บทที่ 2
นึกขึ้นแล้วชายหนุ่มก็ยิ้มจนปากจะฉีกไปถึงรูหู นางก็เป็นสตรีที่ไม่ทำเรื่องงามหน้าที่เที่ยวไปคุยกับบุรุษสุ่มสี่สุ่มห้า สมแล้วที่เป็นท่านหญิงโอวหยางเป่ยเป่ย
ถ้าเกิดนางคุยกับบุรุษกลุ่มนั้นก็เรื่องของนาง แต่นางเลือกที่จะหนีออกมาดื้อๆ
หญิงสาวมองป่าไม้ที่ร่มรื่นสงบเงียบ ทำไมไม่เห็นสัตว์เล็กๆ น้อยๆ เลย พวกมันไปไหนกันหมด นางได้แค่จิ้งจอกตัวเดียวเอง ไม่ได้การละปีนี้นางจะแพ้ไม่ได้
“ท่านหญิง” ชายหนุ่มเรียกนาง หญิงสาวหันไปมององครักษ์คู่ใจที่ควบม้ามาข้างๆ แล้วหยุด
“มีอะไรหรือองครักษ์จาง” หญิงสาวถามเขาใคร่อยากรู้ว่าเขามีเรื่องอะไรจะคุยกับนาง
“ท่านไม่กลัวบุรุษผู้นั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ” จางอวี้หวายเอ่ยถามหญิงสาว
นางแค่ไม่อยากเสวนากับคนนอกคอกพวกนั้น
“ข้า...ท่านหญิงโอวหยางเป่ยเป่ยจะกลัวคนพวกนั้นทำไม ในเมื่อข้ามีองครักษ์คอยปกป้องอยู่ทั้งคน”
สายตานางมองไปที่แววตาระยิบระยับของเขา ทำให้หัวใจของชายหนุ่มรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ไม่ได้ เขาจะคิดแบบนั้นกับนางไม่ได้
เขาเป็นได้แค่องครักษ์ของนางเท่านั้นไม่มีวันเป็นอย่างอื่นได้
“ถ้าคนพวกนั้นกล้าทำร้ายท่านหญิง มันก็ต้องเป็นหน้าที่ข้าอยู่แล้วที่จะต้องปกป้องท่านหญิง” เขารีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นปกติทันที
อะไรกัน คนผู้นี้ตะกี้ยังทำทีเขินอายอยู่เลย ตอนนี้กลับทำใบหน้านิ่งขรึม ทำให้ท่านหญิงโอวหยางเป่ยเป่ยไม่สบอารมณ์ยิ่งนัก นางจึงสะบัดหน้าใส่เขา
“ข้านึกว่าใคร ที่แท้เป่ยเป่ยกับองครักษ์จางนั่นเอง” รัชทายาทพร้อมทหารสองนายควบม้ามาทางพวกนาง
“ข้าก็นึกว่าใคร เป็นรัชทายาทนั่นเอง” เป่ยเป่ยมองรัชทายาทไม่สบอารมณ์
“น้องสาวเจ้าเป็นอะไรไป ล่าสัตว์ไม่ได้ถึงกับอารมณ์เสียเชียวหรือ” รัชทายาทมองใบหน้าง้ำของญาติผู้น้องแล้วอดขำไม่ได้ ริมฝีปากบางเบ้ออกมานิดหน่อยยิ่งดูตลก
ทันทีที่ได้ยินเสียงหัวเราะของรัชทายาท หญิงสาวถลึงตาใส่ญาติผู้พี่ทันที
“ข้าไม่หัวเราะเจ้าก็ได้ ว่าแต่เจ้าล่าได้กี่ตัวแล้ว” สายตาเขามองไปที่กระสอบเบาหวิวบนหลังขององครักษ์จางก็รู้ว่าไม่ถึงสองตัวด้วยซ้ำ
“ข้าได้แค่ตัวเดียว” นางบอกรัชทายาทแล้วมองกระสอบที่นายทหารถือบนหลังม้าคนละกระสอบ มิน่าล่ะ สัตว์หายไปไหนหมด ที่แท้...รัชทายาทล่าหมดไปแล้วนั่นเอง
“เจ้าไม่ต้องมองหรอก ข้าได้เยอะกว่าเจ้า” รัชทายาทเห็นญาติผู้น้องมองไปที่กระสอบล่าสัตว์ของตัวเอง
ฟิ้ว! ลูกธนูมาจากไหนไม่รู้เฉียดใบหน้ารัชทายาทไป
“คุ้มครองรัชทายาทเร็ว” โอวหยางเป่ยเป่ยบอกทหารสองนาย
พวกเขามองไม่เห็นเหล่าศัตรู พวกมันซุ่มอยู่ในป่าซึ่งได้เปรียบมาก
ในใจโอวหยางเป่ยเป่ยรู้สึกไม่ดี แล้วลูกธนูนับสิบดอกก็พุ่งมาที่นางและรัชทายาท องครักษ์จางเห็นดังนั้นจึงกระโดดไปแล้วใช้ดาบปัดลูกธนูร่วงลงไปกับพื้น
ทหารสองนายโดนธนูปักเข้ากลางหน้าผากล้มลงทันที
“พวกเรารีบหนีเร็ว” องครักษ์จางขึ้นไปนั่งหลังม้ากับโอวหยางเป่ยเป่ย องค์รัชทายาทควบม้าหนีไปทางข้างหน้า พวกเขาจึงตามรัชทายาทไป
หญิงสาวนั่งตัวเกร็งบนหลังม้า เหตุการณ์ผ่านไปเร็วเหลือเกิน
พวกโจรที่ซุ่มอยู่บนต้นไม้ก็ยกยิ้มที่มุมปากขึ้นมาทันที
“พวกมันติดกับดักเราแล้ว” หนึ่งในนั้นพูดขึ้น
“พวกมันไม่รอดแน่ ป่าด้านนั้นข้าเตรียมเสือไว้สังหารพวกมัน” พวกมันถูกจ้างวานมาให้สังหารรัชทายาทแคว้นต้าฉินค่าหัวพันตำลึง…
องค์รัชทายาทพาพวกโอวหยางเป่ยเป่ยเข้าป่ามาลึกมาก พวกเขาหนีเข้าป่าลึกมานอกเขตล่าสัตว์
“พวกมันคงไม่ตามพวกเรามาแล้ว” ท่านหญิงโอวหยางเป่ยเป่ยเอ่ยขึ้นด้วยความหวาดกลัว นางแทบจะเป็นลมก็ว่าได้
ปีนี้ทำไมถึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้นะ หญิงสาวขมวดคิ้วอย่างสงสัยหรือจะมีคนลอบปลงพระชนม์รัชทายาท
“ใช่” รัชทายาทรีบลงจากหลังม้าแล้วมานั่งพิงที่ต้นไม้ใหญ่ทันที รัชทายาทหายใจอย่างเหนื่อยหอบ
“ท่านหญิง พวกเราหลบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่สักพักเถอะ” องครักษ์จางเอ่ยขึ้น เขาเห็นสีหน้าโอวหยางเป่ยเป่ยหวาดกลัวแล้วอดสงสารไม่ได้
องครักษ์จางรีบอุ้มท่านหญิงโอวหยางเป่ยเป่ยลงจากหลังม้า หญิงสาวรู้สึกอบอุ่นใจที่อยู่ใกล้ๆ กับจางอวี้หวาย เขาวางนางลงข้างๆ องค์รัชทายาท สายตารัชทายาทมององครักษ์จาง ทำให้รัชทายาทรับรู้ได้ถึงความรักที่บุรุษมีให้สตรี หรือว่าองครักษ์จะชอบโอวหยางเป่ยเป่ย
รัชทายาทยิ้มออกมาทันที
“รัชทายาทจะตายอยู่แล้ว ท่านยังยิ้มออกอีกหรือ” ท่านหญิงเป่ยเป่ยเห็นจังหวะที่ญาติผู้พี่ยิ้มนางจึงต่อว่า ทำให้รัชทายาทหุบยิ้มแทบไม่ทัน
“เป่ยเป่ยเจ้านี่ปากเสียจริงๆ ข้ายิ้มเพราะข้ารู้ว่ามีคนแอบชอบเจ้า” รัชทายาทบอกญาติผู้น้อง
ทำให้องครักษ์จางรีบหันหน้าหนีทันที หรือว่าเขาแสดงออกจนคนอื่นจับได้ว่าชอบท่านหญิงเป่ยเป่ย
โอวหยางเป่ยเป่ยรู้ทันทีเพราะเมื่อกี้จางอวี้หวายแสดงความรู้สึกต่อนางชัดเจนจนรัชทายาทจับได้ รัชทายาทจะพูดขึ้นมาทำไมนะ
“ยามนี้เรามาคิดหาทางออกจากป่าดีกว่าท่านพี่” นางรีบปัดเรื่องไม่เป็นเรื่องออกไป หากรัชทายาทนำความไปบอกบิดานางมีหวังองครักษ์ได้ถูกไล่ออกแน่
“น้องสาวพูดถูก” รัชทายาทเอ่ยขึ้น
“ตอนนี้พวกเราออกนอกเขตพื้นที่หลงเข้ามาในป่าลึก ขอให้องค์รัชทายาทและท่านระวังตัวด้วยพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์จางได้ยินเสียงเหมือนสัตว์กำลังย่ำเท้าเดินเข้ามาทางพวกเขา
“พวกท่านอย่าเพิ่งพูดคุยกัน” องครักษ์จางยกมือขึ้นให้พวกเขาทั้งสองหยุดพูด มันใกล้เข้ามาแล้ว จางอวี้หวายฝึกเป็นองครักษ์เข้าหน่วยทหารเดนตายของชินอ๋องตั้งแต่เจ็ดขวบ จึงทำให้เขามีประสาทสัมผัสที่ไวกว่าคนอื่น
มันใกล้เข้ามาแล้ว แม้แต่รัชทายาทยังอดกลัวไม่ได้
โอวหยางเป่ยเป่ยรู้ว่าองครักษ์จางคงต้องรู้อะไรเข้าแล้วถึงสั่งให้นางและรัชทายาทเงียบนิ่งราวกับรูปปั้นประติมากรรม
สายตาของจางอวี้หวายเบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นเจ้าขนสีเหลืองเป็นลายตัวใหญ่ มันกำลังมาทางพวกเขา รัชทายาทดวงตาเบิกกว้างแทบจะหยุดหายใจ
ทันใดนั้นรัชทายาทใช้วิชาตัวเบาเหาะขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ทันที โอวหยางเป่ยเป่ยกลัวจนฉี่แทบราด นางรู้สึกว่าตัวเองลอยได้ ใช่แล้วองครักษ์จางอุ้มนางแล้วกระโดดขึ้นต้นไม้ใหญ่
หญิงสาวหายใจโล่งอก
“ข้ากลัวแทบแย่” นางกอดจางอวี้หวายไม่ปล่อย ยิ่งเสือตัวนั้นมันยืนใต้ต้นไม้มองมาทางพวกนางยิ่งทำให้หัวใจของเป่ยเป่ยดังรัวๆ ราวกับเสียงกลองก็ว่าได้
นางนึกถึงรัชทายาท ตะกี้นี้กระโดดขึ้นต้นไม้อย่างไม่สนใจนางเลยด้วยซ้ำ
มารดามันเถอะ! หญิงสาวด่ารัชทายาทในใจแล้วมองค้อนใส่
“กระหม่อมจะไม่ให้สัตว์มาทำอันตรายแก่ท่านหญิง กระหม่อมจะถวายอารักขาท่านหญิงด้วยชีวิตจะหาไม่พ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงที่หนักแน่น แววตาที่แปล่งประกายระยิบระยับหญิงสาวรับรู้ได้ แค่นี้นางก็อบอุ่นหัวใจแล้ว และอ้อมกอดที่แข็งแกร่งแม้ตายนางก็ยอมที่จะตายกับคนที่นางรัก
“พวกเจ้าพูดพร่ำเพรื่ออยู่นั่นละ เห็นไหมพวกเสือมันมาแล้วตั้งสามตัว” รัชทายาทอยู่บนกิ่งไม้อีกด้านหนึ่งเอ่ยขึ้น เขาไม่เข้าใจสองคนนี้จริงๆ ใกล้จะตายอยู่แล้วยังมาทำหวานอยู่ได้
“ม้าข้า มันกินม้าแล้ว” โอวหยางเป่ยเป่ยตกใจกับสิ่งที่ได้เห็น เสือทั้งสามตัวกัดกินม้าอย่างสยดสยอง
“ท่านอย่ามอง” ชายหนุ่มกระซิบบอกหญิงสาว
แม้แต่องค์รัชทายาทเองก็สะอิดสะเอียนกับภาพตรงหน้า กองเลือดแดงฉาน
“พวกเราไม่ใช้วิชาตัวเบาเหาะไปที่ต้นไม้อื่นเล่า” รัชทายาทเพิ่งนึกได้ว่าตนนั้นก็มีวิชาตัวเบาเหาะได้
“ถ้าเช่นนั้นท่านก็เหาะไปก่อน” องครักษ์จางเอ่ยกับรัชทายาท รัชทายาทไม่รอช้าใช้วิชาตัวเบาเหาะไปเกาะต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งห่างไกลจากต้นแรกพอสมควร