บทที่ 2 ข้ามเวลา
บทที่ 2
ข้ามเวลา
หยางเหมยจินมองชายอันเป็นที่รักทั้งน้ำตา ก่อนจะถอยหลังจนถึงหน้าผา พร้อมกับกล่าวบางอย่างออกมากับชายที่ได้ชื่อว่าสามี
“ส่วนท่าน ชีวิตนี้หม่อมฉันให้พระองค์ไปหมดแล้ว หลังจากนี้ ข้าและท่านจะไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีก เกิดชาติหน้าฉันใด ข้าไม่ขออยู่ข้างท่าน ชาตินี้ข้ามิอาจครองใจท่านได้ ต่อให้ครั้งนี้ข้าจะมีชีวิตรอดกลับไป ข้าก็เป็นได้เพียงพระชายาที่ท่านไม่ต้องการ ดังนั้นแล้วข้าขอให้พวกท่านครองคู่กันอย่างมีความสุขนะเพคะ”
“เจ้าจะทำบ้าอะไรเหมยจิน อย่าทำอะไรบ้า ๆ เด็ดขาด”
ต้วนอ๋องเอ่ยออกมาอย่างร้อนรน เขากล่าวตำหนินางออกมาเสียงดัง เพราะกลัวว่าพระชายาของตนจะทำเรื่องเสี่ยงอันตราย โดยไม่รู้เลยว่าเวลานี้แท้จริงแล้วในใจของเขามีนางอยู่เต็มหัวใจ เขารู้เพียงว่ารู้สึกใจหายและไม่อาจจะเห็นนางจากไปต่อหน้าอย่างนี้ได้
“ข้ารู้ว่าบ้านเมืองนี้ สามีสามารถมีภรรยาได้หลายคน แต่ข้าต้องการอยู่คู่ผัวเดียวเมียเดียวเฉกเช่นชาวบ้านทั่วไป ความรักที่ข้ามีให้กับท่านข้าขอคืน ลาก่อนต้วนอ๋อง”
จบประโยคหยางเหมยจินจึงหลับตาและทิ้งตัวลงที่หน้าผาด้านล่างทันที พร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่มีผู้ใดเคยเห็นมาก่อนหลังจากแต่งงานเข้าจวนอ๋อง...
‘หากชาติหน้ามีจริง ข้าขอเกิดเป็นชาวบ้านธรรมดา ขอมีสามีเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น ข้าไม่ต้องการใช้สามีร่วมกับผู้ใดอีก’
ร่างของหยางเหมยจินร่วงหล่นลงมา แต่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดช่องว่างของกาลเวลาขึ้น แทนที่ร่างของนางจะกระแทกพื้น กลับกลายเป็นหายไปในอากาศอย่างไร้ร่องรอย
ส่วนทางด้านต้วนอ๋อง เขาไม่คิดว่าชายาร่วมผูกผมจะเลือกเส้นทางนี้ แม้ว่าเขาจะมีชายารองหรือว่าอนุ แต่ไม่เคยทิ้งขว้างหรือไม่ดูดำดูดีหวางเฟยของตนเอง เพียงแต่ไม่เข้าหอด้วยก็เท่านั้น
เมื่อรับรู้ถึงความสูญเสียร่างกายจึงแข็งค้าง นี่จึงทำให้เหล่าทหารขององค์ชายใหญ่และฝ่าบาทจับตัวเขาได้โดยง่าย ทั้งหมดจึงถูกคุมตัวกลับพระราชวังเพื่อสำเร็จโทษ ไม่นานทั้งหมดจึงถูกประหาร!!
ส่วนทางด้านราชครูหยาง เมื่อรู้ว่าบุตรสาวกระโดดหน้าผาเพื่อไม่ต้องการให้ตนเองเดือดร้อนก็ได้แต่เศร้าใจ และสั่งให้องครักษ์ไปหาร่างบุตรสาวคนนี้ แต่ไม่ว่าจะค้นหาอย่างไรก็ไม่พบร่างแม้แต่เงา
ทางด้านหยางเหมยจิน นางมั่นใจแล้วว่าร่างของตนเองต้องแหลกเพราะกระแทกกับตีนเขาของหน้าผาแห่งนี้ แต่ใครจะคิดกันล่ะว่านางจะตกลงในลำธารแห่งหนึ่งที่ไม่รู้ว่าเป็นที่ใด ระหว่างช่วงที่จะผ่านห้วงเวลามา มีบางสิ่งบางอย่างหลั่งไหลเข้ามาในหัวของนางจำนวนมาก หลายอย่างที่นางไม่คุ้นชิน
หมู่บ้านเอี้ยนสง เมืองซุนหนี่ว์ ปี 1974
ตงเหวินหมิง พ่อม่ายลูกสองวัยสามสิบห้าปี กำลังอาบน้ำอยู่ในลำธารเนื่องจากเหนื่อยล้าจากการทำงานมาทั้งวัน ในขณะที่เขากำลังอาบน้ำอย่างสำราญใจอยู่นั้น กลับเห็นแสงประหลาดบนฟากฟ้าและมีบางอย่างพุ่งตกลงมาในลำธารใกล้ๆ กับที่เขาอาบน้ำอยู่ ด้วยความสงสัย้เขาจึงรีบว่ายน้ำไปยังจุดนั้นทันที เพราะความอยากรู้ว่าสิ่งที่ตกลงมาคืออะไร
“นี่มันอะไรกัน!!” ชายหนุ่มตกใจสุดขีดเมื่อพบว่าแสงประหลาดและวัตถุบางอย่างที่ตกลงมาจากฟ้านั้นคือร่างของมนุษย์ และที่สำคัญ เสื้อผ้าที่ผู้หญิงคนนี้สวมใส่ดูแปลกตายิ่งนัก
แม้ว่าตกใจและแปลกใจ แต่ตงเหวินหมิงก็เลือกที่จะช่วยหญิงสาวคนนี้ก่อน ชายหนุ่มจึงคว้าร่างเธอที่หมดสติมาแล้วรีบว่ายน้ำเข้าฝั่ง ก่อนจะช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้นตามที่เรียนรู้มา
ไม่นานร่างบางจึงสำลักน้ำออกมาทันที พร้อมกับค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยความงุนงง
“ข้ายังไม่ตายหรอกหรือ แล้วนี่ท่านช่วยข้าไว้หรือเจ้าคะ” หยางเหมยจินเอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัย
ตงเหวินหมิงมองหญิงสาวตรงหน้าคล้ายกับเห็นสิ่งแปลกประหลาด ก่อนจะยอมเสียมารยาทสำรวจร่างกายของเธอ เมื่อเห็นเธอไม่ได้เป็นอะไรมากก็รู้สึกโล่งใจ
“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ ทำไมคุณถึงตกลงมาจากฟ้า บ้านคุณอยู่ที่ไหน จะให้ผมไปแจ้งตำรวจให้หรือไม่” ชายหนุ่มไม่ตอบคำถามของเธอแต่เป็นฝ่ายถามกลับ เนื่องจากอยากรู้สาเหตุของการตกลงมาจากฟ้าของหญิงสาวคนนี้
“ข้ามาจาก…” หยางเหมยจินตั้งใจจะเอ่ยแซ่ของตนเอง แต่เหมือนจะคิดได้ว่าไม่ควรเอ่ยออกมาจึงเงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยออกมาเพียงแต่ชื่อตนเอง
“ข้าชื่อเหมยจินเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าท่านมีนามว่าอันใด และที่แห่งนี้ห่างไกลจากเมืองหลวงหรือไม่เจ้าคะ ว่าแต่ท่านพอจะมีเสื้อผ้าให้ข้าหรือไม่ ข้าหนาวเหลือเกิน”
เมื่อรู้สึกหนาวร่างของเธอเริ่มคุดคู้เข้าหากัน นี่จึงทำให้ตงเหวินหมิงต้องเดินไปเอาเสื้อคลุมตัวใหญ่ของตนเองมาคลุมร่างของหญิงปริศนาคนนี้ไว้
ทว่าในใจของชายหนุ่มแทบจะกุมขมับ เมื่อได้ยินคำพูดของหญิงแปลกประหลาดคนนี้ เพราะนอกจากจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่แปลกตาแล้ว คำพูดคำจาก็แปลกประหลาดอีกด้วย
“ที่นี่คือหมู่บ้านเอี้ยนสง เมืองซุนหนี่ว์ ปี 1974 ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณตกลงมาจากฟ้าได้อย่างไร แต่คุณควรจะเปลี่ยนคำพูดคำจาให้เหมือนกับคนที่นี่ เพราะไม่อย่างนั้นคนจะมองว่าคุณบ้าเอาน่ะสิ” ตงเหวินหมิงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเตือนเล็กน้อย เพราะหากมีใครได้ยินเข้าจะหาว่าหญิงสาวคนนี้เป็นบ้าแน่ ๆ
หยางเหมยจินไม่ใช่คนโง่ นางตกหน้าผาขนาดนั้นแต่กลับไม่เป็นอะไร อีกทั้งคนที่ช่วยชีวิตไว้ก็แต่งกายดูแปลกตา และคำพูดคำจาก็แตกต่างจากบ้านเมืองที่ตนเองเคยอยู่ ‘หรือว่าข้าจะข้ามเวลาเหมือนนิยายในโรงน้ำชากันนะ หากเป็นเช่นนั้น มิเท่ากับข้าข้ามเวลามายังอนาคตเป็นพันปีหรอกหรือ’ นางได้แต่ครุ่นคิดในใจ
“เช่นนั้นแล้ว ข้าจะทำอย่างไรกันล่ะเจ้าคะ ข้ามาจากที่ไกลแสนไกล ที่นี่ข้าไม่มีแม้กระทั่งบุคคลที่ข้ารู้จัก” หญิงสาวมองไปยังคนที่ช่วยชีวิตด้วยแววตาที่น่าสงสาร จะว่าไปเวลานี้หยางเหมยจินไม่รู้ว่าตนเองจะต้องทำอย่างไร เพราะที่นี่ไม่ใช่ที่คุ้นเคยสำหรับนางเลย
ตงเหวินหมิงมองหน้าหญิงสาวแปลกประหลาดคนนี้ด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา ชายหนุ่มคล้ายจะครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ในใจของเขาเวลานี้เข้าใจเพียงว่าเธอคงจะพลัดถิ่นมาแล้วไม่มีคนรู้จัก ทำให้ชายหนุ่มคิดถึงเรื่องราวในอดีตบางอย่างที่ผ่านมา ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยถาม
“ถ้าอย่างนั้นคุณพอจะเล่าเรื่องราวของคุณให้ผมฟังได้หรือไม่ เผื่อผมจะช่วยหาทางออกเรื่องนี้ให้ แต่ก่อนอื่นคุณต้องแทนตนเองว่าฉันและเรียกผมว่าคุณ เข้าใจหรือไม่ ผมชื่อตงเหวินหมิง เรียกผมว่าเหวินหมิงก็ได้”
ตงเหวินหมิงอธิบายการเรียกและคำพูดของที่นี่ให้หยางเหมยจินฟังอย่างละเอียด เพราะกลัวว่าหากเธอไปเจอคนอื่นแล้วพูดจาแปลกประหลาดแบบนี้ ชาวบ้านหรือคนทั่วไปจะมองว่าเธอเป็นคนบ้าเอาน่ะสิ
หญิงสาวรับฟังอย่างตั้งใจและพยายามทบทวนศึกษา วัฒนธรรม การพูดการจา การสนทนาระหว่างบุคคลที่ชายหนุ่มตรงหน้ากำลังบอกกล่าว เธอหลับตาลงและพยายามนึกถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาก่อนจะตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“เข้าใจแล้วค่ะ” หญิงสาวตอบกลับมาด้วยคำพูดที่ไม่เคยพูด
“ดีแล้ว ว่าแต่คุณยังไม่ตอบผมเลยนะว่าคุณตกลงมาจากฟ้าได้อย่างไร” ตงเหวินหมิงถามอีกครั้งเพราะเขาสงสัยจริง ๆ
“ฉันมาจากดินแดนอันไกลโพ้น และไม่รู้เหมือนกันว่ามาที่นี่ได้อย่างไร หากฉันจะบอกคุณว่าฉันเป็นชายาของอ๋อง มีบิดาเป็นท่านราชครูขององค์ฮ่องเต้ คุณจะเชื่อฉันหรือไม่”
หญิงสาวเลือกที่จะพูดความจริงออกไป หยางเหมยจินพยายามใช้คำพูดของคนยุคนี้ให้ถูกต้อง ก่อนจะเล่าเรื่องราวของตนเองให้ฟังอย่างละเอียด เธอไม่สนใจหรอกว่าชายผู้นี้จะมองว่าเธอบ้าหรือเป็นคนวิปลาสที่กล้าพูดเรื่องแบบนี้ออกมา แต่ในเมื่อเขาเห็นเธอหล่นลงมาจากฟ้า และเขาเป็นเพียงคนเดียวที่เธอจะพอพึ่งพาได้ในเวลานี้ เธอเลยไม่อยากปิดบังเรื่องราวต่าง ๆ ของตนเอง
หลังจากที่ฟังเรื่องราวทั้งหมด ตงเหวินหมิงเงียบไปพักใหญ่ พร้อมกับคิดว่าสิ่งที่ผู้หญิงคนนี้เล่ามานั้นมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าจะบอกว่าเป็นไปไม่ได้ก็ไม่อยากด่วนตัดสินใจ เนื่องจากเขาเห็นกับตาว่าเธอหล่นลงมาจากฟ้าจริง ๆ อีกทางเสื้อผ้าชุดที่สวมใส่นั้นก็ไม่ใช่ของคุณยุคนี้
‘ทว่าการที่มีคนข้ามเวลามาจากอดีต มันจะมีจริง ๆ น่ะหรือ’ ชายหนุ่มใช้เวลาครุ่นคิดนานพอสมควร พร้อมกับมองสำรวจหญิงสาวตรงหน้าอีกครั้ง แววตาที่เธอพูดมานั้นไม่มีของคำว่าโกหกเลย แต่การที่จะให้เขาพาเธอไปที่บ้านมันก็คงจะเป็นเรื่องใหญ่ เพราะเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว แม้จะไม่แน่ใจแต่ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจที่จะช่วยเธอ
“ผมก็ไม่รู้จะช่วยคุณอย่างไร เอาเป็นว่าสิ่งที่คุณเล่ามาผมเชื่อก็แล้วกัน แต่คุณก็ไม่ควรที่จะเล่าเรื่องพวกนี้ให้ใครฟังอีก คุณเข้าใจใช่หรือไม่ เพราะไม่เช่นนั้นจะมีคนมองว่าคุณเสียสติได้ อีกอย่างผมตัดสินใจพาคุณกลับไปที่บ้านด้วยก่อนในตอนนี้ แต่คุณจะอยู่ได้หรือไม่นั้น ต้องไปถามคนที่บ้านของผมก่อน เพราะผมไม่ได้อยู่ที่นั่นเพียงคนเดียว อีกทั้งยุคสมัยนี้หญิงชายไม่ควรอยู่ด้วยกัน และที่สำคัญเจ้าหน้าที่ก็ตรวจเข้มมาก หากมีคนแจ้งร้องเรียนเข้าไป” ตงเหวินหมิงบอกกับเธออย่างละเอียดถึงเงื่อนไขที่จะพาเธอไปที่บ้านของเขา
“ได้ ๆ ฉันจะไม่พูดเรื่องนี้อีก และฉันรับเงื่อนไขที่คุณบอกมาทุกอย่าง” หญิงสาวพูดออกมาอย่างไหลลื่นเหมือนคนยุคนี้โดยไม่รู้ตัว
เพียงแค่นี้หยางเหมยจินก็มีความหวังขึ้นมา และรู้ว่าชายหนุ่มตรงหน้าไม่ได้ใจร้าย อีกทั้งเขาพยายามหาทางออกให้กับเธอว่าจะทำอย่างไรหลังจากนี้ ต่อให้เขาจะเชื่อหรือไม่เชื่ออย่างที่พูดมาก็ตาม