บทที่ 2 จุดสิ้นสุด
“เข้าจวนเถิดขอรับ อย่าไร้สติเช่นนี้อีก” จางหมิงเตือนสตินายหญิงของจวน แล้วก้าวขาตามเสนาบดีหนุ่มผู้เป็นนายออกไป
ส่ายหน้าเล็กน้อยให้กับสตรีที่ร้องไห้ฟูมฟาย สตรีที่งดงามนางนี้เป็นนายหญิงที่โมโหร้ายเอาแต่ใจที่สุด ผู้ใดก็ตามที่ทำให้ไม่พอใจต้องได้สัมผัสด้านร้ายของฮูหยิน มีเพียงนายท่านที่ฮูหยินไม่เคยตบตีด่าทอ แม้จะถูกพ่นคำขอหย่าก็ทำแค่กรีดร้องแล้ววิ่งหนี ทว่าวันนี้นายหญิงเกือบแทงหัวใจนายท่านไปแล้ว คงจะเสียใจมากทีเดียว
คุณหนูที่ถูกประคบประหงมอยู่ในฝ่ามือมารดาราวไข่มุกอย่างฮูหยิน ไม่ได้ดั่งใจก็กรีดร้อง เรียกร้องความสนใจด้วยวิธีเดิม ๆ ไม่เว้นแต่ละวัน นายท่านเอือมระอาต้องการหย่าเต็มทน ทว่าฮูหยินไม่ยอมไม่รู้จะยื้อไปเพื่ออะไร นายท่านพูดชัดเจนว่าไม่รักนั่นก็หมายถึงไม่รักไม่ใช่รึไง คนไม่รักกันอยู่ด้วยกันจะมีความสุขได้อย่างไร เหตุใดนายหญิงคิดไม่ได้นะ
ไม่พอแค่นั้นฮูหยินช่างร้ายกาจ สตรีใดเข้าใกล้นายท่านเป็นต้องเจ็บตัว คนอย่างฮูหยินไม่วางแผนลอบกัด นางจัดการซึ่ง ๆ หน้า รัก เกลียด ดีใจ เสียใจ หรือแม้แต่ไม่ชอบหน้าก็แสดงออกชัดเจน นางก็คืองูพิษที่หวงไข่ซึ่งไข่ใบนั้นก็คือนายท่าน ห้ามผู้ใดเข้าใกล้ไม่เช่นนั้นจะถูกงูพ่นพิษใส่
สิ่งหนึ่งที่จางหมิงนับถือฮูหยินคือใจรักที่มั่นคง หนึ่งปีมานี้นายท่านหมางเมินนายหญิงยังอดทนผ่านมาได้ ทั้งยังทำหน้าที่ฮูหยินของจวนได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ความอดทนสูงมากแต่มันจะมีประโยชน์อันใด ในเมื่อเจ้าของเรือนเขาไม่รัก
เสียงอวิ๋นร่ำไห้ปานจะขาดใจเขาไม่ลังเลสักนิดที่จะทิ้งนางไว้ลำพัง ความรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็นไร้เรี่ยวแรงที่จะลุกยืน เขาไม่รักไม่ถึงกับตายแต่ทรมานที่ใจจนอธิบายไม่ถูก นางไม่ยอม ไม่ยอมเด็ดขาด
ร่างบางยันกายลุกขึ้นปาดน้ำตาทิ้งจะสิ้นหวังแบบนี้ได้อย่างไร ต้องพยายามให้ถึงที่สุด ไขว่คว้าเอาสิ่งที่รักมาให้ได้ ยามที่มารดายังมีชีวิตอยู่อยากได้สิ่งใดมีหรือจะไม่ได้ ครั้งนี้ก็เช่นกันนางจะครอบครองทั้งตัวและหัวใจของเขา
ร่างอรชรลักลอบตามสามีไปอย่างลับ ๆ หนึ่งปีที่เขาเปลี่ยนไปไม่เคยสะกดรอยตามสามีสักหน ทุกครั้งที่มีงานเลี้ยงสามีจะมารับไปด้วยเสมอ ถึงแม้การเป็นอยู่ในจวนจะวางตัวห่างเหินเพียงใด แต่ต่อหน้าผู้คนเขาก็ยังไว้หน้านางอยู่หลายส่วน และนั่นก็ทำให้เสียงอวิ๋นเชื่อเสมอว่าสามีจะไม่ทำอะไรลับหลัง ทว่า..
หนึ่งเดือนมานี้การขอหย่าถี่ขึ้นเรื่อย ๆ กลับจวนมาครั้งใดก็ขอคำตอบเรื่องการหย่า ทำให้เสียงอวิ๋นสงสัยว่าเขาแอบซุกซ่อนสตรีไว้นอกจวน
สตรีคนใดก็ตามกล้าส่งสายตาทอดสะพานมาให้สามีนาง แก้มนวลเนียนของคนเหล่านั้นจะต้องเกิดรอยนิ้วประดับพวงแก้ม นางไม่สนว่าจะสูงศักดิ์ชาติตระกูลดีแค่ไหน แต่บุรุษผู้นี้เป็นของนางและนางไม่แบ่งให้ผู้ใดทั้งสิ้น
บิดาของเสียงอวิ๋นเป็นแม่ทัพรักษาเมืองทิศใต้ ทว่าเขาสละชีพเพื่อบ้านเมืองไปแล้ว อีกทั้งบิดาเป็นสหายสนิทกับไท่ซ่างหวง ทำให้ตระกูลจูมีบารมีของบิดาและไท่ซ่างหวงหนุนหลังอยู่ รวมไปถึงความร่ำรวยมีหน้ามีตาในสังคมชั้นสูง ผู้คนจึงเกรงอกเกรงใจ ไม่มีใครกล้ามีเรื่องกับเสียงอวิ๋นเพราะเบื้องหลังนี้ของตระกลูจู
เสียงอวิ๋นยังเป็นฮูหยินเอกของหลี่เฉียง ที่เป็นเสนาบดีควบคุมหกกรมในราชสำนัก อีกอย่างเขาก็มีฝีมือด้านการต่อสู้ไม่แพ้แม่ทัพใหญ่ ทำให้ผู้ใดที่ถูกนางสั่งสอนได้แต่ก้มหน้ายอมรับโดยไม่ปริปากบ่น รู้ว่าบุรุษมีภรรยาแล้วยังทอดสะพานให้เรียกว่าสตรีแพศยา และทุกคนที่เสียงอวิ๋นจัดการก็เข้าข่ายคำว่าแพศยาเพราะเข้าหาสามีนางอย่างโจ่งแจ้ง ใครจะทนไหวก็ช่างแต่ไม่ใช่เสียงอวิ๋น
มารดาของนางมีกิจการในมือมากมาย ไม่ว่าจะเป็น สำนักคุ้มภัย โรงเตี๊ยม โรงรับจำนำ ร้านขายยา ร้านผ้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง พูดง่าย ๆ ทุกซอกทุกมุมของเมืองหลวงล้วนเป็นกิจการของตระกูลจูแทบทั้งสิ้น
เมื่อสิ้นบิดาไปมารดาก็บริหารดูแลทุกอย่างของตระกูลจู เลี้ยงดูนางมาอย่างทะนุถนอม การเล่าเรียนศาสตร์ทั้งสี่เสียงอวิ๋นไม่ขาดตกบกพร่อง เรื่องเดียวที่นางไม่สนใจคือการดูแลกิจการของตระกูล หากต้องเรียนรู้วันใดพอลับหลังมารดานางก็ชี้นิ้วสั่งผู้ที่มีหน้าที่ในส่วนนั้นมาทำงานต่อ ทำให้ความรู้เรื่องการดูแลกิจการของตระกูลเป็นศูนย์ เพราะไม่ตั้งใจศึกษา รวมไปถึงการทำบัญชีนางไม่เคยตั้งใจเล่าเรียนจึงบอกปัดหลี่เฉียงตั้งแต่แรกว่าเรื่องนี้เข้าจวนมานางจะไม่ทำ เขาเองก็ตามใจทุกอย่าง ยิ่งทำให้เสียงอวิ๋นเชื่อมั่นในความรักของเขามากขึ้น
เขาทั้งรักทั้งดีกับนาง หน้าที่ในจวนแห่งนี้ก็แค่ดูแลกฎเกณฑ์ของบ่าวในจวน เลือกรายการอาหารตั้งโต๊ะ และสิ่งที่ทำเป็นประจำยามสามีอยู่จวนคือเอาอกเอาใจเขานางมีหน้าที่แค่นั้น
เงินทองของที่อยากได้มีไม่ขาดมือเหตุใดต้องทนเหนื่อยเรียนรู้อะไรที่ปวดหัวเพิ่มเล่า มีแค่นี้นางก็สบายไปทั้งชาติแล้ว
สามปีก่อนเสียงอวิ๋นอายุสิบแปดปี หลี่เฉียงอายุสิบเก้าปี เขาได้ขอสมรสพระราชทานจัดงานแต่งใหญ่โต จนสตรีทั้งเมืองหลวงอิจฉาตาร้อน เสียงอวิ๋นภาคภูมิใจอย่างยิ่ง บุรุษที่เพียบพร้อมทุกอย่างต้องตาต้องใจนางในสตรีหมู่มาก รู้สึกชนะสตรีทุกคนในใต้หล้า ได้เคียงคู่กับบุรุษที่มีดีทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาหรือหน้าที่การงาน
บุรุษเรือนกายสูงโปร่งเปล่งรัศมีองอาจน่าเกรงขาม รูปงามราวหยกสลัก ทั้งเมืองหลวงหาผู้ใดเทียบได้ยาก บอกได้เลยยามนั้นเดินไปทางใดก็เชิดหน้าอย่างหยิ่งผยอง
หลังจากแต่งงาน สามีก็ช่วยมารดาดูแลกิจการควบคู่ไปกับงานในราชสำนัก มารดาเอ่ยปากชมหลายครั้งว่าหลี่เฉียงเป็นผู้มีความสามารถ ยิ่งทำให้เสียงอวิ๋นมั่นใจว่าคู่ครองของนางนั้นยอดเยี่ยมหาใครเทียบได้ ช่วงเวลานั้นทุกอย่างล้วนดีงามทั้งสิ้นและนางก็รักเขามากขึ้นเรื่อย ๆ พอสิ้นมารดาไปจึงไว้ใจส่งมอบกิจการทุกอย่างไว้ในมือสามี คิดไม่ถึงสักนิดว่าหลังจากนั้นไม่นานเขาจะเผยธาตุแท้ เปิดเผยความจริงจากปากของเขาเองว่าเรื่องทั้งหมดเป็นแค่ละครฉากหนึ่ง
“นายท่านฮูหยินตามมาขอรับ” จางหมิงกระซิบบอกผู้เป็นนาย
หลี่เฉียงปรายตามองเงาตะคุ่มที่อยู่ไม่ไกลแล้วถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย “ปล่อยให้นางตาม บางทีครั้งนี้อาจเป็นจุดสิ้นสุด”
