1 เป็นบุตรสาวของนางเอก
จำได้ว่าเมื่อราว ๆ หนึ่งเดือนก่อนเฉียนเฟยยังคงนั่งกดแป้นพิมพ์อยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เธอทำงานในตำแหน่งเบ๊ของบริษัท ถูกรุ่นพี่ใช้งานสารพัดโดยอ้างว่า เป็นประสบการณ์ที่จะช่วยให้เธอก้าวหน้าในอนาคต เฉียนเฟยที่เป็นเด็กจบใหม่ไม่รู้เรื่องไม่รู้ราวใด ๆ ทั้งสิ้น ก้มหน้าก้มตาทำงาน ทุกอย่างโดยไม่ปริปากบ่น ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มทุกครั้งที่ถูกโยนงานมาให้
กระทั่งในที่สุดร่างกายก็โอเวอร์โหลด ทำงานต่อไม่ไหวหัวใจวายตายอยู่หน้าโต๊ะคอม กว่าจะเจอร่างไร้ลมหายใจของเฉียนเฟยที่ตัวแข็งทื่อเย็นเฉียบ ก็เป็นรุ่งเช้าของอีกวัน บริษัทเองก็ไม่ได้คิดว่าเธอสลักสำคัญอะไร ในวันจัดงานศพมีเพียงพวงหรีดโง่ ๆ กับตัวแทนพนักงานเพียงคนสองคนเท่านั้นที่ไปร่วมงาน
นางใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้มีชีวิตใหม่อยู่ราว ๆ สิบปี ถึงจะระลึกชาติได้ ชาติที่แล้วนางคือเฉียนเฟยเบ๊ประจำสำนักงาน แต่ชาติใหม่ของนางในโลกนี้คือว่านฉีเส้าหนิง บุตรสาวของพระเอกและนางเอกจากนิยายเรื่องดัง ที่เนื้อเรื่องส่วนที่สำคัญจบไปแล้วนับสิบปี
มารดาของนางในเวลานี้ คือซูหยุนหนิงนางเอกของนิยายเรื่องนี้ เด็กหญิงไม่รู้ที่มาที่ไปว่าเหตุใด มารดาของนางจึงได้มาตกระกำลำบากอยู่ในชนบทเช่นนี้ ทั้งที่ในนิยายเรื่องนั้นพระเอกที่มีนามว่าว่านฉีอี้ ซึ่งเป็นบิดาของนางเป็นถึงชินอ๋อง มีอำนาจล้นมือเป็นรองแค่เพียงฮ่องเต้ซึ่งเป็นเสด็จปู่ของนางเท่านั้น
ทั้งที่ในอดีตในสมัยที่พวกเขายังอยู่ในวัยหนุ่มสาว เป็นคู่รักบันลือโลก มีชื่อเสียงในด้านของความรักมาเป็นอันดับหนึ่ง เป็นคู่รักยวนยางที่ใคร ๆ ก็ล้วนแล้วแต่อิจฉา สร้างเรื่องราวและฝ่าฟันความยากลำบากมาด้วยกันอย่างมากมาย ใครเลยจะรู้ว่าหลังจากที่นิยายจบแต่โลกแห่งความเป็นจริงยังไม่จบ หลังจากที่คลอดนางซึ่งก็คือท่านหญิงใหญ่แห่งจวนชินอ๋องได้ราวห้าปี ทั้งนางและท่านแม่ก็ถูกขับออกมาจากจวนอ๋อง
“ท่านแม่อากาศที่นี่อับชื้นจนเกินไป เพราะเหตุนี้ท่านจึงล้มป่วย” เด็กหญิงวัยสิบขวบเอ่ยกับมารดา
พระชายาหยุนหนิงที่ในตอนนี้ใบหน้าหมดสิ้นแล้วซึ่งความงดงาม ยิ้มอ่อนโยนให้กับบุตรสาวตัวน้อย
“นั่นสินะ ที่นี่อับชื้นและหนาวจนเกินไป” นางมองไปรอบ ๆ ตัว “เป็นเพราะแม่จึงทำให้เจ้าลำบากเช่นนี้” ซูหยุนหนิงได้แต่โทษตัวเอง หากนางร่างกายแข็งแรงกว่านี้และมีบุตรชายให้กับเขา คงไม่ถูกขับไล่ออกมาจากจวนอ๋อง เด็กน้อยคนนี้ก็จะไม่น่าสงสารเช่นนี้
“ท่านแม่อย่าได้โทษตัวเองเลย” มือเล็กแบบบางของว่านฉีเส้าหนิงเช็ดซับน้ำตาให้กับมารดา โรคที่นางป่วยเป็นโรคของนางเอก ความจริงจุดจบของนางเอกคือความตาย แต่เพราะคุณนักเขียนในเวลานั้นถูกกดดันจากนักอ่านเลยเปลี่ยนเรื่องราวกลางคัน ให้นางเอกยังมีชีวิตอยู่
“หนิงเอ๋อ” ซูหยุนหนิงเรียกชื่อของบุตรสาว
“เจ้าค่ะ”
“แม่คงเหลือเวลาอยู่กับเจ้าได้อีกไม่นาน”
เด็กหญิงทำตาโตตกใจกับถ้อยคำตัดพ้อของมารดา นางจะปล่อยให้มารดาจากไปเช่นนี้ไม่ได้
“ไม่ได้เจ้าค่ะ ท่านแม่อย่าทิ้งหนิงเอ๋อไปในเวลานี้นะเจ้าคะ ท่านก็รู้ว่าข้าอยู่ที่นี่กับท่านตามลำพัง ข้าไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนอีกแล้ว”
สิ่งที่บุตรสาวของนางกล่าวมานั้นถูกต้องทั้งหมด หากนางจากไปในเร็ว ๆ นี้ เด็กคนนี้จะหมดที่พึ่งพิง มีเรื่องราวอีกมากมายที่ซูหยุนหนิงอยากจะเล่าและแบ่งปันให้เจ้าตัวน้อยคนนี้ฟัง มีสถานที่อีกหลายแห่งที่นางอยากพาบุตรสาวไปท่องเที่ยว มีอาหารอร่อย ๆ อีกหลายชนิดที่นางอยากทำให้บุตรสาวได้ลิ้มลอง
เมื่อคิดได้แล้วซูหยุนหนิงก็ได้แต่พยักหน้ารับปาก ใช่แล้วนางจะจากไปในตอนนี้ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด
“แม่เชื่อเจ้า แม่เชื่อเจ้าแล้ว” มือหยาบกร้านเย็นเฉียบของซูหยุนหนิงกอบกุมมือเล็กของบุตรสาว
ขอแค่เพียงจัดการสุขอนามัยในบ้านหลังนี้ใหม่เสีย นางเชื่อว่าสุขภาพร่างกายของมารดาจะต้องกลับมาแข็งแรงในเร็ววัน
“แต่ว่า....” เด็กหญิงอ้ำอึ้ง “ข้ามีเรื่องหนึ่งจะต้องขอร้อง” ว่านฉีเส้าหนิงอึกอัก เพราะเป็นเรื่องที่นางยากจะเอื้อนเอ่ย
“ว่ามาเถิด” ซูหยุนหนิงรับฟังคำขอร้องของนาง “ถ้าแม่ทำได้ แม่จะทำ” หากไม่เหลือบ่ากว่าแรงนางย่อมไม่ปฏิเสธ
“ปิ่นปักผมของท่านพ่อกับข้าวของเครื่องประดับบางส่วนที่ท่านนำติดตัวมาจากจวนอ๋อง ท่านตัดใจ..ขายมันได้หรือไม่”
เด็กหญิงจ้องมองสีหน้าของมารดา นางแสดงออกชัดเจนว่ามิอาจตัดใจ ปิ่นล้ำค่าชิ้นนั้นเป็นของรักที่ว่านฉีอี้บิดาของนางเป็นผู้มอบเอาไว้ให้ มันทำจากหยกสีเขียวบริสุทธิ์หายาก ซ้ำยังประดับด้วยไข่มุกขาวกลมกลึง อันเป็นของล้ำค่าจากแดนใต้
ยามเมื่อรักว่านฉีอี้ก็พร้อมจะมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้โดยที่มารดาของนางไม่ต้องร้องขอ แต่ยามเมื่อหมดรักแม้แต่ข้าวสารสักถ้วยก็มิอาจมอบให้
ซูหยุนหนิงเงียบไปครู่หนึ่ง พิจารณาคำขอร้องของเด็กหญิงด้วยสมองอันโง่เขลาของตนเอง
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ามีของสิ่งนั้น” ซูหยุนหนิงถามบุตรสาวอย่างไม่เข้าใจนัก เรื่องของปิ่นอันนั้นนางปิดปากเงียบมาโดยตลอดเพราะเกรงว่าจะถูกยึดคืนจากพระสวามี ตลอดหลายปีที่เขาไม่ถามถึงมันคงเป็นเพราะว่าลืมไปแล้วว่าเคยมอบสิ่งใดเอาไว้ให้นาง วันใดคิดออกจึงมาขอคืน ช่างเป็นบุรุษที่ใจร้ายนัก
ว่านฉีเส้าหนิงอึกอักอีกครา นางจะบอกว่าอย่างไร หาเหตุผลอะไรดี สมองน้อย ๆ ที่ยังไม่พัฒนาเต็มที่ของเด็กหญิงไม่ได้คิดคำนวณเรื่องนี้เอาไว้ตั้งแต่แรกเพราะไม่คิดว่ามารดาจะถาม
“ข้า.....” เด็กหญิงก้มหน้างุดแล้วจึงคิดคำแก้ตัวได้ทันเวลา “ข้าแอบมาค้นของของท่านแม่เจ้าค่ะ” ให้ถูกบ่นเรื่องนั้นดีกว่าให้นางบอกความจริงอันไร้สาระ
เมื่อคิดถึงห้องนอนที่ถูกค้นเมื่อหลายวันก่อน ซูหยุนหนิงจึงไม่ได้คิดติดใจสิ่งใด ผู้เป็นมารดาชี้มือไปที่ตู้เก็บของ
“ในนั้นมีกล่องอยู่กล่องหนึ่งเป็นของมีค่าที่แม่หยิบฉวยเอามาได้ตอนถูกขับออกจากจวนอ๋อง หนิงเอ๋อเด็กดี หยิบให้แม่ได้หรือไม่” ว่านฉีเส้าหนิงกระโดดลงจากเตียง วิ่งปรู๊ดเดียวแล้วหยิบกล่องไม้ที่ทำมาจากต้นการบูรใบนั้นออกมาอย่างรวดเร็ว
ใช้เวลาอยู่ราว ๆ ครึ่งก้านธูป จึงจะสามารถเปิดกล่องสมบัติล้ำค่าใบนั้นได้ ภายในไม่ได้มีแค่เพียงปิ่นหยกประดับมุขเท่านั้น ยังมีป้ายประจำตัวของนาง กระจกทองเหลืองเก่า ๆ เครื่องประดับล้ำค่าอีกสี่ห้าชิ้น
มือที่ผอมแห้งของมารดาหยิบปิ่นหยกชิ้นนั้นขึ้นมา มันงดงามกว่าที่นักเขียนบรรยายเอาไว้มาก ที่ส่วนปลายสลักเป็นดอกไม้ห้อยระย้าประดับด้วยไข่มุก เห็นได้ชัดว่ามูลค่าของมันคงมหาศาล ไม่คิดเลยว่าช่างฝีมือในยุคนี้ที่ไม่ได้มีอุปกรณ์และเครื่องมืออันทันสมัย จะสามารถแกะสลักออกมาได้สละสลวยงดงามราวกับมีชีวิต