3 รักษาชีวิตของมารดา
เส้นทางที่นางเดินเข้าไปในป่าเป็นพื้นที่ที่ยังไม่มีใครมาแผ้วถาง เด็กหญิงเก็บเสียมในมือ เปลี่ยนเป็นมีดขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ใช้ฟันต้นไม้เพื่อให้นางมีทางเดิน สายตาของเด็กหญิงมองพื้นที่รอบ ๆ ตัวเพื่อหาสมุนไพรล้ำค่า
ดูเหมือนว่าเจ้าป่าเจ้าเขาจะเห็นใจนาง เห็ดหลินจือดอกใหญ่ งอกออกมาจากตอไม้ที่ยืนต้นตาย เด็กหญิงทำตาโตอย่างลิงโลด รีบใช้มีดที่ตนเองพกมาด้วยค่อย ๆ งัดออกอย่างเบามือ ที่แท้ในพื้นที่ป่าบริเวณนี้ที่ยังไม่ถูกผู้ใดค้นพบเป็นขุมสมบัติดี ๆ นี่เอง เมื่อได้เห็นหลินจือดอกใหญ่กระจายอยู่เต็มพื้นที่ เด็กหญิงเห็นแล้วก็แทบอยากจะร้องไห้ ไม่คิดว่าสวรรค์จะเมตตานางเช่นนี้ เพราะวันนี้ตะกร้าที่นางแบกนั้นหนักเกินไปแล้วเด็กหญิงจึงเก็บเอาเท่าที่นางจะแบกได้ แม้ไม่เจอโสม แต่แค่หลินจือพวกนี้ก็เพียงพอแล้ว ไว้ครั้งหน้านางจะตื่นแต่เช้ากินข้าวให้อิ่มแล้วกลับมาที่นี่ใหม่
ในระหว่างที่มองหาเส้นทางที่นางจะใช้ในการกลับบ้าน ก็คล้ายกับได้ยินเสียงของใครสักคนร้องขอความช่วยเหลือ
“ช่วยด้วย!!” น้ำเสียงร้องเรียกขอความช่วยเหลืออ่อนแรงและแหบพร่า
“ใครน่ะ” เด็กหญิงขานกลับ แข้งขาสั่นไปหมดนางยังจำได้ว่าที่นี่อยู่ติดกับพื้นที่ของสุสาน ไม่แน่ว่าเสียงที่นางกำลังได้ยินอยู่ในเวลานี้ อาจจะเป็นภูตผีวิญญาณก็ได้
“ช่วยด้วย” เสียงนั้นยังคงขอความช่วยเหลือ “ได้โปรดช่วยข้าด้วย”
แม้ภายในใจจะหวาดหวั่นแต่กระนั้นสองขาเล็ก ๆ ของ นางก็ยังพยายามก้าวเดินไปทางต้นเสียงอย่างระมัดระวัง
“พี่ชาย ท่านเป็นคนเหรอ” เสียงของคนผู้นั้นดูเหมือนจะเป็นชาย เด็กหญิงเองก็หวั่นใจไม่น้อย
“มีคน....บาดเจ็บ...อยู่ทางนี้...ช่วยข้าด้วย” เด็กชายที่นอนหายใจรวยรินร้องขอความช่วยเหลือ
คราแรกเขาคิดว่าแขกที่มาใหม่เป็นพวกเดียวกับกลุ่มโจรพวกนั้น แต่สองขาเล็ก ๆ ย่างก้าวอย่างสะเปะสะปะ ไม่ได้ระมัดระวังตนเองย้ายไปทางซ้ายทีทางขวาที เด็กชายจึงคลายความกังวลใจ คิดว่าตนจะต้องตายกลายเป็นผีไร้ญาติอยู่ในป่าแห่งนี้เสียแล้ว
“พี่ชาย” เสียงของเด็กหญิงดังผ่านโสตประสาท เด็กชายลืมตาขึ้น เมื่อเจอใบหน้าที่ถูกพอกด้วยอะไรบางอย่างที่เป็นสีดำ ก็อุทานอย่างตกใจ
“เจ้าเป็นคนหรือผี”
ว่านฉีเส้าหนิงแทบอยากจะปล่อยให้เขานอนตายอยู่ตรงนี้
“ถามแบบนี้ ข้าเป็นผีมั้ง” เด็กหญิงกลอกตาไปมา
ดวงตากลมโตสุกสกาวราวกับดวงดารายามค่ำคืน ไม่เข้ากับใบหน้าดำ ๆ นั่น กำลังกลอกขึ้นลงไปมาอย่างขุ่นเคือง เล่อฮวาหยวนต้องรีบแก้ความเข้าใจผิด
“น้องสาวข้าขอโทษด้วย สติของข้าเลอะเลือนไปหน่อยอาจจะเพราะว่านอนอยู่ที่นี่มาหนึ่งคืนแล้ว”
เส้าหนิงกวาดสายตามองไปที่ต้นขาของพี่ชายพบว่ามีบาดแผลและคราบโลหิตที่แห้งกรัง จึงไม่อยากเอาความอะไรกับเขามาก
“ชิ” แม้จะไม่พอใจกับคำแก้ตัวสักเท่าไร แต่เด็กหญิงก็มิอาจใจไม้ไส้ระกำปล่อยเขาทิ้งเอาไว้เช่นนี้ “พี่ชายดื่มน้ำเสียหน่อย” นางยื่นกระบอกน้ำให้กับเขา รวมถึงขนมแป้งทอดที่นางเหลือเอาไว้สำหรับกินก่อนออกจากป่า
เด็กชายที่นางไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามรับไปและดื่มน้ำของนางไปจนหมด แม้กระทั่งเศษแป้งก็ไม่เหลือ
เมื่อมีอาหารตกถึงท้องเด็กชายจึงมีแรงขึ้นมาบ้าง
“น้องสาว บุญคุณครั้งนี้ข้าจะไม่ลืม” เด็กชายกล่าว
“บุญคุณอะไรกัน ไม่แน่ว่าท่านอาจจะเป็นโจรที่ทางการกำลังตามหาอยู่ก็ได้ คนดี ๆ ที่ไหนจะมาหลงอยู่ในป่าเช่นนี้ ท่านจะได้ตอบแทนบุญคุณข้าหรือเปล่าก็ไม่รู้” เด็กหญิงบ่นพร้อมกับรับกระบอกน้ำที่หมดเกลี้ยงไปแล้วคืนมา ในใจนึกอยากจะทุบเขานัก ที่ไม่เหลือไว้ให้นางสักหยด
“ขอโทษด้วยที่ข้าดื่มน้ำของเจ้าจนหมด” เขาเห็นนางเหลือบตามองน้ำในกระบอกที่หมดเกลี้ยงก็นึกขออภัย แต่เป็นเพราะเขากระหายน้ำจนเกินไปทำให้ดื่มน้ำของนางจนหมด
“เอาเถอะ มันก็แค่น้ำดื่ม พวกเราสองคนรีบออกจากป่านี้กันเถอะ หากมืดค่ำกว่านี้ข้าคงพาท่านออกไปจากที่นี่ไม่ได้แน่ ๆ”
เมื่อพูดถึงเรื่องการออกจากป่าเด็กชายก็มีท่าทางเป็นกังวล
“น้องสาวรออีกสักพักได้หรือไม่ ข้าเกรงว่าคนที่ทำร้ายข้าจะยังวนเวียนอยู่แถวนี้” ตอนนี้เขาได้รับบาดเจ็บ ร่างกายก็ไร้เรี่ยวแรง เขาปกป้องน้องสาวที่เป็นผู้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือเขาไม่ได้
“เฮ้อ...” เด็กหญิงถอนหายใจมองขึ้นไปบนท้องฟ้า “ในป่านี่น่ากลัวจะตายไป แถมยังต้องใช้เวลาและความชำนาญท่านบาดเจ็บออกไปตอนฟ้ามืดก็ไม่ต่างอะไรจากคนตาบอด ข้าเองก็ไม่มีอุปกรณ์สำหรับเดินทางในยามค่ำคืน”
ที่นางพูดมาก็มีเหตุผล “ถ้าเช่นนั้น...น้องสาวเจ้าออกไปลำพังก็ได้และทิ้งข้าเอาไว้ที่นี่” เด็กชายบอก เขาเองไม่อยากให้นางต้องมาลำบากไปด้วยกัน
ลำบากใจ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการไหนว่านฉีเส้าหนิงก็ลำบากใจทั้งนั้น จะปล่อยเขาไว้ที่นี่ตามลำพังได้อย่างไรกัน แต่หากไม่กลับบ้านในเวลานี้ มิวายคงถูกมารดาดุยกใหญ่ เด็กหญิงยืนกอดอกครุ่นคิดหาวิธีการช่วยเหลือเด็กชาย ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจ ทำเพิงเล็ก ๆ พักพิงอยู่ด้วยกันในป่าใหญ่ นางไม่อยากทิ้งเขาไว้ที่นี่ตามลำพัง
“ไม่ไปแล้ว ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้นแล้ว พรุ่งนี้เช้ายามเมื่อนกออกหากินเวลานั้นเราจะออกไปจากที่นี่พร้อมกัน” เด็กหญิงบอก
เล่อฮวาหยวนไม่ได้กล่าวอะไรอีก ได้แต่หยิบจับอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ช่วยเหลือนางเท่าที่ทำได้ นางอายุไม่น่าจะเกินสิบขวบ แต่ดูผอมแห้งและตัวเล็กกว่าที่ควรจะเป็น เดาว่าคงมาจากตระกูลที่มีสถานะไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก แต่ดวงตาคู่นั้นกลับกลมโตสุกสกาวเปล่งประกาย เล่อฮวาหยวนจะจดจำน้ำใจของนางในวันนี้เอาไว้ไม่มีวันลืม
ไม่รู้ว่าบิดามารดาของเด็กคนนี้เลี้ยงดูนางอย่างไร จึงได้ออกมาฉลาดและรู้ความเช่นนี้ เล่อฮวาหยวนขยับร่างกายพิงไปที่ต้นไม้ ยิ่งมืดอากาศก็ยิ่งเย็นขึ้น ก่อนที่ฟ้าจะมืดเด็กหญิงหายเข้าไปในป่า จากนั้นราวหนึ่งก้านธูปนางจึงโผล่มาพร้อมกับเทียนที่ใช้แล้ว กองใหญ่
“เจ้าไปเอาของพวกนี้มาจากไหน” เด็กชายงุนงง
“จากท่านลุงท่านป้าในสุสานด้านนู้น”
“ฮะ!!” ครั้นได้ยินว่านางไปเอามาจากหลุมศพเล่อฮวาหยวนก็ขนลุกซู่
“นี่โชคดีนะที่เทียนบางเล่มยังใช้การได้ แล้วก็โชคดีอีกที่ข้าพกไต้มาด้วย” เด็กหญิงยิ้มอยากภาคภูมิใจ อย่างน้อยนางก็ไม่ลืมพกของสิ่งนี้ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว อากาศรอบตัวที่หนาวเหน็บและมืดมิดก็เริ่มอุ่นขึ้นจากกองไฟที่นางก่อ
เด็กชายเองแม้จะอยู่ในอาการบาดเจ็บแต่ก็พยายามช่วยนางจุดไฟอย่างเต็มที่ ค่ำคืนมืดมิดและเงียบสงัด ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวพร่างพราย มีแค่เพียงเสียงลมหวีดหวิวและเสียงกองฟืนแตกเปรี๊ยะ ไม่มีใครพูดอะไรทั้งสิ้นทุกคนทำแค่เพียงรอเวลาเท่านั้น และเพราะเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว เด็กหญิงก็ถ่างตาของตัวเองเอาไว้ไม่ไหว ร่างเล็กของเด็กหญิงวัยสิบขวบโงนเงนไปมา เล่อฮวาหยวนถือวิสาสะจับร่างเล็กของเด็กหญิงเอนลงมาหนุนบนขาข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บของตนเองและหลับไปพร้อมกันในที่สุด