บท
ตั้งค่า

6 เอาเปรียบ

ตอนที่ 6 เอาเปรียบ

“บ้านข้าไม่ได้ร่ำรวยจึงต้องทำงานให้หนักขึ้น อีกอย่าง… เจ้าก็น่าจะรู้ดีว่าช่วงนี้การค้าของบ้านข้าซบเซาลงมามาก ดังนั้นข้าจึงต้องออกมาช่วยงานท่านพ่อของข้าบ้าง เพื่อที่จะได้แบ่งเบาภาระของท่าน” เหวินรุ่ยพูด และ ตั้งใจทำงานโดยไม่คิดที่จะเงยหน้ามองเหมยหลิวเลยแม้แต่นิด

“ว้าว!! ผ้าไหมอันนี้เหมาะที่จะตัดชุดใหม่ของข้าพอดีเลย แต่เสียดายที่ราคามันแพงไปหน่อย” หงเหมยหลิวที่เคยได้ของฟรีจากร้านขายผ้าแห่งนี้บ่อยครั้ง รีบเลือกผ้าที่ตนชอบมาวางต่อหน้าจิ่งเหวินรุ่ย แล้วบอกว่าตนอยากได้มันมากแค่ไหน

“ผ้าผืนนี้ไม่เหมาะกับเจ้าหรอกนะ แถมราคาของมันยังแพงมากอีกด้วย” จิ่งเหวินรุ่ยเหลือบมองผ้าในมือของเหมยหลิวเพียงเสี้ยวลมหายใจ และบอกเหมยหลิวไปว่านางไม่เหมาะสมกับผ้าไหมเช่นนี้ คนอย่างนางไม่ควรได้รับผ้าไหมที่ดีแบบนี้ไปฟรีๆ เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว

“เหวินรุ่ยแต่ข้าชอบมันมากเลยนะ เจ้าช่วยยกมันให้ข้าได้หรือไม่” หงเหมยหลิวใช้น้ำเสียงนางเอกพูดให้คนอื่นสงสารเห็นใจ

“ก็ข้าพึ่งบอกเจ้าไปไม่ใช่หรือ ว่าร้านผ้าไหมของข้ากำลังแย่ เจ้าคงไม่ได้คิดจะมาฉาบฉวยโอกาสตอนที่พวกเรากำลังตกต่ำหรอกใช่ไหม” จิ่งเหวินรุ่ยเงยหน้าขึ้นจากเครื่องประดับ แล้วมองไปที่ผ้าผืนนั้นที่นางจับอย่างไม่ลดละสายตา ก่อนจะเสร้งทำเป็นยิ้มอ่อนโยนน่าเห็นใจเหมือนกับที่หงเหมยหลิวเคยทำเป็นประจำ

“จะเป็นไปได้อย่างไร ข้าเป็นเพื่อนที่ดีกับเจ้ามาตลอดไม่ใช่หรือ” หงเหมยหลิววางผ้าไหมสีชมพูอ่อนลง และเอื้อมมือไปทางเหวินรุ่ย ทว่าเหวินรุ่ยนางก็ก้มตัวเอียงหลบไปอีกทางเสียก่อน

(ชิ! นางทำอย่างกับว่าข้าอยากจะจับตัวนางอย่างนั้นแหละ) เหมยหลิวมองดูเหวินรุ่ยที่หันซ้ายทีขวาทีจัดวางเครื่องประดับ จึงเดินเข้าไปดูที่ตู้กระจกที่มีเครื่องประดับพวกสร้อย กำไร และปิ่นปักผมบ้าง

“อันนี้สวยจัง”

เหมยหลิวชี้ไปที่ตู้กระจกแล้วมองปิ่นปักผมจนดวงตาเป็นประกายด้วยความอยากได้

หากเป็นเมื่อก่อน จิ่งเหวินรุ่ยคงจะมอบเครื่องประดับ หรือผ้าไหมให้นางสักผืนไปแล้ว แต่เมื่อนางได้ข้ามเวลากลับมา แถมได้รู้จักธาตุแท้ของหงเหมยหลิวแล้ว อย่าว่าแต่ผ้าไหมสักผืน แม้แต่น้ำสักจอกนางก็ไม่อยากรินให้อีกต่อไป

“ว่าแต่เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอันใดหรือไม่” จิ่งเหวินรุ่ยรีบถามคำถามและเอาผ้าคลุมตู้กระจกไว้อย่างดี อย่างกับว่าไม่อยากให้สายตาของหงเหมยหลิวมาโลมเลียสิ่งของของนาง

“อ่อ ใช่แล้ว ข้าได้ยินมาว่าเจ้าจะแต่งงานงั้นหรือ” หงเหมยหลิวมองไปที่ตู้กระจกที่ถูกผ้าปิดเอาไว้มิดชิดอย่างน่าเสียดาย แต่พอเหวินรุ่ยถามออกมานางจึงรีบถามไถ่ความเป็นมาทันที

“ใครมันกล้าพูดเช่นนั้นหรือเจ้าคะ คุณหนูของเรายังไม่ได้คิดจะออกเรือน จะมาแต่งานได้เช่นไร” ฮุยหลานรีบพูดขึ้นดักทางอย่างรู้ใจคุณหนูจิ่ง

วันนี้คุณหนูดูผิดแปลกจากปกติ หากเป็นเมื่อก่อนคงจะให้ข้าวิ่งไปเอาน้ำหรือเก้าอี้มาต้อนรับแม่นางหงไปแล้ว หรือว่าคุณหนูกับแม่นางหงจะมีเรื่องผิดใจกันหรือเปล่านะ ฮุยหลานได้แต่นึกคิดในใจแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

“เจ้าเป็นแค่บ่าว เวลาเจ้านายเขาคุยกันเจ้าไม่ควรพูดแทรกไม่รู้หรือ” หงเหมยหลิวขึงตาใส่ฮุยหลาน จนฮุยหลานก้มหัวลงอย่างสำนึกผิด

“พี่ฮุยหลานหาใช่บ่าวไม่ แต่นางเปรียบเสมอพี่สาวของข้า ถึงนางจะพูดแทรกข้าก็ไม่ว่าอันใด แต่เรื่องที่เจ้าว่ามานั้นมันไม่เป็นเรื่องจริง และข้าก็ยังไม่คิดจะตบแต่งกับใครในสถานการณ์ที่ครอบครัวของข้าย่ำแย่เช่นนี้” จิ่งเหวินรุ่ยดึงพี่ฮุยหลานที่ก้มตัวลงให้เท่าเทียมตน

“นี่เจ้าถึงกับลดตัวลงไปเกลือกกลั้วกับคนรับใช้แล้วหรือ” เหมยหลิวแอบขำในใจ แต่ก็ได้แต่เก็บเสียงหัวเราะเอาไว้จนตัวสั่น

“เจ้าจะว่าอย่างนั้นก็ได้นะ ว่าแต่เจ้าเถอะ ไปไหนมาไหนโดยไร้สาวใช้คงจะลำบากมากเลยสินะ” ฮุยหลานที่ได้ยินคำพูดเช่นนั้นของคุณหนูก็ถึงกับยิ้มเยาะแม่นางหงเหมยหลิวในใจ ถึงข้าจะเป็นแค่สาวใช้ของคุณหนูแต่นางก็มองว่าข้าเป็นดั่งพี่สาว นั่นยิ่งทำให้ฮุยหลานแอบยิ้มอย่างดีใจที่ได้รับการยอมรับ

“วันนี้ข้าออกมาทำธุระหน่ะ ข้าเลยไม่ให้สาวใช้ตามมาด้วย”

“ธุระอะไรหรือ ที่เจ้าไม่อยากให้สาวใช้รับรู้ เจ้าคงไม่ได้แอบไปทำเรื่องไม่ดีไม่งามมาหรอกใช่หรือไม่” จิ่งเหวินรุ่ยที่รู้แล้วว่าคนทรยศทั้งสองแอบกินกันก่อนที่นางจะตบแต่ง จึงได้แต่พูดเสียดแทงทีเล่นทีจริงออกไปหวังล่อเหยื่อให้ติดกับ

“ตายจริง!! จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ข้าแค่ไม่อยากให้ใครมากวน จึงได้มาลำพังต่างหากเล่า” เหมยหลิวแอบสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อจิ่งเหวินรุ่ยทักท้วงออกมาแบบนั้น แต่นางก็รีบละทิ้งความคิดที่ว่าคนเช่นจิ่งเหวินรุ่ยจะตามนางทันได้ไปในทันที เพราะคนอย่างเหวินรุ่ยไม่มีทางที่จะรู้เรื่องลับๆ ของนางกับพี่ต้าฟ่งได้อย่างแน่นอน

“เช่นนั้นเจ้าก็ไปทำธุระของเจ้าต่อเถอะนะ พอดีข้ามีงานที่ต้องทำอีกมาก ข้าขอไม่ส่งเจ้านะ” จิ่งเหวินรุ่ยรีบพูดไล่หงเหมยหลิวออกไปให้พ้นร้าน ก่อนจะนำผ้าที่มาส่งใหม่ออกมาแขวนโชว์หน้าร้านและเมินใส่เหมยหลิวอย่างกับอากาศธาตุก็มิปาน

“วันนี้เจ้าคงจะยุ่งๆ เอาไว้วันหลังข้าจะมาหาใหม่นะ” เหมยหลิวแอบบุ้ยปากใส่เหวินรุ่ยทางด้านหลังแล้วขอตัวลาจากไปอย่างไม่พอใจนัก

“คุณหนูเจ้าคะ เหตุใดวันนี้คุณหนูของข้าถึงดูไม่กระตือรือร้นเหมือนทุกครั้งที่เจอแม่นางหงล่ะเจ้าคะ” เมื่อหงเหมยหลิวเดินไปไกลแล้ว ฮุยหลานก็อดไม่ได้ที่จะถามออกไป

“นางเป็นคนรักของหวังต้าฟ่งผู้นั้น และกำลังวางแผนคิดร้ายกับข้า”

“จริงหรือเจ้าคะ เช่นนั้นเหตุใดคุณหนูถึงยังได้พูดจาปกติกับนางอยู่เล่าเจ้าคะ”

“ข้าหรือ? ที่พูดดีกับนาง คนทั่วไปแม้แต่พี่สาวฮุยหลานยังดูออกเลยว่าข้าไม่อยากที่จะสุงสิงกับนาง มีแต่นางนั่นแหละ ที่ตามตอแยข้าเพียงฝ่ายเดียว”

“จริงด้วย คุณหนูของข้าหลีกเลี่ยงนางขนาดนี้ เหตุใดนางถึงได้ดูไม่ออกกันนะ ขนาดข้ายังนึกเอะใจบ้างเลยว่าท่านดูผิดแปลกไปจากทุกที”

“พี่ฮุยหลาน ไม่ใช่ว่านางไม่นึกเอะใจอะไรหรอก แต่นางไม่เคยสนใจข้าตั้งแต่แรกอยู่แล้ว นางก็แค่มาหาผลประโยชน์กับข้าเพียงเท่านั้น”

“จริงอย่างคุณหนูว่าเลยเจ้าค่ะ ทุกครั้งที่แม่นางหงมาหาคุณหนู นางมักจะขอโน่นนี่นั่นติดไม้ติดมือไปเสมอ แต่ครั้งนี้คุณหนูของข้ารู้เช่นเห็นชาติของนางแล้ว จึงไม่ได้ให้อันใดนางไปสักกะอย่าง ยิ่งตอนที่คุณหนูพูดตอกหน้านางไปเช่นนั้น สาวรับใช้ผู้นี้สะใจยิ่งนักเจ้าค่ะ” ฮุยหลานขำพรวดออกมาเมื่อนึกถึงคำของคุณหนูที่ว่า ตนเองนั้นไม่ว่างรับแขก แต่แม่นางเหมยหลิวก็ยังไม่เข้าใจสักที

“พี่ฮุยหลาน ท่านก็ไม่ต้องไปสนใจนางให้มาก ครั้งหน้าหากพบเจอนางอีกก็หาทางหลบหลีกนางเสีย อย่าได้ไปต่อความยาวสาวความยืดกับนางเลยนะเจ้าคะ”

“ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะคุณหนู ครั้งหน้าหากข้าพบนางอีก ข้าจะไม่ปริปากพูดกับนางแม้แต่คำเดียว” ฮุยหลานบอกคุณหนูของตนไปพร้อมกับแสดงจุดยืนของนางออกมา

“เอาล่ะๆ เราเลิกพูดถึงนาง แล้วมาสนใจกับสินค้าชุดใหม่ที่จะวางขายกันดีกว่า” จิ่งเหวินรุ่ยยิ้มอ่อน

“คุณหนูจะเอางานที่พึ่งทำเสร็จออกมาวางขายแล้วหรือเจ้าคะ”

“แน่นอนสิ หากมันขายได้ราคางาม และสร้างรายได้ให้กับทางบ้านข้าก็จะขาย”

“แต่ว่า…” ฮุยหลานรู้สึกเสียดายมันขึ้นมาจึงอยากพูดต่อ

“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น” เหวินรุ่ยหันไปมองหน้าสาวใช้ พอเห็นนางพยักหน้าเข้าใจ เหวินรุ่ยจึงเดินไปเอางานชิ้นใหม่ออกมา

(งานชิ้นนี้คุณหนูทำอยู่ตั้งหลายวัน มันงามมากจริงๆ งดงามเสียจนคนธรรมดาเอื้อมไม่ถึง ข้าล่ะอยากให้คุณหนูเก็บไว้ใช้เอง หากคุณหนูได้สวมสร้อยคอที่งามเช่นนั้นคงจะดูดีขึ้นกว่าเดิมเป็นหลายเท่า) ฮุยหลานมองไปที่สร้อยคอเส้นนั้นแบบไม่กะพริบตา

“งามเหลือเกิน”

ผู้ดูแลร้านผ้าไหมเดินออกมาเห็นตอนที่จิ่งเหวินรุ่ยยกชิ้นงานออกมา เขาถึงกับดวงตาเบิกกว้าง และก้าวเท้ายาวๆ มาใกล้ๆ เพื่อที่จะดูมันให้ชัดๆ อย่างหลงลืมตัว

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel