บทที่ 7 สารเลวทั้งคู่
“ท่านแม่...ท่านแม่ ข้าคิดถึงท่าน”
“พิษไข้รุนแรงนักท่านพี่ช่วยเก็บสมุนไพรลดไข้ที่หลังเรือนให้ข้าที ยังดีที่นางมียาสมานแผลติดตัวมา ตากฝนจนแผลอักเสบหมดแล้ว”
“นางเป็นผู้ใดก็ไม่รู้จะช่วยนางรึ”
“เห็นนางแล้วข้าคิดถึงฮวาเอ๋อร์ หากลูกของเรายังมีชีวิตอยู่คงจะอายุเท่ากับเด็กคนนี้”
“เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า”
เสียงอวิ๋นเปิดเปลือกตาอย่างสะลึมสะลือ เห็นหลังคาเรือนมุงใบจากที่ดูแข็งแรงกว่ากระท่อมร้างหลังนั้น ไม่ใช่แผ่นฟ้ากว้างเหมือนตอนที่หมดสติไป มีคนช่วยชีวิตนาง เหลือบมองด้านข้างเห็นหญิงวัยกลางคนเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้นางอยู่ น้ำร้อนทำให้แขนขาที่หนาวชามานานอบอุ่นขึ้น “ท่านน้าท่านช่วยชีวิตข้าไว้” เสียงอวิ๋นเอ่ยอย่างไร้เรี่ยวแรง
“แม่นางตื่นแล้ว ข้ากับสามีออกไปล่าสัตว์เห็นเจ้านอนไร้สติอยู่ ไฉนเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้ไม่มีผู้ติดตามมาเลยรึ ดื่มน้ำขิงขับไล่ไอเย็นเสียหน่อย”
“ขอบคุณท่านน้ามาก” น้ำตาเสียงอวิ๋นไหลออกมา ในช่วงเวลาลำบากของชีวิต ควรจะมีคนในครอบครัวอย่างสามีเคียงข้างที่สุด แต่กลับไม่มี เจ็บป่วยเจียนตายได้รับการดูแลจากคนแปลกหน้า มองย้อนไปที่สามีชั่วช้านางรักเขายิ่งกว่าชีวิตของนาง แล้วได้อะไรคืนมาบ้าง เอียงคอมองบาดแผลที่แขนมันเกิดขึ้นจากความเป็นห่วงเขา
ทว่าความห่วงใยเพียงน้อยนิดเขาก็ยังไม่มีให้ เขาตอบแทนความรักของนางด้วยการทอดทิ้งอย่างไม่ไยดี ไตร่ตรองอย่างเยือกเย็น น้ำตาค่อย ๆ หยุดไหล นางก็คนมีหัวใจมีความรู้สึก ถูกกระทำถึงขั้นนี้ ไม่หันมารักตนเองคงโง่เขลาสิ้นดี ควรทวงทุกอย่างที่เป็นของตระกูลจูคืนมาได้แล้ว
ยื่นมือไปรับน้ำขิงกรอกปากรวดเดียวหมด ความอุ่นแผ่ซ่านไหลผ่านลำคอลงไปถึงท้อง ไอเย็นในร่างกายถูกแทนที่ด้วยไออุ่นของน้ำขิง ทำให้รู้สึกดีขึ้นไม่น้อย
“เจ้ามีไข้สูง ยังดีที่ข้าพอรู้วิชาแพทย์อยู่บ้างและเจ้ามียาสมานแผลติดตัวมา พักรักษาตัวให้สบายใจเถิด ว่าแต่เจ้าเป็นคนหมู่บ้านใดให้ข้าไปตามครอบครัวเจ้ามารับรึไม่”
“ไม่ต้องเจ้าค่ะ ข้าไม่มีครอบครัว”
“เจ็บแผลรึน้ำตาไหลเชียว ไม่มีครอบครัวก็อยู่ที่นี่กับน้าได้นะน้าเต็มใจให้เจ้าอยู่ เสื้อผ้าเจ้าเปื้อนดินโคลนน้าเลยเอาเสื้อผ้าน้าเปลี่ยนให้เจ้า”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” เสียงอวิ๋นยิ้มเล็กน้อย คุณหนูสูงศักดิ์เช่นนางเสื้อผ้าที่สวมใส่ล้วนเป็นผ้าไหมเนื้อดี ได้พระราชทานมาจากในวัง ไม่เคยใส่เสื้อผ้าเก่าซอมซ่อที่มีแต่รอยปะชุนแบบนี้มาก่อน แต่นางมีสิทธิ์อะไรไปรังเกียจสิ่งของที่ผู้มีพระคุณหยิบยื่นให้ เสื้อผ้าเก่าที่สวมอยู่บนกายก็ให้ความอบอุ่นได้เช่นกัน กวาดสายตามองกระท่อมหลังเล็กของผู้มีพระคุณ หากนางทวงคืนกิจการทุกอย่างของตระกูลจูกลับมาได้ นางจะสร้างเรือนให้ผู้มีพระคุณทั้งสอง มอบเงินทองให้ใช้ไม่ขาดมือ จะให้พวกเขาสุขสบายไปทั้งชีวิต “ท่านน้าที่นี่อยู่ไกลจากเมืองหลวงรึไม่ ข้าต้องการรถม้าพาเข้าเมืองหลวงมีรึไม่เจ้าคะ”
“ที่นี่อยู่ห่างประตูเมืองไม่ไกลมาก หากไปทางเหนือห้าร้อยลี้จะเป็นเขตแดนแคว้นฉิน หากไปทางตะวันออกก็เดินทางเข้าประตูเมืองแคว้นต้าเยี่ย เดินทางประมาณชั่วยามก็เข้าประตูเมืองแล้ว ส่วนรถม้าไม่มีหรอก เอ๊ะ...น้าลืมไปมีท่านตาที่อยู่ท้ายหมู่บ้าน หนึ่งเดือนจะเดินทางเข้าเมืองไปขายหญ้าให้โรงเลี้ยงม้า แต่ไม่รู้ว่าเดือนนี้เขาไปมาแล้วหรือยัง”
“ข้าจะไปพบเขาเจ้าค่ะ”
“เจ้ายังป่วยอยู่ น้าจะไปถามท่านตาให้”
“ขอบคุณท่านน้ามากเจ้าค่ะ”
สามวันต่อมา เสียงอวิ๋นกลับเข้าเมืองหลวงด้วยการนั่งเกวียนที่เต็มไปด้วยหญ้าสด ร่างเล็กนอนบนกองหญ้า ใบของมันกรีดผิวกายขาวเนียนเป็นรอยแดงและแสบร้อน แสงแดดเจิดจ้าแผดเผาผิวละเอียดนุ่มจนแดงระเรื่อ เหงื่อเม็ดเล็กไหลย้อยใส่รอยที่หญ้าบาดแสบจี๊ดจ๊าด
ตลอดสี่วันมานี้เขาไม่ส่งใครมาช่วย ไม่ห่วงใย ไม่สนใจว่านางจะเป็นหรือตาย คงจะดีใจด้วยซ้ำที่ไม่มีนางอยู่ในชีวิต
ผมเผ้ารุ่ยร่ายไม่เป็นทรง ใบหน้าซีดเซียวมอมแมมไร้เครื่องประทินโฉม เดินเข้าจวนท่ามกลางสายตาประหลาดใจของบ่าว นายหญิงผู้งามสง่ากลับจวนมาด้วยสภาพไม่ต่างจากขอทาน
พวกบ่าวในจวนพากันซุบซิบนินทาสนุกปาก หากเป็นเมื่อก่อนบ่าวปากดีพวกนั้นคงถูกนางจับโบยแล้วขายทิ้ง ทว่าวันนี้นางเหนื่อยเหลือเกิน เหนื่อยจนไม่อยากสนใจสิ่งใด ตอนนี้คิดถึงอ่างน้ำอุ่น ที่นอนนุ่ม อาหารเลิศรส ไม่มีกะจิตกะใจคิดเอาเรื่องผู้อื่น
เดินเข้ามาในเรือนที่คุ้นเคย ได้ยินเสียงประหลาดที่ไม่เคยเกิดขึ้นในจวนมาก่อน เป็นเสียงกู่ฉินสอดประสานไปกับเสียงขรุ่ย ท่วงทำนองเปลี่ยวเหงาเศร้าใจสอดแทรกความคิดถึงจนพูดไม่ออก เสียงอวิ๋นหยุดเดินมองไปยังต้นเสียง สามีที่รักยืนเป่าขลุ่ยอยู่ข้างกายสตรีที่เขาปกป้องอย่างม่านถิง สติขาดสะบั้นช่วงเวลาที่นางเกือบเอาชีวิตไม่รอด เขากลับมาเป่าขลุ่ยขับขานเพลงสื่อความคิดถึงแทบขาดใจกับสตรีไร้ยางอายคนนั้น
เสียงอวิ๋นกระโจนเข้าไปผลักร่างอรชรที่ดีดกู่ฉินอยู่แล้วทุบกู่ฉินตัวนั้นอย่างเสียสติ “สารเลวทั้งคู่”
