่รู้สึกตัวเด็กหญิงก็ดีดตัวให้ออกห่างจากเด็กชาย
มือเล็กตบหน้าตัวเองเล็กน้อยเพื่อเรียกสติ กองไฟยังคงมีความอุ่นหลงเหลืออยู่แม้ว่าบางส่วนจะมอดดับลงไปแล้ว
“พี่ชาย” เด็กหญิงสะกิดให้เด็กชายที่อายุมากกว่านางตื่นขึ้น แต่เช้าวันนี้เขากลับตัวร้อนจนไม่ต่างอะไรจากกองไฟ “พี่ชายท่านตื่นเถอะ...เราต้องไปกันแล้ว ไปพักที่บ้านของข้า ท่านจะปลอดภัย” เด็กหญิงเขย่าตัวพยายามปลุกให้เขาตื่น
“.....” เพราะนี่เป็นคืนที่สองที่เขานอนกลางป่าทำให้อาการบาดเจ็บของเด็กชายย่ำแย่ลงทุกวินาที เล่อฮวาหยวนลืมตาตื่นขึ้น พยักหน้ารับคำ ค่อย ๆ ประคองตัวเองให้ลุกขึ้นเดินตามเด็กหญิงไปอย่างเชื่องช้า
เพราะเขาป่วยหนักมากเส้าหนิงเองก็เป็นห่วงจึงไม่เร่งรีบเดินเร็วนัก กว่าจะผ่านป่าส่วนที่เป็นสุสานออกมาได้ก็เล่นเอานางแทบรากเลือดไหนจะต้องช่วยประคองพี่ชายผู้นี้อีก เมื่อท้องฟ้าเริ่มสว่างนางเองก็ต้องเร่งรีบไปให้ถึงบ้านของตนเองให้เร็วที่สุด เพราะคิดถึงคำพูดเรื่องศัตรูของเขาได้
ดูเหมือนว่าเด็กชายจะเริ่มไม่มีสติ ในเวลานี้จึงคล้ายกับว่านางกำลังลากเนื้อหนักหลายสิบชั่งเอาไว้บนบ่า
“พี่ชายท่านกินอะไรเข้าไปตัวหนักจัง”
“ข้าขอโทษ” ดูเหมือนว่าน้ำหนักตัวของเขาจะกลายเป็นภาระของนางเสียแล้ว
“พูดขอโทษซ้ำซากอยู่นั่นแหละ” เด็กหญิงบ่น
ยิ่งแบกเขาเรี่ยวแรงของนางก็ยิ่งหมดลงเรื่อย ๆ ในที่สุดนางก็ตัดสินใจแอบตะกร้าสมุนไพรของตนเองเอาไว้ที่ข้างทางแล้วจึงค่อย ๆ ประคองเด็กชายที่อายุมากกว่านางกลับไปที่บ้านของตนเอง
กระทั่งฟ้ามืดจนฟ้าสว่างบุตรสาวของนางก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับมาที่บ้าน ซูหยุนหนิง นั่งแทบไม่ติด ร่างกายของนางไม่แข็งแรง จะก้าวออกไปแค่หน้าบ้านยังทำได้ยาก จู่ ๆ ก็นึกโกรธโรคเก่าที่นางเป็นมาตลอดชีวิตหากนางแข็งแรงกว่านี้ นางจะสามารถปกป้องเด็กหญิงได้ พอคิดถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาน้ำตาของซูหยุนหนิงก็เริ่มไหลอาบสองแก้ม
ผู้เป็นมารดาจะมามัวรออยู่เฉย ๆ เช่นนี้ไม่ได้ ในที่สุดก็เตรียมตัวจะออกไปขอความช่วยเหลือ นางจำได้ว่าหนิงเอ๋อของนางเป็นที่รักใคร่ของผู้คนในหมู่บ้าน อย่างไรก็ตามหากนางไปขอความช่วยเหลือ พวกเขาจะต้องไม่ปฏิเสธ
แต่ยังไม่ทันที่จะก้าวขาออกจากรั้วบ้านก็เห็นเด็กหญิงมาแต่ไกล ๆ ซูหยุนหนิงค่อย ๆ ก้าวเดินออกไปหา
“ท่านแม่ ท่านอย่าออกมาเจ้าค่ะ” เด็กหญิงตะโกน
“นั่นเจ้าแบกซากอะไรมา” นางหรี่ตาเอาตัวพิงกับรั้วบ้าน เริ่มหอบเพราะความเหนื่อย
“ท่านเข้าไปก่อน” ว่านฉีเส้าหนิงเห็นมารดาหน้าซีดก็เป็นห่วง
“มา แม่ช่วย” เมื่อเข้ามาใกล้จึงเห็นว่าเป็นเด็กชายผู้หนึ่ง “เจ้าไปเก็บเขามาจากที่ไหน” ผู้เป็นมารดาส่ายหัว “เด็กนี่เป็นสมุนไพรแบบใดกัน”
เดาว่าการที่นางหายไปทั้งคืนคงมีเด็กชายที่ตัวร้อนเป็นไฟเป็นต้นเหตุแน่ ๆ จึงไม่ได้บ่นอะไรให้มากความ แค่นางกลับมาอย่างปลอดภัยซูหยุนหนิงก็คลายกังวล
“ท่านพาเขาเข้าไปก่อน ข้าจะไปเอาตะกร้าสมุนไพรที่วางทิ้งเอาไว้” ทันทีที่พูดจบนางก็วิ่งกลับออกไป ปล่อยให้มารดาแบกเด็กชายเข้าไปในบ้านตามลำพัง
ใบหน้าของเด็กชายที่หมดสติถึงจะมอมแมมแต่ก็เกลี้ยงเกลา ดูก็รู้ว่าเป็นคุณชายตระกูลผู้ดี เสื้อผ้าถึงแม้จะสกปรกไปบ้าง แต่คนที่คลุกคลีอยู่ในสังคมชนชั้นสูงมานานเช่นนาง มีหรือจะมองไม่ออกว่าเป็นของดีมีราคา ซูหยุนหนิงที่เพิ่งจะต้มน้ำตั้งใจให้บุตรสาวล้างหน้า เปลี่ยนเป็นช่วยเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้กับเด็กชายที่บุตรสาวของนางเก็บได้
เสื้อผ้าของเด็กชายถูกผลัดเปลี่ยน แม้จะเหนื่อยไปบ้างแต่ก็ดีกว่าให้บุตรสาวของนางเป็นคนทำ ครู่หนึ่งเสียงฝีเท้าเล็ก ๆ ของเด็กหญิงก็วกกลับเข้ามาในตัวบ้าน
“ท่านแม่ พี่ชายเป็นอย่างไรบ้าง”
“หนิงเอ๋อ อย่าเพิ่งเข้ามา แม่เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขาอยู่”
“เอ๊ะ!!” เมื่อได้ยินเช่นนั้นนางจึงค่อย ๆ ถอยกรูดออกไปนอกห้อง “ท่านแม่ งั้นข้าจะไปล้างหน้าล้างตา ต้มสมุนไพรให้ท่านกับพี่ชายดื่ม”
ซูหยุนหนิงไม่ได้กล่าวตอบอะไรไป ครู่หนึ่งทุกอย่างก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง มีแค่เพียงเสียงของเด็กหญิงที่กำลังทำอะไรสักอย่างเท่านั้น
เด็กหญิงมองเนื้อและไข่ไก่ที่อยู่ในตู้อย่างไม่เชื่อสายตาของตัวเอง ซ้ำยังมีโหลดินเผาอีกหลายใบรวมถึงผักสด ข้าวสารในถังก็เต็มจนเกือบล้น
น้ำตาของว่านฉีเส้าหนิงร่วงอีกรอบ เด็กหญิงวิ่งหน้าตาตื่นกลับเข้าไปในบ้าน
“ท่านแม่!!”
ซูหยุนหนิงที่เช็ดตัวผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับเด็กชายเสร็จเรียบร้อยแล้ว ออกมาเพราะเสียงเรียกของบุตรสาว
“หนิงเอ๋อ เป็นอะไรไยจึงร้องไห้เช่นนี้”
“ท่านแม่ ข้าวสารเต็มถัง ไหนจะผักสด ไข่ไก่และเนื้อสัตว์ ท่านแม่ ท่านเอาปิ่นไปขายแล้วใช่หรือไม่” เด็กหญิงเงยหน้ามองมารดา
ผู้เป็นมารดาพยักหน้าให้กับบุตรสาว “ใช่แล้ว แม่ฝากท่านลุงจางที่เอาฟืนมาส่งให้เป็นประจำ ไปช่วยขายที่ร้านในเมือง” แม้จะเป็นของล้ำค่าดูต่างหน้ามูลค่าหลายตำลึง แต่ถ้ามันช่วยให้นางกับบุตรสาวได้มีกินมีใช้ นางก็สามารถตัดใจได้ง่าย ๆ ของชิ้นนั้นมันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว อีกหลายชิ้นก็เช่นกัน
“ตอนที่ข้าเห็นท่านนำไปปักอีกครั้งก็คิดว่าท่านตัดใจไม่ได้เสียอีก” เด็กหญิงฟุบลงกับอกของมารดา
“หนิงเอ๋อ จากนี้ไปแม่จะทำของอร่อยให้เจ้ากินทุกวัน แม่จะสอนเจ้าขี่ม้า แม่จะสอนเจ้าปักผ้า แม่จะสอนเจ้าอ่านหนังสือ หนิงเอ๋อ จากนี้ไปอย่าได้ร้องไห้อีกเลย” อ้อมแขนผอมแห้งแต่เต็มไปด้วยไออุ่นของมารดาทำให้เส้าหนิงร้องไห้หนักยิ่งกว่าเดิม
อย่างน้อย ๆ ในเวลานี้มารดาของนางก็มีสติได้ทันเวลา ใช่แล้ว เพราะนางคือนางเอกของโลกใบนี้ ถึงพระเอกจะไม่สนใจไยดีนางอีกต่อไป แต่อย่างไรนางก็คือนางเอกของเรื่องนี้ ร่างกายไม่แข็งแรงแล้วอย่างไร ท่านแม่ของนางเป็นนางเอกที่สุดแสนจะฉลาดเฉลียว
“ท่านแม่ ข้ารักท่านที่สุด”
“เด็กดีแม่ก็รักเจ้า” ซูหยุนหนิงปลอบประโลมบุตรสาวอย่างรักใคร่ นางจะมัวคะนึงหารักที่สลายไปแล้วเพื่อสิ่งใด อ้อมแขนของนางในเวลานี้คือรักที่ไร้ข้อแม้ นางจะสู้ต่อไปเพื่อให้ตนเองนั้นมีชีวิตอยู่นานให้เท่าที่จะนานได้ เพื่อเด็กดีคนนี้ เพื่อเด็กดีคนนี้เท่านั้น