2 ท่านแม่ผู้โง่เขลา
“เด็กดี พาแม่ไปนั่งที่หน้ากระจกได้หรือไม่” ซูหยุนหนิงร้องขอบุตรสาว
ว่านฉีเส้าหนิงไม่ได้ขัดค่อย ๆ ประคองมารดาไปนั่งหน้ากระจก ในมือของนางยังคงกำปิ่นหยกชิ้นนั้นเอาไว้แน่น จำได้ว่าตอนก่อนที่มารดาจะตกระกำลำบากเช่นนี้นางงดงามเป็นหญิงงามที่มิหาผู้ใดเปรียบได้ ไม่น่าเลย ไม่น่าไปหลงรักพระเอกสารเลวเช่นบิดาของนางเลย
“ท่านแม่ ข้าช่วยหวีผมให้ท่านดีหรือไม่” เด็กหญิงหยิบหวีที่อยู่หน้ากระจกบรรจงหวีผมยาวสลวยที่เวลานี้แข็งกระด้างเพราะขาดการดูแลให้อย่างอ่อนโยน
ซูหยุนหนิงยินยอมให้บุตรสาวสางผมให้แต่โดยดี ผ่านไปครู่หนึ่งจึงพูดอีกประโยค
“เด็กดี ช่วยเกล้าผมให้แม่ได้หรือไม่”
เส้าหนิงมิได้ปฏิเสธรีบจัดการมัดรวบเป็นทรงง่าย ๆ ที่นางเคยทำและที่เคยเห็นนางกำนัลในจวนอ๋องเคยทำให้กับมารดา ใช้เวลาไม่นานเส้นผมยาวสลวยเมื่อครู่ก็ถูกจัดทรง แม้จะไม่เรียบร้อยนักแต่ก็ดีกว่าเมื่อครู่
ซูหยุนหนิงเสียบปิ่นชิ้นนั้นลงบนศีรษะ ในอดีตมีว่านฉีอี้เป็นผู้ปักให้ แต่ในเวลานี้นางต้องปักด้วยตนเอง ผู้เป็นมารดาพิจารณาใบหน้าของตนเองที่อยู่ในกระจกเงา ในอดีตนางคือหญิงงามอันดับหนึ่ง ทั้งที่มีบุรุษที่ดีพร้อมมากหน้าหลายตา พร้อมจะคุกเข่าให้กับนาง แต่ซูหยุนหนิงในวัยสาวกลับเลือกเขา
“โง่เขลา ข้าช่างโง่เขลานัก” ซูหยุนหนิงพึมพำ “เด็กดี ขอเวลาแม่ทำใจสักครู่ได้หรือไม่ เป็นวันพรุ่งนี้ได้หรือไม่” ผู้เป็นมารดาต่อรอง
เด็กหญิงไม่ได้ว่าอะไรยินยอมให้ท่านแม่ของนางอยู่ตามลำพังกับของดูต่างหน้าของบิดาแต่โดยดี ไม่ว่าจะโลกนี้หรือโลกไหน ว่านฉีเส้าหนิงก็ไม่เข้าใจเรื่องของความรัก ทั้งที่มีความรักลือลั่นประกาศก้องไปทั่วทั้งแผ่นดิน งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่แท้ ๆ แต่กลับมีจุดจบที่อยู่หลังจุดจบในนิยายอีกคราหนึ่ง
พูดจบเด็กหญิงก็นึกขึ้นได้ว่ามีสิ่งที่นางต้องออกไปทำ
“ท่านแม่ เดี๋ยวข้ามานะเจ้าคะ” เด็กหญิงตะโกนเข้าไปในห้อง
“อย่ากลับเย็นนัก” ซูหยุนหนิงขานกลับ
“เจ้าค่ะ”
“เอ้อ....หนิงเอ๋อ อย่าลืมรวบผมปิดหน้าให้ดี อย่าลืมถ่านที่อยู่ในครัว” บุตรสาวของนางแม้จะอายุเพียงเท่านี้แต่ก็ฉายแววของความงดงาม นางไม่อยากให้โชคชะตาของบุตรสาวเป็นเช่นเดียวกันกับตน สตรียิ่งงดงามยิ่งอาภัพ ซูหยุนหนิงไม่อยากให้เกิดโศกนาฏกรรม เช่นเดียวกัน
ถึงมารดาจะไม่ได้กล่าวเตือน แต่นางเองก็รู้ดีว่าควรทำสิ่งใด สู้เกิดมาหน้าตาธรรมดาเหมือนกับเฉียนเฟยเสียยังจะดีกว่า มีใครไม่รู้บ้างว่าในโลกยุคนี้ความงามของสตรีนั้นเป็นภัย ถึงนางจะผอมแห้งแรงน้อยเช่นนี้ แต่ก็ดูออกว่าในอนาคตต้องกลายเป็นหญิงงาม จะไม่งามได้อย่างไรก็ในเมื่อทั้งมารดาและบิดาล้วนเป็นเอกในแผ่นดินนี้
สำรวจใบหน้าของตนเองผ่านเงาในอ่างน้ำเรียบร้อยแล้วตะกร้าหวายขนาดพอดีตัวก็ถูกนางแบกขึ้นหลัง นางจำตำรับยาชนิดหนึ่งได้จากการไปค้นหาในไป๋ตู้โดยบังเอิญ เรียกว่าซุปสมุนไพรสี่สุภาพบุรุษ มีตัวยาง่าย ๆ สี่ชนิด มีวิธีการทำที่ไม่ยุ่งยากแค่เพียงไม่กี่ขั้นตอนเท่านั้น แต่กลับได้ผลดียิ่งนัก ถ้ามารดาของนางได้ดื่มเป็นประจำร่างกายจะต้องกลับมาแข็งแรงเช่นเดิมเป็นแน่
อันที่จริงตัวยาพวกนั้นหาซื้อได้ง่าย ๆ ด้วยเงินจำนวนหนึ่งแต่เป็นเพราะเงินที่มีอยู่ต้องเจียดเป็นค่าข้าวสารและเนื้อสัตว์สำหรับฤดูหนาวที่ใกล้เข้ามานี้ หากนางไม่เร่งรีบบำรุงร่างกายของมารดาเสียตั้งแต่ตอนนี้ เกรงว่าท่านแม่จะอยู่ไม่พ้นสิ้นปี ยิ่งคิดเช่นนั้นหัวใจของเด็กหญิงก็ยิ่งสั่นไหว
เพราะตัวบ้านอยู่ไม่ไกลจากป่าเท่าไหร่นักจึงใช้เวลาไม่นานในการออกเดินทาง เด็กหญิงก้าวขาเล็ก ๆ ของตนเองเดินเข้าไปในป่า โชคดีที่เมื่อเช้ามารดาของนางลุกออกมาทำอาหารเช้าให้นาง ว่านฉีเส้าหนิงจึงมีแรงเหลือเฟือ อาหารที่มารดาทำนั้นล้วนแล้วแต่อร่อย ก็เพราะเหตุนี้นั่นแหละที่ทำให้บิดาของนางหลงรักมารดาจนหัวปักหัวปำอยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง
เส้าหนิงอยากให้เป็นเช่นนี้ตลอดไป นางอยากชิมอาหารรสมือของมารดาในทุก ๆ วัน เท่าที่มารดาของนางจะทำไหว เมื่อคิดว่าจะต้องให้นางเอกของเรื่องมีชีวิตอยู่กับนางไปเนิ่นนาน เด็กหญิงก็มีแรงฮึดเดินต่อไม่หวั่นว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือมีอุปสรรคใดก็ตาม
โชคดีที่ท่านลุงท่านตาในหมู่บ้านนี้ล้วนแล้วแต่เอ็นดูนางกันทั้งนั้น ทนคำขอร้องให้สอนวิธีการเดินป่าไม่ไหว ยินยอมทำตาม ตั้งแต่นั้นมาเด็กหญิงก็จดจำทุกรายละเอียดเอาไว้ให้มั่น เมื่อถึงเวลาก็ออกเดินทางตามหาสมุนไพรล้ำค่า
เด็กหญิงใช้เวลาเดินวนอยู่ในป่านานสองนาน สมุนไพรได้มาเต็มตะกร้าขาดแต่สมุนไพรหลักอย่างโสม ขอแค่นางเจอโสมที่อายุมากเสียหน่อยได้ไปสักหลาย ๆ หัว ส่วนหนึ่งไปทำยาให้มารดาดื่ม อีกส่วนหนึ่งนำไปขายที่ร้าน ขายยา ตอนนั้นนางก็จะมีเงิน
เมื่อคิดถึงจำนวนเงินที่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เด็กหญิงก็มีความหวัง หากนางได้เงินมากหน่อย จะได้ซื้อเนื้อซื้อหมูบำรุงร่างกายของมารดาที่อ่อนแอให้แข็งแรง จากนี้ไปจะได้ใช้ชีวิตสองคนแม่ลูกกันอย่างมีความสุข
“ท่านเจ้าป่าเจ้าเขา ช่วยเด็กกตัญญูที่น่าสงสารเช่นข้าด้วยเถิด” ไม่รู้ว่าธรรมเนียมของโลกนี้เป็นเช่นไร นางจึงได้แต่ทำตามธรรมเนียมของโลกที่นางเคยใช้ชีวิตอยู่ ยกมือขึ้นพนม พร้อมกับอธิษฐานขอพร
“ขอให้พี่ โสมทั้งหลายปรากฏตัวให้ข้าเห็นด้วยเถิด”
ในระหว่างที่กำลังคิดอธิษฐานสายตาก็หันไปเห็นเส้นทางที่ไม่ได้ถูกทำสัญลักษณ์เอาไว้ จำได้ว่าท่านลุงท่านอานายพรานสั่งห้ามเด็ดขาด ห้ามเข้าไปในพื้นที่ที่ยังไม่ได้รับการสำรวจ เด็กหญิงหรี่ตาทำท่าทางครุ่นคิด ให้เดาจากทิศทางเส้นทางนั้นน่าจะเป็นส่วนของสุสาน นั่นคงเป็นสาเหตุที่ท่านลุงท่านอาทั้งหลายไม่ยอมไปสำรวจมันเสียที แสดงว่าเส้นทางนั้นจะต้องมีของดีหายากที่ไม่เคยถูกสำรวจมาก่อนแน่ ๆ
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ก็เงยหน้ามองท้องฟ้าและพบว่าน่าจะยังเป็นเวลาเที่ยง น่าเสียดายที่ในโลกนี้ไม่มีสิ่งบอกเวลาที่เรียกว่านาฬิกา เด็กหญิงจึงจำเป็นต้องกะเวลาเอาไว้ให้ชัดเจน ในมือกำเสียมเอาไว้ให้มั่น สองขาเล็ก ๆ ก้าวไปยังเส้นทางนั้นโดยไม่ลังเล