2 ผิดแผกไปเล็กน้อย
บรรยากาศในหอชมเมืองยังคงเป็นเหมือนเช่นทุกครั้ง
สตรีตัวเล็กหยุดยืนและมองไปโดยรอบอยู่ครู่ใหญ่ บรรยากาศในร้าน การประดับตกแต่งไม่แตกต่างจากเหตุการณ์เดิมที่ผ่านมา
แต่ก่อนที่นางจะก้าวเดินต่อ กลับมีบุรุษผู้หนึ่งมาขวางทางเอาไว้
“แม่นางระวัง” เขาร้องเรียกให้นางหยุด
“....” เฉินลู่เอ๋อหันไปมองตามเสียงของบุรุษผู้นั้น
“ตรงนี้มีเศษกระเบื้องที่ยังเก็บไม่หมด หากท่านก้าวไม่ระวังจะโดนมันบาดเอาได้” ชายหนุ่มในชุดสีขาวดูสะอาดตากล่าวเตือน
“ขอบคุณคุณชาย” เฉินลู่เอ๋อขอบคุณชายหนุ่มด้วยท่าทางชดช้อยตามมารยาท
คนผู้นี้เหมือนนางจะเคยเห็นทีไหนมาก่อน
“ไม่ทราบว่าแม่นางคือ...”
“ข้าน้อยมีนามว่า.....”
ยังไม่ทันที่เฉินลู่เอ๋อจะกล่าวสิ่งใดกับบุรุษแปลกหน้า ก็ถูกมือของใครบางคนฉุดรั้งให้เดินต่อ
“ลู่เอ๋อรอข้าอยู่งั้นหรือ”
เป็นเฟิ่งหยางชิงที่เข้ามาฉุดแขนนางให้เดินต่อ คนผู้นี้เป็นอะไรกัน เขาเคยเรียกนางว่าลู่เอ๋อตั้งแต่เมื่อไหร่
นางปรายตามองเขาด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะหันไปหาคุณชายแปลกหน้า
“ข้าน้อยมีนามว่าเฉินลู่เอ๋อ หากมีโอกาสคงได้พบกันอีกครั้ง”
ไม่รอให้บุรุษแปลกหน้ากล่าวสิ่งใดต่อเฟิ่งหยางชิงก็พาตัวนางไปแล้ว
“แน่นอนลู่เอ๋อ เราจะได้พบกันอีกอย่างแน่นอน...”
นางเดินเข้ามาในโรงเตี๊ยมโดยไม่รอเขา เป็นครั้งแรกที่เฟิ่งหยางชิงรู้สึกว่าเป็นผู้ตาม ตอนนางเดินลิ่วเข้าไปด้านใน โดยที่เขายังจัดการธุระไม่เสร็จเห็นแล้วมันน่าหงุดหงิด
ด้านในผู้คนพลุกพล่านหากมีผู้ไม่หวังดีเล่า และถ้าเกิดอะไรขึ้นมาจักรพรรดินั่นคงได้สั่งตัดหัวเขาเป็นแน่
ห้องที่เฟิ่งหยางชิงเลือกนับเป็นห้องที่สามารถชื่นชมเมืองทั้งเมืองในยามกลางคืนได้งดงามที่สุด แต่มันเป็นทัศนียภาพที่ลู่เอ๋อเห็นมาแล้วสามครั้ง นางคร้านจะชื่นชมมันแล้ว
นางนั่งลงที่เก้าอี้ข้างระเบียงเหม่อมองออกไปด้านนอกโดยไม่พูดอะไรกับบุรุษที่มาด้วยกันเลยสักประโยค
แม้เขาจะถอนหายใจดัง ๆ อยู่หลายครั้งแต่นางก็ไม่สนใจ ครั้งนี้ดูผิดแผกไปจากเดิมเหลือเกิน นางกลายเป็นสตรีพูดน้อยและไม่วิ่งตามเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
คิดว่านี่คงจะเป็นหนึ่งในแผนการเรียกร้องความสนใจจากเขากระมัง เมื่อคิดได้เช่นนั้นเฟิ่งหยางชิงก็ไม่ได้สนใจจะเอ่ยสิ่งใดกับนาง
และเป็นเขาเองที่ทนไม่ไหวเฟิ่งหยางชิงกระซิบกระซาบกับองครักษ์ ไม่นานขนมหยวนเซียวสีสันสดใสก็ถูกนำเข้ามาด้านใน
เสี่ยวเอ้อเดินและนำมาวางไว้ที่โต๊ะกลางสำหรับทานอาหาร กลิ่นหอมของมันอบอวลไปทั่วทั้งห้อง เฉินลู่เอ๋อที่ยังไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่บ่ายเริ่มรู้สึกหิว
เสียงท้องร้องโครกครากดังกลบความเงียบ
“นี่ของเจ้า” เขานำมันไปวางไว้ที่โต๊ะที่ใกล้กับบริเวณที่นางนั่ง
“หืม” หญิงสาวเอียงหัวเล็กน้อย และมองตามขึ้นไปดูหน้าคนที่นำมาส่ง
ช่วงเวลาอื่น ๆ มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือลู่เอ๋อไม่เข้าใจ ที่จำได้ทุกครั้งเหมือนจะเป็นการทะเลาะกันเสียมากกว่า ไม่เขาก็นางที่เป็นฝ่ายเริ่มก่อน
ในครั้งเขากลับเป็นฝ่ายยื่นขนมหยวนเซียวมาให้ ไม่ใช่คำพูดประชดประชันแดกดัน
“กินสิ นี่ของเจ้า”
คนตัวเล็กมองขนมในถ้วย กลิ่นของมันหอมน่าทาน ควันจากความร้อนยังคงลอยขึ้น แป้งสีชมพูอ่อน ๆ ถูกปั้นอย่างประณีตดูแล้วคล้ายกับผลท้อไม่มีผิด
“น่ารักจัง” ลู่เอ๋อ คนขนมก้อนกลม ๆ ในถ้วยไปมาเพื่อไล่ความร้อน ขืนทานเข้าไปตอนนี้มีหวังลวกปากแน่ ๆ
“ข้าสั่งให้เขาทำขึ้นเป็นพิเศษ”
เฉินลู่เอ๋อได้ยิน แต่ไม่ได้ใส่ใจในสิ่งที่เขาพูด จะทำพิเศษเพื่ออะไรกัน อย่างไรในอนาคตเขาก็ฆ่านางอยู่ดี
ขนมหยวนเซียวขนาดชิ้นเล็กพอดีคำ เมื่อได้กัดเข้าไปคำแรกความเผ็ดซ่าของน้ำขิงและความหอมของดอกกุ้ยถูกทอเป็นระลอกคลื่นวนเวียนอยู่ในปาก ไส้งาดำผสมกับมันม่วงรสสัมผัสหวานหอม คนตัวเล็กทำตาโตเคี้ยวตุ้ย ๆ อย่างลืมมารยาท เมื่อได้กินชิ้นแรกก็อยากลองลิ้มกินอีกชิ้น หยวนเซียวห้าก้อนที่อยู่ในถ้วยของนางถูกคนตัวเล็กกำจัดลงท้องจนหมด
นานแล้วที่เขาไม่ได้เห็นท่าทางเช่นเด็กเล็ก ๆ ของนาง จำได้ว่าเขาเคยเอ็นดูท่าทางการกินขนมของนางเป็นที่สุด และจำได้ว่านางชอบกินขนมหยวนเซียว แต่เพราะอะไรที่ทำให้เขาและนางห่างเหินกันเช่นนี้
“เอาอีกไหม” เฟิ่งหยางชิงถามสตรีตัวเล็กที่พึ่งกัดหยวนเซียวก้อนสุดท้าย
เสียงของเฟิ่งหยางชิงทำให้นางได้สติ เฉินลู่เอ๋อกัดคำสุดท้ายและวางช้อน น้ำชาร้อน ๆ ถูกรินให้นาง ทุกอย่างดูเรียบง่ายและเป็นไปอย่างธรรมชาติ
นางนิ่วหน้า เขาเคยอ่อนโยนเช่นนี้กับนางด้วยหรือภายในใจรู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าที่อ่อนโยนเพราะจะใช้กระบี่บั่นคอนางในยามที่นางเผลอหรอกนะ
“ท่านอ๋อง” นางรับน้ำชาจอกนั้นในใจก็วิตกว่าจะมียาพิษหรือไม่ แต่เมื่อคิดว่าอย่างไรก็ต้องตาย จึงรับมาดื่มจนหมด
“ดูเหมือนเจ้ามีเรื่องอยากจะพูดกับข้า” เขาตั้งใจรอฟังในสิ่งที่นางกำลังจะพูด
ขนมและน้ำชาถูกกลืนลงท้องนางเม้มปากเป็นเส้นตรงก่อนจะเริ่มพูด
“เราถอนหมั้นกันเถอะ” นางพูดด้วยแววตาและน้ำเสียงที่หนักแน่นจริงจังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
สิ่งที่นางกล่าวเป็นสิ่งที่เขาต้องการมาโดยตลอด แต่เหตุใดเวลานี้กลับรู้สึกไม่ดีใจในสิ่งที่นางเสนอ
“ท่านหญิงเฉิน ครั้งนี้ท่านจะมาไม้ไหน” ใบหน้าหล่อเหลามองอย่างไม่เชื่อใจ
“ข้ามีสองทางให้ท่านเลือก” นางชูนิ้วขึ้นมา “ถ้าท่านเป็นคนประกาศถอนหมั้น ข้าจะเป็นฝ่ายเสียหาย ชื่อเสียงของข้าจะฉาวโฉ่ไปทั่วทั้งแคว้นและได้ชื่อว่าเป็นสตรีที่ไม่มีใครเอา แต่ถ้าข้าประกาศถอนหมั้นท่าน ท่านก็จะกลายเป็นบุรุษที่ถูกสตรีร้ายกาจเช่นข้าเฉดหัวทิ้ง” ใบหน้างดงามยิ้มพรายอย่างเจ้าเล่ห์ นางเชื่อว่าบุรุษที่รักหน้าตาชื่อเสียงเสียยิ่งกว่าสิ่งใดต้องเลือกทางแรกที่นางเสนอ
เหตุผลที่นางกล่าวมาเชื่อได้ที่ไหนกันสุดท้ายนางก็จะปลิ้นปล้อนไปกราบทูลองค์จักรพรรดิอ้างว่าเขาเป็นคนรังแกนางอยู่ดี เขาไม่หลงเชื่อท่าทีแนวแน่เด็ดเดี่ยวของนางหรอก
นางปีศาจจิ้งจอกเช่นนาง เชื่อคำพูดได้ที่ไหนกัน
“แล้วถ้าข้าไม่ตกลงทั้งสองทางล่ะ.....”