บทที่ 3
จากนั้นองครักษ์จางได้อุ้มหญิงสาวเหาะท่ามกลางอากาศเย็นสบายมาที่ต้นไม้ใหญ่ต้นเดียวกันกับองค์รัชทายาท
“หวังว่าพวกเราจะเหาะมาไกลขนาดนี้พวกเสือมันคงไม่ตามมากระมัง” รัชทายาทเอ่ยถามองครักษ์จางที่อุ้มท่านหญิงแล้วยืนอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่
“กระหม่อมก็คิดว่าเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ” เพราะพวกเขาเหาะมาไกลพอสมควร
รัชทายาทและท่านหญิงถอนหายใจอย่างโล่งอก
ทั้งสามคนลงจากต้นไม้ตอนนี้แสงตะวันแทบจะไม่มีแล้ว ราตรีมืดมิดมาเยือน องครักษ์จางรีบก่อกองไฟและหากระต่ายป่ามาย่างให้รัชทายาทและท่านหญิงกิน
รัชทายาทและท่านหญิงต่างมองกระต่ายป่าเสียบไม้ย่างกลิ่นหอมๆ ของมันลอยเข้าจมูกของทั้งสองคนแทบจะอดใจไม่ไหวแล้ว
“ไม่รู้ว่าท่านพ่อจะส่งคนออกตามหาพวกเรารึยัง” รัชทายาทนึกถึงฮ่องเต้ขึ้นมาทันที ป่านนี้ฮ่องเต้ต้องส่งคนออกตามหาพวกเขาแล้ว
“ข้าคิดถึงวังอ๋องจะแย่อยู่แล้ว” ตอนนี้นางทั้งหิวทั้งง่วง กระต่ายป่าที่องครักษ์จางย่างเสร็จพอดีส่งให้รัชทายาทหนึ่งไม้ ให้นางหนึ่งไม้ หญิงสาวรีบเขมือบกระต่ายย่าง องครักษ์ถึงกับอมยิ้มที่นางกินอย่างไม่ห่วงภาพพจน์
หลังจากที่ทั้งสามกินกระต่ายย่างเสร็จแล้ว องครักษ์จางก็อาสาเฝ้าเวรยามให้รัชทายาทและท่านหญิงนอนอย่างสบาย
รัชทายาทนอนบนกองฟางด้านหนึ่ง ส่วนท่านหญิงโอวหยางเป่ยเป่ยนอนอีกด้านหนึ่งแล้วหันหน้ามาทางจางอวี้หวาย ชายหนุ่มพิจารณาใบหน้างามผ่านกองไฟ นางช่างงดงามเหลือเกิน ใบหน้าขาวเนียนบวกกับแพขนตาหนาๆ ริมฝีปากบางแดงอวบอิ่ม
ไม่ๆๆ นี่เขาคิดอะไรกับผู้เป็นนาย
นางเป็นถึงท่านหญิงแห่งวังอ๋อง ส่วนเขาเป็นแค่องครักษ์บุตรชายพ่อบ้าน ฉะนั้นเขาได้แต่บอกตัวเองให้เฝ้ามองนางแค่ห่างๆ และคอยปกป้องเจ้านายท่านนี้ตลอด เขาจะเป็นสมภารกินไก่วัดไม่ได้ ชายหนุ่มหันหน้าหนีออกจากร่างอรชร
หญิงสาวลืมตาขึ้นเมื่อเขาหันหน้าหนีไปอีกทางและหันหลังให้นางด้วยตอนนี้ ทำไมนางจะไม่รู้ทุกการกระทำของนางตกอยู่ในสายตาบุรุษผู้นี้มาตลอด
เขาเป็นองครักษ์นางมาเกือบสิบกว่าปีแล้ว ตั้งแต่นางอายุสามขวบนางก็จำได้ว่าจางอวี้หวายกับนางตัวไม่เคยห่างกันเลย เขาเป็นคนทำให้นางหัวเราะมาตลอดและยังเป็นอีกคนที่ทำให้นางร้องไห้ด้วยเช่นกัน
นางไม่รู้ว่าความรักระหว่างเขากับนางมันจะเป็นไปได้หรือไม่ ถ้านางบอกบิดาแล้วบิดาจะยอมรับราชบุตรเขยที่เป็นองครักษ์ได้หรือ ยิ่งคิดนางยิ่งปวดศีรษะ
นางเคยถามตัวเองมาตลอดว่านางรักจางอวี้หวายอย่างพี่ชายหรือไม่ แต่แล้วคำตอบจากหัวใจนางก็คือไม่ นางรักเขาแบบชายหญิงที่จะใช้ชีวิตเฉกเช่นสามีภรรยา
ทุกครั้งที่มีอันตรายองครักษ์จางจะช่วยเหลือนางตลอด ก็ใช่...เขาเป็นองครักษ์ของนางมันก็ต้องเป็นหน้าที่เขาอยู่แล้วที่จะต้องช่วยเหลือนาง แต่ความอบอุ่นมันเกิดขึ้นทุกครั้งหลังจากที่เขาช่วยเหลือนาง แม้แต่ตอนที่เขาพานางหนีเสือแล้วขึ้นมาบนต้นไม้ รวมถึงเหตุการณ์หลายๆ อย่างนับสิบปีมานี้ที่มีองครักษ์จางเคียงข้าง ทำให้นางมั่นใจว่านางจะต้องเอาบุรุษผู้นี้มาเป็นสามีถึงแม้จะผิดใจกับบิดาและมารดาก็ตาม
นางไม่สนใจอะไรแล้วหลังจากออกไปจากป่าแห่งนี้ได้นางจะต้องเริ่มแผนการพิชิตใจเขา นางต้องได้เขามาครอบครองทั้งตัวและหัวใจ
ตุบ! อะไรไม่รู้หล่นลงมาใส่ตัวองครักษ์ เขาถึงกับตกใจมันตกลงมาที่หน้าตักของเขา แสงไฟทำให้พอเห็นรางๆ ว่ามันเป็นงู ในระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังจะสะบัดมันออกไปจากตัว
“อ้าก!” มันกัดเขา ลำตัวยาวดำขลิบ มันเลื้อยเข้าป่าไป ชายหนุ่มจับข้อมือด้วยความเจ็บปวด
“เจ้าเป็นอะไรไป” ท่านหญิงเป่ยเป่ยลุกขึ้นทันที
รัชทายาทที่กำลังนอนสบายตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงร้องขององครักษ์จาง สายตารัชทายาทมองดูองครักษ์ดิ้นปานเจ้าเข้า
“งูกัดกระหม่อม อ้าก!” จางอวี้หวายร้องด้วยความเจ็บปวด
โอวหยางเป่ยเป่ยรีบกระโดดไปหาเขาทันที หญิงสาวมองข้อมือชายหนุ่ม เห็นเขี้ยวงูสองจุดทิ้งรอยเอาไว้
สีหน้าของเขาเริ่มคล้ำแล้ว นางจะทำอย่างไรดี
“รัชทายาททำอย่างไรดีถึงจะช่วยองครักษ์จางได้” นางเอ่ยถามญาติผู้พี่
“ข้าไม่ใช่หมอ ข้าไม่รู้” รัชทายาทบอกญาติผู้น้อง เขาไม่ใช่หมอนี่นา
“ดูดพิษออกพ่ะย่ะค่ะ” จางอวี้หวายบอกท่านหญิงเป่ยเป่ย ตอนนี้เขาไม่ไหวแล้วตาใกล้จะปรือแล้ว
หญิงสาวได้ยินว่าดูดพิษ นางไม่รอช้า เรียวปากงามดูดที่ข้อมือองครักษ์จางทันที แม้แต่รัชทายาทยังอึ้งกับญาติผู้น้องที่ทำเช่นนี้
“เป่ยเป่ย ทำไมเจ้าทำแบบนี้ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา จะทำอย่างไร” รัชทายาทมองเป่ยเป่ยดูดพิษออกให้องครักษ์
นางถ่มพิษออก “ข้าไม่สน ข้าจะต้องช่วยเขา” นางก้มลงดูดพิษต่อ
นางไม่สนใจอะไรทั้งนั้น นางรู้แค่ว่ายังไงจะต้องช่วยองครักษ์จางให้ได้ องครักษ์จางมองดูท่านหญิงเป่ยเป่ยดูดพิษออกให้เขา ทำไมนางถึงดีกับเขาเพียงนี้
“ท่านหญิง...” จางอวี้หวายเรียกนางช้าๆ หญิงสาวดูดพิษจนหมดพอดี
นางมองไปที่ใบหน้าเขียวคล้ำของจางอวี้หวาย
“เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม” นางเอ่ยถามเขาด้วยความเป็นห่วง
“กระหม่อมค่อยยังชั่วแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
มือเรียวงามจับไปที่ใบหน้าหล่อเหลา
“ข้าดีใจที่เจ้าไม่เป็นไร” นางบอกความในใจ แต่ทำไมนางรู้สึกว่าริมฝีปากนางบวม
“เป่ยเป่ย ปากเจ้ามันบวม” รัชทายาทเห็นริมฝีปากญาติผู้น้องบวมอย่างกับถูกผึ้งต่อย
“ปากข้า” หญิงสาวจับที่ริมฝีปากตัวเอง มันบวมจริงๆ ด้วย
“เพราะท่านหญิงช่วยข้า ท่านถึงได้เป็นแบบนี้” สายตาอันพร่ามัวของจางอวี้หวายมองไปที่ริมฝีปากงาม บัดนี้มันบวมจนกลายเป็นสีม่วง นางเป็นถึงท่านหญิงถ้านางจะปล่อยให้คนอย่างเขาตายก็ได้ ชีวิตองครักษ์อย่างเขามันไม่มีค่าอะไรอยู่แล้ว
“เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าเป็นอะไรเด็ดขาด” ริมฝีปากบวมเอ่ยขึ้น ตอนนี้นางรู้สึกง่วงเหลือเกิน ทันใดนั้นนางก็สลบลงไปในอ้อมกอดเขา
“ท่านหญิง!”
“เป่ยเป่ย” รัชทายาทเป็นห่วงญาติผู้น้องเป็นอย่างมาก ไม่คิดว่าจะเสี่ยงชีวิตช่วยองครักษ์จาง แสดงว่านางคงจะรักคนผู้นี้จริงๆ...
หญิงสาวค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาพบว่าอยู่ในตำหนักตัวเอง เสี่ยวสี่ยกถาดยาเดินเข้ามาหาผู้เป็นนาย
“ท่านหญิงทรงฟื้นแล้ว” เสี่ยวสี่วางถาดยาไว้ที่โต๊ะข้างเตียง
โอวหยางเป่ยเป่ยมองสาวใช้ นางจำได้ว่าตัวเองอยู่ในป่าล่าสัตว์กับองครักษ์และรัชทายาท องครักษ์จางโดนงูกัดแล้วกลับวังมาได้อย่างไร
“เสี่ยวสี่ข้ากลับวังมาได้อย่างไร” นางเอ่ยถามสาวใช้ ใคร่อยากรู้ หญิงสาวจับริมฝีปากตัวเองไปด้วยแล้วฟังเสี่ยวสี่เล่าเรื่องราว ริมฝีปากนางยุบเป็นปกติแล้ว
เสี่ยวสี่เล่าว่าวันนั้นฮ่องเต้ทราบข่าวว่าองค์รัชทายาทและท่านหญิงยังไม่ทรงกลับมาก็ทรงเป็นห่วงจึงให้ทหารออกตามหาทั่วป่า แต่แล้วก็พบเจอรัชทายาทกับท่านหญิงและองครักษ์นอนสลบอยู่ด้วยกัน ในตอนนั้นมีแต่เพียงองค์รัชทายาทไม่ทรงเป็นอะไร องค์รัชทายาทจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ฮ่องเต้และชินอ๋องฟังว่าตนถูกลอบทำร้าย หนำซ้ำองครักษ์จางโดนงูกัดและท่านหญิงเป็นคนดูดพิษให้
ทำให้ชินอ๋องโกรธองครักษ์จางเป็นอย่างมาก จึงจะเปลี่ยนองครักษ์ท่านหญิง
“ท่านพ่อบ้าไปแล้ว ข้าไม่ยอมจะเปลี่ยนองครักษ์ของข้า แล้วข้าสลบไปกี่วัน”
“สองวันเจ้าค่ะ” เสี่ยวสี่ตอบ
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าใครเป็นคนที่ลอบทำร้ายข้าและรัชทายาท”
“เรื่องนี้หม่อมฉันได้ยินข่าวมาว่าฮ่องเต้ทรงสั่งทหารลับไปสืบอยู่เพคะ” เสี่ยวสี่บอกผู้เป็นนาย
“แล้วองครักษ์จางไปไหน ท่านพ่อเอาเขาไปซ่อนไว้ที่ไหน”
“เอ่อ…” เสี่ยวสี่ไม่กล้าบอกผู้เป็นนาย
“อะไรกัน ฟื้นขึ้นมาก็ถามหาแต่องครักษ์จาง” พระชายาโอวหยางเดินเข้ามาได้ยินสิ่งที่บุตรสาวพูดทันที
พระชายาโอวหยางส่งสายตาให้เสี่ยวสี่และเสี่ยวลู่ออกไปข้างนอกก่อน เหลือเพียงสองแม่ลูกนั่งที่เตียง เซียวหรูอวี้มองไปที่หน้างามของบุตรสาวที่ซีดเซียวอย่างกับไก่ต้ม นางนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าบุตรสาวจะเสี่ยงชีวิตช่วยองครักษ์จนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด
ท่านหญิงโอวหยางเป่ยเป่ยหลุบตาลงต่ำ ไม่กล้าสบตากับมารดา
“เจ้าช่วยองครักษ์จางโดยไม่คำนึงถึงชีวิตตัวเองเลยนะ” สายตาที่มารดามองบุตรสาวทำให้เป่ยเป่ยคิดในใจ ขออย่าให้มารดารู้เลยว่านางคิดอย่างไรกับองครักษ์ของตัวเอง
“ท่านแม่ องครักษ์จางช่วยเหลือข้ามาตั้งมากมาย ข้าทนให้เขาถูกงูกัดตายไปต่อหน้าไม่ได้หรอกเพคะ” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผู้เป็นมารดา
“เป่ยเป่ยแม่รู้แล้ว ว่าเหตุใดเจ้าถึงหนีงานแต่งและไม่ยอมแต่งงานจนถึงทุกวันนี้” เซียวหรูอวี้จ้องเข้าไปในตาของบุตรสาว นัยน์ตานั้นเมื่อเอ่ยถึงองครักษ์จางช่างส่องประกายระยิบระยับนัก มันทำให้นางผู้เป็นมารดาที่อาบน้ำร้อนมาก่อนรู้ทันทีว่าบุตรสาวคิดอะไรอยู่
“ท่านแม่…ข้า”
“เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ มีท่านหญิงที่ไหนบ้างที่ช่วยองครักษ์ มีแต่องครักษ์ที่มีหน้าที่คุ้มครองเจ้า ข้าขอให้เจ้าหยุดความคิดนี้เสียเถิดเพราะมันเป็นไปไม่ได้” พระชายาโอวหยางเอ่ยกับบุตรสาว นางว่าแล้วหญิงชายใกล้กันนั้นต้องเกิดความชอบความรู้สึกดีต่อกัน แต่ถ้านางยอมให้บุตรสาวชอบพอกับองครักษ์แล้วคิดว่าชินอ๋องจะยอมหรือ
“ท่านแม่” หญิงสาวเรียกมารดาน้ำตาคลอเบ้า พระชายาโอวหยางรีบกอดบุตรสาว
“ข้าหวังดีต่อเจ้า วันนี้องครักษ์คนใหม่จะมาทำหน้าที่แทนจางอวี้หวาย” พระชายาโอวหยางลูบแผ่นหลังบุตรสาวเบาๆ
“เพคะ”
“จางอวี้หวาย พ่อบ้านจางส่งเขากลับไปที่หมู่บ้านชายแดนเหนือตั้งแต่เมื่อวานแล้ว” ครั้นได้ยินมารดากล่าวออกมาเช่นนี้ หัวใจเป่ยเป่ยก็รู้สึกเจ็บแปลบ