5 คิดราคาให้แพง ๆ
เด็กชายที่นางพากลับมาด้วยกันหลับไปถึงสองวันสองคืน เพราะเขาทำให้นางต้องเจียดสมุนไพรที่เก็บมาได้จากในป่าปรุงเป็นยาให้กับเขา เด็กหญิงทำหน้ามุ่ย พี่ชายที่นอนซีดเป็นไก่ต้มผู้นี้เมื่อไหร่จะฟื้นแล้วก็ไปจากบ้านของนางเสียที
เพราะเขาทำให้รายได้ของนางลดลงไปมากกว่าครึ่งยาที่เดิมที่ตั้งใจให้มารดาดื่มเพียงผู้เดียวต้องแบ่งให้กับเขา เด็กหญิงคิดคำนวณราคาหลินจือที่นางต้มให้เขา เปรียบเทียบกับที่นางนำไปขายที่ร้านขายยา
เห็ดที่นางเก็บไปคราวก่อน ขนาดใหญ่และสมบูรณ์ขายไปในราคา หนึ่งตำลึงเงิน ขนาดชิ้นที่นางให้เขากินนั้น ใหญ่และสมบูรณ์กว่ามาก ถ้าเช่นนั้นคิดชิ้นละสองตำลึงเงินดีหรือไม่ เด็กหญิงคิดคำนวณตัวเลขอยู่ในหัว ในระหว่างที่นางกำลังคิดว่าจะเก็บเงินจากพี่ชายอย่างไรดี เด็กชายที่หลับไปถึงสองวันก็ค่อย ๆ ขยับตัวลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ
หัวของเล่อฮวาหยวนหนักอึ้งไปหมด ร่างกายก็รู้สึกหนาวสั่น เมื่อมองไปรอบ ๆ ตัว ก็พบว่าที่นี่ไม่ใช่ป่าสุสานอีกต่อไปแล้วร่างกายถูกชำระล้างสะอาดสะอ้าน ภายในห้องมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ เด็กชายยกมือขึ้นช้า ๆ พยายามจะหยัดร่างกายของตนเองลุกขึ้นนั่งให้ได้
“พี่ชายอย่าเพิ่งลุกขึ้น” เด็กหญิงใบหน้าเกลี้ยงเกลารีบเข้ามาประคอง
ทันทีที่เห็นหน้าเขาก็จำได้ทันทีว่านางเป็นใคร วันนี้นางไม่ได้ทาหน้าด้วยผงสีดำอีกแล้ว ดวงตาคู่นั้นเขาจำได้ทันทีว่าเป็นนาง เด็กชายพิจารณาใบหน้าของเด็กหญิงอย่างถี่ถ้วน
“....”
“ท่านเป็นอะไรเหตุใดจึงมองหน้าข้าเช่นนั้น” ว่านฉีเส้าหนิงไม่เข้าใจ
“อ้อ...ขอโทษที ข้าแค่สงสัยว่าใช่เด็กคนที่ข้าเจอในป่าหรือไม่”
“ท่านนี่มัน” ทันทีที่เขาตื่นขึ้นมาก็เริ่มพูดจากวนประสาท
“ขอโทษ ๆ ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าโกรธ”
“ขอโทษอีกแล้ว ท่านพูดเป็นแต่คำนี้หรืออย่างไร” เด็กหญิงบ่นพลางส่ายหน้าไปมา
ความจริงเขาเองก็อยากจะบอกว่ามีแค่เพียงนางเท่านั้นที่เขาพูดคำว่าขอโทษ เห็นนางทำหน้าหงิกงอเขาเห็นแล้วก็รู้สึกหงุดหงิดอย่างประหลาด หากการขอโทษนางทำให้นางอารมณ์ดีขึ้นเขาจะทำ
เขาเป็นทายาทของยอดแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้น หากใครรู้เข้าว่าเขาตกเป็นเบี้ยล่างของเด็กตัวเล็ก ๆ เช่นนี้ชื่อเสียงคงจะเสียหายน่าดู
“น้องสาว ข้าพูดขอโทษกับเจ้าแค่คนเดียวเท่านั้น” ใบหน้าขาวซีดไร้สีเลือดบอกกับเด็กหญิง
“เอาเถอะ เห็นเป็นท่านหรอกข้าจะให้อภัย” นางเองก็กลัวว่าก้อนเงินก้อนทองเคลื่อนที่ ของนางจะโกรธเช่นกัน
เถียงกันอยู่ครู่ใหญ่ ซูหยุนหนิงก็ยกชามข้าวต้มเข้ามาในห้อง กลิ่นหอมหวนยั่วยวนใจ เล่อฮวาหยวนที่อดอาหารมาหลายวันถึงกลับกลั้นน้ำลายเอาไว้ไม่ไหว
“ฮ่า ๆ พี่ชาย กลิ่นอาหารของท่านแม่ข้าทำให้ท่านน้ำลายไหลเช่นนี้เชียวหรือ”
เล่อฮวาหยวนที่ถูกจับผิดรีบปฏิเสธทันควัน ใบหน้าที่ขาวซีดอยู่เมื่อครู่พลันเป็นสีแดงก่ำ เขาเป็นทายาทจอมทัพ แต่มานั่งน้ำลายสอต่อหน้าสตรี รู้ถึงไหนอายไปถึงนั้น เด็กชายรีบมุดเข้าใต้ผ้าห่ม ไม่อยากให้ใครเห็น
“โธ่...หนิงเอ๋อ เจ้านี่นา” ผู้เป็นมารดาหันไปดุบุตรสาว ส่วนซูหยุนหนิงนั้นรู้สึกเอ็นดู เด็กอย่างไรก็เป็นเด็ก “มาเถอะ คุณชายออกมาทานข้าวต้มก่อน” น้ำเสียงแหบพร่าของซูหยุนหนิงเชื้อเชิญ
ใช้เวลาอยู่สักพักเล่อฮวาหยวนก็ยังไม่ออกมาจากผ้าห่ม ว่านฉีเส้าหนิงจึงใช้ไม้ตายสุดท้าย
“ท่านแม่ ข้าวต้มชามนี้พี่ชายคงไม่อยากกินกระมัง ถ้าเช่นนั้นข้าขอจัดการข้าวต้มชามนั้นแทนได้หรือไม่” ว่านฉีเส้าหนิงตัวแสบตั้งใจพูดเสียงดัง
“ข้ากิน!!! ข้าจะกิน” เด็กชายรีบโผล่ออกมาจากผ้าห่ม แต่เพราะออกแรงมากจนเกินไป ทำให้กระทบบาดแผลที่บาดเจ็บ จากหน้าแดงเพราะความขวยเขินจึงกลายเป็นหน้าเขียวเพราะความเจ็บปวด
“ตายจริงเจ็บมากใช่หรือไม่” ซูหยุนหนิงรีบถลกผ้าห่มออก พร้อมกับถลกขากางเกงขึ้นเพื่อดูบาดแผล
เล่อฮวาหยวนแทบอยากกระอักเลือด ขากางเกงของเขาถูกถลกขึ้นจนเกือบเห็นของสำคัญ
“ฮูหยินได้โปรด!!!” เด็กชายน้ำตาคลอ ความเป็นชายของเขาถูกพบแล้ว
ซูหยุนหนิงเห็นเด็กชายร้องไห้ ก็แปลกใจกระทั่งสายตาพบกับอะไรบางอย่าง ที่แท้ก็เขินอายยายตัวแสบนี่เอง
“หนิงเอ๋อ ออกไปก่อนได้หรือไม่ พี่ชายต้องใส่ยา ไม่สะดวกจะให้เจ้าอยู่ด้วย” ผู้เป็นมารดาหันไปสนทนากับบุตรสาวแล้วจึงปรายตาไปมองที่เด็กชายเพื่อดูว่านางกล่าวถูกหรือไม่
“....” เขาพยักหน้าหงึก ๆ ริมฝีปากเบะเล็กน้อยคล้ายกับจะร้องไห้
“ให้ข้าช่วยเถอะเจ้าค่ะ ท่านแม่ออกแรงมากเกินไปจะเป็นลมเอาได้” เด็กหญิงไม่ยินยอม นางไม่อยากให้มารดาเหนื่อยจนเกินไป
ไม่ได้!!! สวรรค์ช่วยข้าด้วย เล่อฮวาหยวนได้แต่ภาวนาอย่าให้ฮูหยินเห็นด้วยกับสิ่งที่บุตรสาวกล่าว
“....” นางมองมาที่เขาอีกคราหนึ่ง เด็กชายที่น้ำท่วมปากได้แต่ส่ายหน้าไม่ตกลง
ซูหยุนหนิงเห็นแล้วก็อดขำไม่ได้
“ไม่ได้ เจ้าออกไปเดี๋ยวนี้เลย” นางค่อย ๆ ดันตัวว่านฉีเส้าหนิงที่ดื้อรั้นให้ออกไปจากห้อง
“ท่านแม่!!!” นางโวยวายงอแง ยื้อกันอยู่นานก็ถูกมารดาขับไล่ออกมาจากห้องได้สำเร็จ
“ท่านใช้งานท่านแม่ของข้าเช่นนี้ ข้าจะคิดบัญชีกับท่านให้แพง ๆ เลย เอาให้ย่อยยับไปทั้งตระกูล” ว่านฉีเส้าหนิงทิ้งท้ายก่อนจะหายลับไปจัดการสมุนไพรของนางต่อไป
เมื่อนางจากไปแล้วซูหยุนหนิงจึงลุกขึ้นมาจัดการบาดแผลที่ได้รับบาดเจ็บของเขา ตลอดเวลาที่เขานอนหลับก็เป็นนางที่เป็นผู้ดูแล หากบุตรชายคนแรกของนางยังมีชีวิตอยู่ อายุก็น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับเด็กชายคนนี้ สิบสี่ปีแล้วสินะที่เด็กคนนั้นจากไป นางคลอดเขาได้แค่เพียงสามวัน เด็กชายที่ไม่แข็งแรงก็ล้มป่วยและเสียชีวิตในที่สุด
“คุณชายเล่อ ล่วงเกินแล้ว”
“ท่านรู้จักข้าเหรอ” เด็กชายที่มุดอยู่ในผ้าห่มไม่กล้ามองหน้าฮูหยินถามกลับ
“ไม่ได้รู้จักหรอก แต่ป้ายประจำตัวของท่านระบุเอาไว้เช่นนั้น” นางพูดและบรรจงใส่ยาให้อย่างเบามือ
“ถ้าข้ากลับจวนเมื่อไหร่ จะต้องตอบแทนพวกท่านอย่างแน่นอน” เล่อฮวาหยวนพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “แต่ตอนนี้คนของข้าน่าจะกำลังตามหาข้าอยู่ ฮูหยินจะช่วยข้าน้อยได้หรือไม่”
“ย่อมได้” นางรับปากพร้อมกับดึงกางเกงลงมาเช่นเดิม “จะให้ช่วยอย่างไร”
“นำป้ายตราชิ้นนี้ ไปแสดงตัวที่โรงเตี๊ยมต้นหลิวบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้น ท่านแม่ของข้าและคนของข้าจะรู้ได้ในทันที”
“เข้าใจแล้ว คงต้องไหว้วานเส้าหนิงแล้วล่ะ” ซูหยุนหนิงพูดอีกไม่กี่ประโยคก็เริ่มกระแอมไอ เริ่มจากเบาและหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนกระอักเลือดออกมากองใหญ่
“ฮูหยิน ข้าจะไปตามนาง”
“อย่าไป คุณชายเล่อ อย่าทำเช่นนั้น”
“แต่ท่าน” เขาไม่เข้าใจอาการของนางหนักเช่นนี้ทำไมถึง.... “เหตุใดจึงไม่ตามหมอมารักษา”
“ท่านก็เห็นแล้ว พวกข้าไม่มีเงิน แม้แต่จะซ่อมแซมบ้านหรือซื้อข้าวสารสักถังยังต้องคิดแล้วคิดอีก” ซูหยุนหนิงเก็บผ้าเช็ดหน้าของตนเองเข้าไปในสาบเสื้อ
“ในคณะของข้ามีท่านหมอที่เก่งกาจเขาจะต้องช่วยเหลือท่านได้แน่ ๆ”
ซูหยุนหนิงทำแค่เพียงยิ้มขอบคุณ อาการของนาง ถ้ารักษาได้คงหายไปนานแล้ว
“ขอบคุณคุณชายรบกวนท่านแล้ว ตอนนี้ทานข้าวต้มเถิดเดี๋ยวจะเย็นเสียก่อน”
เด็กชายพยักหน้าหงึก ๆ แล้วจึงก้มหน้าก้มตารับประทานข้าวต้มโดยไม่ได้สนทนาอะไรกับนางอีก