บทที่ 3 ช่วยเหลือ
บทที่ 3
ช่วยเหลือ
“คุณลุกขึ้นเดินเองไหวไหม รู้สึกเจ็บปวดตรางไหนหรือไม่” ตงเหวินหมิงเอ่ยถามด้วยความเป็นกังวล เนื่องจากการตกลงมาจากฟ้า ต่อให้หล่นลงมาบนผืนน้ำทว่าร่างกายตรงหน้าก็ยังเป็นมนุษย์ ย่อมต้องมีความรู้สึกเจ็บ ดังนั้นจึงได้เอ่ยถามออกมา
“ฉัน...” หยางเหมยจินเงยหน้าขึ้น แววตาของเธอนั้นช่างน่าสงสารยิ่งนักบ่งบอกว่าเธอลุกขึ้นไม่ไหวจริง ๆ
“ขออนุญาตครับ คุณขึ้นหลังผมเถอะ เวลานี้พวกเราน่าจะไม่พบหรือว่าเจอกับชาวบ้านแล้วล่ะ มาเถอะจะได้รีบกลับบ้าน” ชายหนุ่มเอ่ยบอกพร้อมกับมองไปรอบ ๆ ตอนนี้ก็ค่ำพอสมควร ชาวบ้านก็เข้าบ้านเรือนของตัวเองไปหมดแล้ว ทำให้เขาคลายความกังวลลงเล็กน้อย
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวเอ่ยขึ้นเบา ๆ
เมื่อลุกเดินเองไม่ได้ แม้ว่าการที่จะขึ้นหลังของชายแปลกหน้าที่ไม่รู้จักจะไม่เป็นการเหมาะสมมากนัก แต่ทว่าหยางเหมยจินกลับเลือกที่จะละทิ้งความคิดจากอดีตทั้งหมดไป แล้วยอมให้
ชายหนุ่มพยุงลุกขึ้น ก่อนจะไปอยู่บนหลังของอีกฝ่ายเพื่อให้เขาพากลับที่พัก
ระหว่างทางทั้งสองไม่มีใครพูดอะไร ต่างก็จมอยู่ในความคิดของตนเอง จวบจนตงเหวินหมิงสาวเท้ายาว ๆ มาถึงบ้านหลังหนึ่ง
“พ่อ!!” เด็กชายหญิงสองแฝดวัยสิบขวบร้องขึ้นอย่างตกใจ เมื่อเห็นพ่อของตนพาใครมาด้วย ต่างจากทุกครั้งที่พ่อจะไปว่ายน้ำและอาบน้ำในยามค่ำคืน แถมการมาครั้งนี้ก็ไม่ปกติ นั่นคือมีการขี่หลังกันมาด้วย คนเป็นพ่อรีบวางหญิงสาวลงเมื่อเห็นสายตาของลูกสาว
“พ่อพาผู้หญิงเข้าบ้านหรือคะ”
เด็กน้อยนามว่าตงฟางลี่เอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ เมื่อเห็นใบหน้าของคนที่พ่อพามาชัด ๆ มือทั้งสองข้างประสานกันตรงกลางอก พร้อมกับยกมุมปากขึ้นน้อย ๆ บ่งบอกว่าเธอไม่พอใจการกระทำของพ่อตนเองอย่างมาก
“เธอคนนี้ชื่อว่าเหมยจิน ลี่ลี่อย่าเพิ่งโวยวายใส่พ่อ เราเข้าไปคุยกันในบ้านก่อน เรื่องนี้อย่าเพิ่งให้คนนอกรู้เรื่อง น้าเขาหนีร้อนมาพึ่งเย็น และพ่ออยากถามความคิดของเราทั้งสองคนก่อนตัดสินใจอะไรบางอย่าง” ตงเหวินหมิงรีบห้ามลูกสาวตนเองไว้ทันที ก่อนที่เด็กน้อยจะอาละวาดมากกว่านี้ ยิ่งเห็นท่าทางแบบนี้ก็อดที่จะยิ้มมุมปากไม่ได้
“ได้ค่ะ แต่พ่อต้องมีคำตอบที่ดีให้กับลี่ลี่นะคะ ส่วนน้าคนนี้ถ้าน่าสงสารจริง เราสองพี่น้องยินดีที่จะทำตามที่พ่อบอก” เด็กน้อยตงฟางลี่เมื่อพูดจบก็เดินนำทุกคนเข้าบ้าน ทิ้งให้พี่ชายที่ยังไม่ทันได้พูดหรือตอบอะไร ยืนเกาหัวตนเองแกรก ๆ ก่อนจะมองหน้าผู้เป็นพ่อ
“เรื่องยากสำหรับเราสองคนแล้วล่ะอาหยวน น้องสาวของเราเป็นเจ้าบ้านแทนพ่อมานานแล้ว”
ผู้เป็นพ่อกล่าวกับลูกชายอีกคนพร้อมรอยยิ้ม เนื่องจากบ้านตงแห่งนี้ คนที่ใหญ่สุดของบ้านไม่ใช่ผู้เป็นพ่อ แต่เป็นน้องเล็กของบ้าน แถมยังเป็นดวงใจของพ่อและพี่ชายอีกด้วย
“นั่นสิครับพ่อ” ตงจี้หยวนก็ตอบพ่อกลับไปอย่างอ่อนใจ
“งั้นเรารีบเข้าบ้านเถอะ ก่อนที่ลี่ลี่จะอารมณ์เสียที่เราชักช้า ไปกันเถอะคุณ” ตงเหวินหมิงเอ่ยบอกกับลูกชายและหันมาชักชวนหญิงสาวที่ตอนนี้ยืนฟังอยู่เงียบ ๆ ก่อนจะเดินเข้าบ้านไป
หยางเหมยจินได้แต่ยิ้มขำกับอาการของผู้เป็นพ่อและลูกชายที่ดูจะกลัวเด็กสาวเพียงหนึ่งเดียวของบ้าน ทั้ง ๆ ที่เด็กน้อยคนนั้นอายุไม่เท่าไร ก่อนจะค่อย ๆ เดินตามทุกคนเข้ามาในบ้าน และหวังว่าตนเองจะผ่านการทดสอบของเด็กน้อยที่มีตำแหน่งไม่ต่างจากเจ้าบ้านหลังนี้
เมื่อทุกคนเข้ามาในบ้านแล้ว ตงเหวินหมิงจึงเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้ลูกทั้งสองฟัง แต่ก็เลือกที่จะปิดบังเรื่องที่หญิงสาวตกลงมาจากฟ้า โดยบอกว่าเห็นเธอหมดสติลอยตามน้ำมา ทำให้เด็กน้อยทั้งพยักหน้าอย่างเข้าใจ แต่เพราะตงฟางลี่ยังมีอาการหวงพ่อเลยยังไม่ยินยอมเท่าไร
“แต่มันไม่ค่อยดีหรอกค่ะพ่อ ลี่ลี่คิดว่าเรื่องนี้คงต้องคิดและทบทวนอีกหน่อย ตอนนี้ลี่ลี่ยังไม่อยากมีแม่ใหม่”
เด็กน้อยวัยสิบขวบคิ้วขมวด แม้จะสงสารน้าคนนี้มากก็ตามแต่เธอก็ยังไม่อยากไว้ใจ เนื่องจากที่ผ่านมาผู้หญิงในหมู่บ้านมักทอดสะพานให้พ่อของเธอเสมอ ยิ่งลูกสาวบ้านซูยิ่งแล้วใหญ่ นั่นก็เช้าถึงเย็นถึงจนน่ารำคาญ
พอได้ยินความในใจของเด็กน้อยตรงหน้า หยางเหมยจินก็รีบยกมือขึ้นก่อนจะโบกไปมาเพื่อปฏิเสธ
“ลี่ลี่เข้าใจฉันผิดแล้ว คุณเหวินหมิงเป็นเพียงผู้มีพระคุณของฉันเท่านั้น ฉันไม่ได้คิดจะมาเป็นแม่เลี้ยงของลี่ลี่เลยนะ แต่หากลี่ลี่และทุกคนไม่สบายใจ ฉันจะลองไปขอความช่วยเหลือคนอื่นดู เพราะที่นี่ฉันไม่รู้จักใครเลย” ท้ายประโยคเธอก้มหน้าลงพูดอย่างเศร้าสร้อย
เรื่องนี้เธอคิดว่าตนเองไม่ได้โกหก คนที่ข้ามเวลามาเป็นพันปีอย่างเธอจะมีคนรู้จักที่นี่ได้อย่างไร
“แล้วทำไมน้าเหมยถึงแต่งตัวเหมือนคนโบราณแบบนี้ล่ะ มันไม่เหมือนที่พวกเราใส่เลยนะคะ”
ไม่รู้เพราะว่าตงฟางลี่ฉลาดเกินไป หรือเพราะเสื้อผ้าที่หยางเหมยจินสวมใส่นั้นสะดุดตาจริง ๆ ทำให้เด็กน้อยอดที่จะถามไม่ได้ แล้วสายตานั้นมองคล้ายกับจะจับผิด จนหยางเหมยจินเลือกที่จะพูดความจริงออกมาเอง
“ข้าไม่ใช่คนที่นี่ และเจ้าไม่ต้องคิดว่าข้าวิปลาส ข้าคือ...”
จากนั้นหยางเหมยจินจึงเล่าทุกอย่างให้ทั้งสองคนฟังอย่างละเอียดโดยไม่ปิดบังด้วยภาษาของคนยุคนาง และมองท่าทางของเด็กน้อยทั้งสองคนว่าหวาดกลัวเธอหรือไม่ ทว่าสายตาที่เห็นนั้นมีเพียงความสงสารและสงสัยเท่านั้น
“น้าเหมยต้องพูดเหมือนคนที่นี่ หากน้ายังแทนตัวเองว่าข้า น้าจะถูกมองว่าวิปลาสหรือเป็นบ้าจริง ๆ” ตงฟางลี่เอ่ยขึ้นมาหลังจากฟังจนจบ
เวลานี้ในใจของเด็กน้อยนั้นไม่คิดถึงเรื่องหวงพ่ออีกแล้ว คิดแต่ว่าจะทำอย่างไรถึงจะช่วยน้าคนนี้ได้ พลัดถิ่นมาจากบ้านเมืองที่รู้จักคงรู้สึกไม่ดี หากเป็นเธอเองเมื่อต้องแยกจากพ่อคงรู้สึกแย่เหมือนกัน
“ขอบใจมากนะลี่ลี่ น้าจะพยายามพูดให้เหมือนคนที่นี่ก็แล้วกัน” หยางเหมยจินตอบกลับมาเป็นภาษาของที่นี่อย่างไม่ยุ่งยากมากนัก เพราะทุกอย่างไหลเข้ามาในหัวของเธอตอนที่ผ่านกาลเวลามา
หญิงสาวมองเด็กน้อยที่มีอำนาจที่สุดของบ้านด้วยใจที่อบอุ่น แม้ว่าจะพลัดถิ่นข้ามภพมา อย่างน้อยเธอก็เจอคนที่จิตใจดี เพราะหากไปเจอคนชั่วเธออาจจะถูกขายไปเป็นทาสของบ้านไหนสักแห่ง
เมื่อไม่มีใครกล่าวหรือพูดคุยอะไรอีก สามพ่อลูกได้แต่มองตากันคล้ายกับปรึกษา นี่จึงทำให้หยางเหมยจินรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย และเตรียมจะเดินไปอีกทางอื่น เพื่อให้สามพ่อลูกได้พูดคุยกัน
“คุณไม่ต้องไปหรอก ผมและลูก ๆ ยินดีที่จะให้คุณอยู่ด้วย ส่วนในฐานะอะไรนั้น ค่อยมาพูดคุยและปรึกษากันอีกครั้ง แต่หากคุณต้องการอยู่ที่นี่จริง ๆ คุณต้องอยู่แต่ในบ้าน ห้ามออกไปให้ใครเห็นเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่”
สุดท้ายแล้วตงเหวินหมิงก็ยินยอมให้หยางเหมยจินอยู่ด้วย แต่ต้องเป็นไปตามข้อตกลงที่เขายื่นเสนอขึ้นมา
“เพราะอะไรคะ” หยางเหมยจินถามออกไปด้วยความสงสัย
“เพราะน้าเหมยยังไม่มีบัตรและเอกสารประจำตัว หากมีการตรวจค้นและไม่รู้ความเป็นมาที่แน่ชัด อาจจะโดนจับไปสอบสวนได้ ลี่ลี่พูดถูกไหมคะพ่อ” ตงฟางลี่เป็นคนตอบกลับมาแทน แม้ว่าอายุเพียงสิบปี ทว่าความคิดและความฉลาดของเด็กน้อยนั้น นับว่าดีเลิศกว่าเด็กรุ่นเดียวกัน
นั่นทำให้ผู้เป็นพ่อต้องพยักหน้าและยิ้มให้อย่างอ่อนโยนจากนั้นจึงพูดขึ้นมาว่า “ใช่แล้วลูก ลี่ลี่ของพ่อนั้นกล่าวมาถูกต้องที่สุดแล้ว”
เมื่อเอ่ยชมลูกสาวของตนเองเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงได้หันมาพูดกับหยางเหม่ยจินต่อ
“ที่นี่ไม่เหมือนกับที่ที่คุณจากมา คุณต้องทำตามกฎของที่นี่เพราะไม่เช่นนั้นจะเป็นปัญหาได้ ยิ่งเวลานี้หากมีใครรู้ว่าคุณเป็นพวกมีศักดินาก็จะไม่ปลอดภัย เข้าใจที่ผมพูดใช่หรือไม่อาเหมย”
ชายหนุ่มอธิบายให้เธอฟังอย่างใจเย็นและเรียกเธออย่างสนิทสนม
หยางเหมยจินได้แต่พยักหน้าด้วยความงุนงง เนื่องจากเธอนั้นไม่ใช่คนในยุคนี้แต่ก็คิดจะทำตามโดยดี
“เข้าใจแล้วค่ะ ฉันจะทำตามที่ทุกคนบอก แล้วขอบคุณมากนะคะที่ให้ข้า เอ๊ย…ไม่ใช่ ที่ให้ฉันได้มาอาศัยอยู่ด้วย ฉันขอสัญญาว่าจะช่วยงานบ้านทุกอย่าง โดยไม่ให้พวกคุณต้องเดือดร้อนกับการที่ช่วยฉันไว้” หญิงสาวเอ่ยออกมาด้วยความดีใจ ใบหน้าสวยปรากฏรอยยิ้มเต็มใบหน้า
“แต่ผมคิดว่าเราควรจะคิดแผนการล่วงหน้านะครับพ่อ หากเกิดมีใครมาพบน้าเหมยเข้า เราจะบอกคนพวกนั้นอย่างไร” ตงจี้หยวนนั่งเงียบอยู่นานจึงได้เอ่ยขึ้นมา
นี่จึงทำให้ทุกคนต้องหันมามอง พร้อมกับคิดตาม
“ที่อาหยวนพูดมาพ่อเข้าใจนะ แต่เวลานี้เรายังไม่รู้ว่าจะให้เหมยจินอยู่กับพวกเราในฐานะอะไร เพื่อไม่ให้เธอเสื่อมเสียชื่อเสียง” ตงเหวินหมิงพูดขึ้นมาอย่างคิดไม่ตกเช่นกัน
เรื่องนี้ไม่ใช่ตงเหวินหมิงไม่คิด แต่เพราะว่าไม่รู้จะบอกชาวบ้านหรือคนภายนอกอย่างไรต่างหาก ช่วงนี้เขาเลยอยากให้หยางเหมยจินอยู่แต่ในบ้าน ห้ามออกไปให้คนอื่นพบเห็น จนกว่าเขาจะหาทางออกได้ ส่วนเรื่องเอกสารค่อยว่ากันอีกครั้งว่าจะเอาอย่างไร หากให้พวกใต้ดินจัดหาให้คงจะเสียเงินไม่น้อย และเรื่องเงินคือปัญหาของเขาเหมือนกัน หากเป็นเมื่อสิบกว่าปีก่อน เขาจะไม่เคร่งเครียดแบบนี้เลย
“ถ้าบอกว่าเป็นญาติเราได้ไหมครับพ่อ” ตงจี้หยวนถามขึ้นมา
“ไม่ได้ เพราะถ้าจะบอกว่าน้าเหมยจินคือญาติเรา คงจะไม่มีใครเชื่อ ในเมื่อพ่อและลูกทั้งสองย้ายมาอยู่หมู่บ้านนี้เป็นสิบปีแล้ว ยังไม่เคยมีญาติมาเยี่ยมเลยสักครั้ง” ตงเหวินหมิงตอบกลับไปทันที