5 สำรวจพืชผัก
ตอนที่ 5 สำรวจพืชผัก
เฉินตงห่าวเดินนำหน้าน้องสาวขึ้นเขาไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ด้านหลังของเขาสะพายตะกร้าใบใหญ่ที่ใส่กระบอกน้ำและมีดพร้า แถมในมือของเขาก็ถือยอยกที่จะนำไปจับปลา
วันนี้อวี้ซินพอจะเข้าใจสภาพแวดล้อมขึ้นมาบ้างแล้ว นางจึงสะพายตะกร้าขนาดกลางที่ว่างเปล่าเดินตามหลังของพี่ชายไปอย่างเงียบๆ
“นั่นไม่ใช่พี่ตงห่าวกับอวี้ซินหรอกหรือ”
กวนม่านหรงหันไปถามพี่ชายข้างบ้านนามว่าโม่เฟิง
“เห็นจะเป็นเช่นนั้น”
โม่เฟิงเพื่อนสนิทของตงห่าวยิ้มออกมา แล้วเดินนำหน้ากวนม่านหรงไป
“ตงห่าว!!”
เสียงทุ้มเสียงหนึ่งร้องทักตงห่าวมาจากด้านหลัง เขาจึงหันกลับไปมอง
“นั่นโม่เฟิงกับม่านหรงนี่ วันนี้พวกเขาก็ขึ้นมาเก็บผักป่าเหมือนกันสินะ”
ตงห่าวเห็นเพื่อนสนิทเดินมากับเพื่อนบ้านจึงพูดกับน้องสาว
“พี่ชายข้าขอเดินนำไปก่อนได้หรือไม่ พอดีข้ามีบางอย่างที่ต้องไปทำ”
อวี้ซินใช้ถ้อยคำออดอ้อนพี่ชาย
“ได้สิ แต่เจ้าต้องห้ามหลงทางนะ แล้วไปเจอกันที่ลำธารด้านบนเข้าใจหรือไม่”
ตงห่าวรู้ว่านางมีท่านเทพคอยช่วยอยู่อย่างไรเสียวันนี้ที่ขึ้นเขามานางคงอยากมาสำรวจผืนป่า เช่นนั้นก็ปล่อยให้นางเดินนำไปสักหน่อยก็แล้วกัน
“พี่ชายอย่ากังวลไป ข้าไม่มีทางหลงป่าอย่างแน่นอน เช่นนั้นเราค่อยเจอกันด้านบนนะเจ้าคะ”
อวี้ซินยิ้มกว้าง
เมื่อเห็นว่าพี่ชายของนางไม่จู้จี้กับนางจนมากเกินไป นางจึงรีบขึ้นเขาด้วยการวิ่งเหยาะๆ อย่างอารมณ์ดี
“ตงห่าวเหตุใดน้องสาวของเจ้าถึงขึ้นเขาไปก่อนเจ้าแล้วล่ะ”
โม่เฟิงเห็นหลังของอวี้ซินไวไวจึงร้องทักเพื่อนสนิท เขากลัวว่านางจะพลัดหลงในป่าเอาได้
“นางเคยมาแล้ว แถมนางยังจำทางได้ดียิ่งกว่าข้าเสียอีก” ตงห่าวเอ่ยบอกเพื่อนสนิทพร้อมกับหัวเราะเบาๆ
“แต่บนเขาอย่างไรมันก็อันตรายอยู่ดี ปล่อยให้นางไปคนเดียวเช่นนั้น…”
“ข้าเชื่อว่าน้องสาวของข้ารู้ลึกตื้นหนาบาง นางจะไม่ทำให้ตนเองต้องลำบากอย่างแน่นอน”
ตงห่าวหันไปทางที่น้องสาวจากไปแล้วยิ้มออกมา
“ท่านไว้ใจนางเกินไปแล้วนะเจ้าคะ หากเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นมาจะทำเช่นไร ครั้งก่อนข้าก็ได้ยินว่านางพลัดตกน้ำท่า จนหลับไปหลายวันไม่ใช่รึ”
ม่านหรงเบ้ปากแล้วมองไปทางอวี้ซินที่ไม่เห็นแม้แต่เงา
คนที่ห่วงแต่เล่นอย่างนาง นอกจากชอบวิ่งไปทั่ว ยังจะมาสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นอีก เสียดายที่ข้าไม่สนิทกับนาง หากข้าสนิทกับนางข้าจะทุบตีให้นางเข้าใจโลกที่แสนรันทดนี่สักหน่อย นางจะได้รู้ว่านางอยู่ในสถานการณ์แบบไหน ลำบากยากแค้นเพียงใด กวนม่านหรงชักสีหน้าไม่พอใจออกมา
“อย่าห่วงไปเลยม่านหรง ตอนนี้นางไม่ใช่เด็กที่เอาแต่วิ่งเล่นเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว”
ตงห่าวรู้ว่าม่านหรงค่อนข้างรู้งาน และไม่ชอบพวกห่วงแต่เล่นอย่างอวี้ซิน เขาจึงบอกม่านหรงไปว่าในยามนี้น้องสาวของเขาสามารถเอาตัวรอดได้อย่างน่าอัศจรรย์
“เป็นเช่นนั้นก็ดีหน่ะสิเจ้าคะ”
ม่านหรงกระแทกเสียงใส่ตงห่าว
“เอาน่าม่านหรง เรามาเก็บผักป่าไปขายนะ อย่าทำหน้าเหมือนคนปวดทุกข์เช่นนั้นเลย”
โม่เฟิงแตะไหล่ของม่านหรงเบาๆ อย่างเข้าใจ
“พวกเจ้าจะเก็บผักป่าชนิดใดหรือ”
ตงห่าวเอ่ยถาม
“ข้าอยากได้พวกขิงกับต้นหอมน่ะ”
โม่เฟิงตอบ
“หากเจ้าต้องการขิงกับต้นหอมไปทางนั้นเถอะ เมื่อวานข้ากับน้องสาวเก็บพวกมันจากทางนั้นและดูเหมือนว่ามันจะมีหลงเหลืออยู่อีกบางส่วน”
เฉินตงห่าวแนะนำเพื่อนสนิท
“เช่นนั้นข้าจะไปดูทางนั้นตามที่เจ้าว่า”
โม่เฟิงบอกเพื่อนสนิท
“อืม… งั้นข้าจะตามน้องสาวของข้าขึ้นเขาไปก่อน”
ตงห่าวยิ้มบางๆ ให้โม่เฟิงแล้วรีบเดินขึ้นเขาไป
“ไปกันเถอะม่านหรง”
โม่เฟิงดึงมือม่านหรงให้เดินไปทางที่ตงห่าวบอก
“พี่โม่ ข้าว่านางต้องหลงป่าอีกเป็นแน่ หากเราเก็บผักป่าเสร็จแล้วควรตามไปดูนางสักหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ”
ม่านหรงเงยหน้าขึ้นพร้อมกับถามพี่โม่เฟิงอย่างขอความเห็น
“ได้สิ เอาไว้เราเก็บผักป่าเสร็จ หากนางหลงป่าจริงๆ เราค่อยไปช่วยตงห่าวตามหานางอีกแรง”
“เจ้าค่ะ”
ม่านหรงฉีกยิ้มออกมา
ถึงอวี้ซินจะห่วงเล่นไปหน่อย แต่นางก็ไม่ได้โกรธแค้นอันใดกัน หากนางเกิดหลงทางบนเขาขึ้นมาจริงๆ อย่างไรเสียข้าก็ควรยื่นมือไปช่วยนางสักหน่อย
“นี่มัน…”
เมื่อโม่เฟิง กับ กวนม่านหรง เดินมาตามทางที่ตงห่าวบอกก่อนหน้า ทั้งสองก็ถึงกับอ้าปากค้าง
นอกจากขิง กับ ต้นหอมป่าแล้ว บริเวณโดยรอบยังมีผักอย่างอื่นแซมอยู่มากมาย
นี่ไม่เท่ากับว่า ตงห่าวเปิดเผยแหล่งทำกินของเขาแล้วหรอกหรือ
โม่เฟิงได้แต่อุทานออกมาแล้วเก็บคำพูดมากมายกลืนลงคอไป
“แม่เจ้า!! ผักพวกนี้หายากมาก ข้าไม่คิดมาก่อนว่ามันจะมาเกิดในที่ที่ผู้คนคาดไม่ถึงเช่นนี้ พี่โม่ดูทางนั้นสิเจ้าคะ ผักป่ามากมายถึงเพียงนี้หากเก็บไปขายที่ตลาดในตัวเมือง พวกเราคงได้ข้าวสารมามากกว่าหนึ่งกิโลอย่างแน่นอน”
กวนม่านหรงพูดออกมาอย่างตื่นเต้นดีใจ
“ไม่ได้นะม่านหรง นี่เป็นที่ที่ตงห่าวพบเจอก่อน และเขาก็มีน้ำใจแบ่งปันมันให้กบพวกเรา หากพวกเราเก็บผักพวกนี้ไปจนหมด แล้วข้าจะเอาหน้าที่ไหนไปมองตงห่าวในภายหลังได้อีก”
“ที่ท่านพูดมาก็มีเหตุผล เช่นนั้นพวกเราก็เก็บไปสักส่วน และเหลืออีกสองส่วนไว้ให้พี่ตงห่าวดีหรือไม่เจ้าคะ”
ม่านหรงหันไปยิ้มกริ่มใส่พี่ชายข้างบ้าน
“เอาเช่นนั้นก็ได้ อย่างน้อยๆ วันนี้นอกจากจะเอาผักไปขาย ได้ข้าวกลับมากิน เรายังจะได้กินผักต้มที่หลากหลายรสชาติอีกด้วย”
โม่เฟิงเห็นด้วยกับม่านหรง พอทั้งสองตกลงกันได้แล้วจึงลงมือเก็บผักป่าด้วยความเร็วอย่างกับว่ากลัวใครจะมาเห็นเข้าและมาแย่งมันไป
ติ๊ง!
[โฮสต์โปรดเดินไปทางซ้ายอีกเล็กน้อย ระบบตรวจพบว่ามีผักหนามป่าจำนวนมากที่กำลังแตกยอดอ่อน…]
“ผักหนามหรือ? ดีจัง…ข้ากำลังอยากได้ผักไปผัดอยู่พอดี”
อวี้ซินถึงกับยิ้มอย่างยินดีออกมานางมุ่งตรงไปทางซ้ายตามที่ระบบบอกทันที
“นี่น่าจะเป็นทางที่อวี้ซินพึ่งผ่านไปสินะ”
เฉินตงห่าวเดินตามทางที่น้องสาวทำเครื่องหมายเอาไว้แล้วอดไม่ได้ที่จะชื่นชมนาง
เป็นเพราะเครื่องหมายพวกนี้ ทำให้เขากล้าที่จะเดินออกมานอกเส้นทาง แม้ว่าตามทางเดินจะไม่รกมากนักเพราะความแห้งแล้ง แต่เส้นทางก็มีขวากหนามแซมอยู่ไม่น้อย
“ไม่รู้ว่าอวี้ซินจะได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า หนามพวกนี้ก็มากขึ้นเรื่อยๆ เสียด้วย ท่านเทพนี่ก็ใจดำกับเด็กสาวมากไปแล้ว ถึงขนาดให้นางออกนอกเส้นทางมาไกลถึงเพียงนี้ แถมระหว่างทางยังมีแต่สิ่งที่สร้างความเจ็บปวดและบาดแผลอีกด้วย”
เฉินตงห่าวอดไม่ได้ที่จะตัดพ้อออกมา
“อุ๊ยยย!!”
เสียงของอวี้ซินดังขึ้นไม่ไกลนักทำให้ผู้เป็นพี่รีบเร่งเดินตามเสียงนั้นไป และได้พบว่าน้องสาวของตนกำลังเก็บยอดอ่อนของผักป่าอย่างมันมือ
“เจ้าจะเก็บมันทั้งหมดในคราเดียวเลยหรืออย่างไร”
เสียงเท้าย่ำเดินผ่านกอหญ้าดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงที่เหนื่อยหอบ
“พี่ชายท่านมาที่นี่ได้อย่างไรหรือเจ้าคะ”
อวี้ซินรีบหันไปตามเสียงร้องทัก นางเกิดความประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นพี่ชายเดินมาทางตน
“ข้าก็เดินตามเครื่องหมายที่เจ้าทำไว้หน่ะสิ”
เฉินตงห่าวเดินมาถึงก็วางตะกร้าสะพายหลังลงพร้อมสิ่งของ ก่อนจะเอื้อมมือขึ้นไปเด็ดเอายอดอ่อนๆ ของผักหนามป่าที่กำลังแตกยอดงามมากมาย
“ที่แท้เครื่องหมายที่ข้าทำไว้ก็มีประโยชน์เหมือนกัน”
อวี้ซินก้มเอาผักหนามใส่ตะกร้าแล้วยืนขึ้นอีกครั้งพร้อมกับมือที่ทำงานอย่างกระฉับกระเฉง
“เจ้ามาเจอผักมากมายเหล่านี้ได้อย่างไร”
ตงห่าวเอ่ยถามน้องสาว ทั้งๆ ที่เขาก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าสิ่งนี้คงได้รับคำชี้แนะมาจากท่านเทพ
“ข้าก็แค่เดินมาเรื่อยๆ หน่ะเจ้าค่ะ คิดไม่ถึงว่าหลังจากฝนตกหนักในวันนั้นพวกผักป่าและต้นหญ้าจะงอกงามได้เร็วขนาดนี้”
อวี้ซินยังคงตั้งใจเด็ดยอดอ่อนที่อวบอ้วนต่อไปโดยไม่หันไปมองทางพี่ชาย
“เช่นนั้นรึ เจ้าคงจะเป็นลูกรักของท่านเทพสินะ ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็ล้วนเจอแต่ของดีๆ ทั้งนั้น”
ตงห่าวหัวเราะออกมาอย่างขบขัน
“นั่นก็อาจจะใช่นะเจ้าคะ”
อวี้ซินไม่ปฏิเสธคำพูดของพี่ชายและหัวเราะออกมาอย่างพอใจ
“พี่ชาย ท่านว่าหากเราเก็บผักทั้งหมดนี่ไปขายจะได้ข้าวสารมากหรือไม่”
“แน่นอนว่าย่อมมาก เพราะผักหนามป่านี่ค่อนข้างรสชาติดี ผู้คนส่วนมากก็นิยมนำมาต้มกินกับน้ำพริกกัน”
“พี่ชายหากข้าจะซื้อน้ำมันต้องใช้เงินอีแปะมากหรือไม่”
อวี้ซินอยากกินของทอดบ้างเพราะนางเริ่มจะเบื่อของต้มละย่างแล้วจึงถามไถ่พี่ชาย
“แน่นอนว่ามันแพงอยู่ไม่น้อย แต่หากเจ้าจะซื้อก็ซื้อในปริมาณที่น้อยลง แบบนั้นก็ไม่น่าจะเป็นปัญหา”
ตงห่าวตอบน้องสาว
“เช่นนั้นถ้าข้าอยากซื้อเนื้อหมูล่ะเจ้าคะ”
อวี้ซินหันไปถามพี่ชายที่ตั้งหน้าตั้งตาเก็บผักหนาม
“มันค่อนข้างจะแพงมากเป็นพิเศษ …โดยเฉพาะในช่วงที่ทุกอย่างมีจำนวนไม่เพียงพอเช่นนี้”
ตงห่าวหันไปทางน้องสาวเล็กน้อยแล้วถอนหายใจออกมา
อย่าว่าแต่นางเลยที่อยากจะกินเนื้อหมู ตัวเขาเองก็อยากจะลิ้มลองรสชาติของมันอีกครั้งเช่นกัน
แต่หลังจากที่เขาได้ข้ามผ่านความทุกข์ยากมา เขาก็เข้าใจได้ว่า เพียงแค่ได้กินอิ่มท้อง แค่นั้นมันก็เป็นสิ่งที่ดีมากพอแล้ว
“ใช่สิข้าทำกับดักไว้ทางด้านโน้น ไว้ขากลับเราเดินไปดูกันนะเจ้าคะ ไม่แน่ว่าเราอาจจะได้ไก่หรือกระต่ายป่ากลับบ้านไปทำมื้อเย็นด้วย”
อวี้ซินบุ้ยปากไปทางฝั่งตรงข้ามที่นางยืนอยู่ ก่อนจะบอกพี่ชายให้เตือนนางเพราะกลัวว่าจะหลงลืมไป
“เจ้าทำที่ดักสัตว์ขึ้นมาเองอย่างนั้นหรือ”
ตงห่าวเอ่ยถามน้องสาวด้วยความแปลกใจ
ยังมีอะไรอีกที่นางทำไม่เป็นกันนะ
ตอนนี้ข้าเริ่มสำนึกผิดขึ้นมาเสียแล้วที่ว่ากล่าวท่านเทพไป
ตงห่าวแอบหันไปอีกทางแล้วผสานมือก้มขอขมาท่านเทพอย่างไม่รีรอ
หนึ่งก้านธูปผ่านไป…
“เก็บเต็มทั้งสองตะกร้าแล้วแต่ผักหนามนี่ก็ยังมากอยู่เลย”
อวี้ซินปาดเหงื่อที่ซึมตรงหน้าผากด้วยแขนเสื้อก่อนจะรับเอากระบอกน้ำจากพี่ชายมาดื่มเพื่อดับกระหายความเมื่อยล้า
“พี่เหลือยอดอ่อนๆ เอาไว้และเก็บยอดอวบอ้วนมาทั้งหมดแล้ว ไว้พรุ่งนี้เราค่อยมาเก็บใหม่ก็ได้”
ตงห่าวหันไปรับเอากระบอกน้ำจากน้องสาว หลังจากที่นางดื่มน้ำไปแล้ว พร้อมกับพูดคุยกับนาง
“นั่นเจ้าจะไปไหน”
ตงห่าวเห็นน้องสาวที่นั่งพักเหนื่อยยืนขึ้นจึงเอ่ยทักท้วง
“ข้าจะไปดูกับดักที่ข้าวางไว้”
อวี้ซินกล่าว
พอตงห่าวได้ยินเช่นนั้นเขาก็รีบกระดกน้ำแล้วเช็ดปากก่อนจะรีบก้าวขายาวๆ ตามหลังน้องสาวไป
“น้องสาว เจ้านี่มันมากับโชคจริงๆ ด้วย”
ตงห่าวเดินมาถึงก็ได้แต่อ้าปากค้าง เพราะสิ่งที่น้องสาวจับได้นั้นก็คือแม่ไก่ตัวหนึ่ง แถมข้างๆ กันไม่ไกลนักก็มีรังที่เต็มไปด้วยไข่อีกหลายฟอง
“นั่นสิเจ้าคะ เช่นนี้แล้วท่านต้องให้ข้าเป็นผู้ชี้ทางแล้วล่ะเจ้าค่ะ”
อวี้ซินรัวเสียงหัวเราะออกมาอย่างได้ใจ
“นั่นสิ ขอแค่เจ้านำทาง ไม่ว่าจะไปทางไหนก็ล้วนแต่โชคดี”
ตงห่าวหัวเราะอย่างดีใจออกมาและคาดหวังว่าเขาจะได้กินเนื้อไก่
“ท่านอย่าพึ่งกลืนน้ำลายสิเจ้าคะ ไก่นี่ข้าจะนำกลับไปเลี้ยงให้มันออกลูกออกหลานเยอะๆ วันข้างหน้าเราจะได้กินเนื้อไก่ทุกครั้งที่อยากกิน”
“อวี้ซินเจ้าจะเลี้ยงไก่หรือ?”
ตงห่าวถามน้องสาวในขณะที่จับขาไก่มัดเข้าด้วยกัน
“เจ้าค่ะ ข้าจะเลี้ยงไก่ หากเราเลี้ยงไก่เราก็จะได้กินไข่ไก่ทุกวัน แบบนั้นน่าจะเป็นเรื่องที่ดีกว่าไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
“เจ้าว่ามามันก็ใช่ แต่หากไก่มันไปอยู่ผิดที่ผิดทางมันจะไม่ตายหรอกหรือ”
“หากมันใจเสาะเช่นนั้น เราก็แค่เชือดมัน แล้วทำเป็นอาหาร”
อวี้ซินทำท่าเอามือเชือดคอไก่ จนไก่ร้องกะต๊ากเสียงดัง เหมือนกับว่ามันฟังที่นางพูดเข้าใจ
“ในเมื่อเจ้าว่าดี เช่นนั้นก็รีบเก็บไข่ไปใส่ตะกร้าแล้วไปตกปลากันเถอะ ไว้พรุ่งนี้เราค่อยขึ้นมาเก็บผักหนามอีกรอบก็ยังไม่สาย”
“นั่นสิเจ้าคะ อีกไม่นานก็เที่ยงแล้ว ท่านแม่ต้องเริ่มหิวแล้วเป็นแน่ เช่นนั้นวันนี้เราก็จับปลาให้มากๆ หน่อย ดีกว่า”
“อืม ไปกันเถอะ”
ตงห่าวขานรับน้องสาวแล้วมัดขาไก่ติดกับตะกร้าให้มันนอนทับผักหนามพร้อมกกไข่ไปในตัว
หลังจากที่อวี้ซินกับพี่ชายออกจากป่าไปอีกทาง นางก็มุ่งไปตามเสียงลำธารแล้วได้ปลามากกว่าสิบตัว อวี้ซินหาเถาวัลย์มาร้อยปลาเป็นพวงๆ แล้วเอามัดห้อยไว้ข้างตะกร้า ก่อนจะเดินทางลงเขาด้วยใจที่เบิกบาน
“อ้าวโม่เฟิง เจ้ายังไม่กลับอีกหรือ”
ระหว่างทางลงเขาตงห่าวเห็นว่าโม่เฟิงกับกวนม่านหรงนั่งพักอยู่จึงเอ่ยทัก
“ข้ารอเจ้าอยู่หน่ะสิ ข้ากลัวว่าน้องสาวของเจ้าที่ขึ้นเขาไปก่อนจะหลงทางเอา ข้าจึงมารั้งรออยู่ที่นี่เผื่อว่าจะได้ช่วยกันตามหา แต่ดูท่าแล้วนางจะเก่งในเรื่องการเดินป่าไม่น้อย”
โม่เฟิงมองใบหน้าน้อยๆ ที่มีเหงื่อผุดเต็มใบหน้าแล้วอมยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ
“ข้ากับน้องสาวปลอดภัยดี แถมวันนี้ข้ายังโชคดีได้ผักหนามมามากมาย จริงสิข้าได้ปลามาด้วย เอ่อ… ข้าแบ่งปลาให้เพื่อนข้าได้หรือไม่”
ตงห่าวพูดกับโม่เฟิงจบ ก็หันไปถามความเห็นน้องสาวต่อ
พอเห็นนางพยักหน้าให้ ตงห่าวจึงมอบปลาสองตัวให้กับโม่เฟิง และม่านหรงไป
“มันจะดีหรือ ปลานี่คงจะจับยากมากเลยสิท่า”
โม่เฟิงเห็นสภาพสองพี่น้องที่บุกป่าฝ่าดงมีสภาพอิดโรยก็เกิดความเกรงใจขึ้นมา
“รับไปเถอะเจ้าค่ะ วันนี้พวกเราโชคดีหากแบ่งปันความสุขให้ผู้อื่นได้ นั่นก็นับว่าเหมาะสมแล้ว”
อวี้ซินกล่าวออกไปพร้อมกับรอยยิ้มที่เป็นมิตร
กะต๊าก!!! เสียงไก่ที่อยู่ในตะกร้าร้องขึ้น
“นั่นไก่ป่าหนิ ใช้ได้เลยนะตงห่าว”
โม่เฟิงกล่าวชมเพื่อนสนิท
ตงห่าวจะบอกว่านั่นไม่ใช่ฝีมือของเขา แต่น้องสาวก็ห้ามเอาไว้
อวี้ซินบอกว่าพี่ชายของนางวิ่งเร็วมาก จึงจับไก่ป่ามาได้ อีกทั้งยังมอบไข่ให้พวกเขาไปคนล่ะฟองก่อนบอกว่านางเหนื่อยมากและอยากกลับบ้านเต็มทีแล้ว
พอโม่เฟิงเข้าใจว่าพวกเขาผ่านความลำบากมามากจึงช่วยอวี้ซินเอาตะกร้ามาอุ้มไว้แล้วรีบเดินลงเขาไป
ระหว่างทางกวนม่านหรงก็ไม่ลืมที่จะขอบคุณอวี้ซิน ถึงในตอนแรกนางตั้งท่าว่าจะรอไปช่วยค้นหาอวี้ซินที่อาจจะหลงป่าก็ตาม