ตอนที่ 5 ท่านอ๋องป่วย
เซี่ยชูหลิงเดินเข้ามาในห้องโถงอีกครั้งมู่หลินเฟิงเห็นนางมาแต่ไกลเขาก็รีบลุกขึ้นแล้วเอ่ย
"เสด็จยายทรงฟื้นแล้วเวลานี้รอพี่สะใภ้อยู่ในห้องบรรทม เชิญพี่สะใภ้เข้าไปข้างในสักครู่"
เซี่ยชูหลิงรู้สึกถูกชะตากับลูกพี่ลูกน้องคนนี้เป็นอย่างมาก เธอยกยิ้มให้กับเขาพร้อมกับพยักหน้าตกลง
เมื่อเดินเข้าไปด้านในก็พบเหล่าไท่จวินกำลังหลับตาเอนกายอยู่บนเตียงนุ่ม มีแม่นมคนสนิทคอยปรนนิบัติอย่างใกล้ชิด เมื่อนางเห็นเซี่ยชูหลิงเดินเข้ามานางก็ลุกขึ้นขยับถอยออกไป
หลังจากที่เซี่ยชูหลิงเอ่ยทักทายจบเธอก็ขออนุญาตนางจับชีพจรดูอาการ พร้อมกับเปิดระบบการรักษาแล้วสแกนร่างกายของเหล่าไท่จวิน ไม่นานข้อมูลทั้งหมดก็ปรากฏอยู่ในหัวของเธอ เหล่าไท่จวินเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ เพราะอารมณ์โมโหและความรู้สึกที่ปั่นป่วนอยู่จึงเกิดอาการหัวใจวายกะทันหัน
การเข้าไปแทรกแซงการรักษาและผ่าตัดนั้นยังไม่ได้รับอนุญาตในขณะนี้ อีกทั้งเหล่าไท่จวินอายุมากแล้วจึงไม่สามารถทนได้นาน
ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงปรับไขมันในเลือดและให้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เธอหยิบไนโตรกลีเซอรีนหนึ่งเม็ดออกมาจากแขนเสื้อให้เหล่าไท่จวินอมไว้ใต้ลิ้นยานี้เห็นผลทันที
เซี่ยชูหลิงเอ่ยถามเสียงต่ำ "เหล่าไท่จวินรู้สึกเช่นไรบ้างเพคะ"
เหล่าไท่จวินเปิดเปลือกตาขึ้น ชำเลืองมองเธอและตอบอย่างเรียบง่าย "ไม่ดี"
เซี่ยชูหลิงขมวดคิ้ว "นอกจากเจ็บ หน้าอกแล้ว ท่านมีอาการอื่นบ้างหรือไม่เพคะ”
หญิงชราพูดด้วยใบหน้าบูดบึ้ง "ท่านๆ อยู่นั่น แหละแค่เสด็จยายก็ไม่อยากจะเรียกเหรอ"
เซี่ยชูหลิงชะงัก เหล่าไท่จวินจู้จี้จุกจิกเช่นนี้เลย? ที่ว่าเฒ่าชรากลายเป็นทารกนั่นคือเรื่องจริงสินะเมื่อไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตามความคิดของหญิงชราเธอจึงยิ้มพร้อมเอ่ยปากเรียก “เสด็จยาย
เหล่าไท่จวินถอนหายใจ “ดีขึ้นแล้วไม่เจ็บเลยสักนิด”
เซี่ยชูหลิงหัวเราะเบาๆ อย่างช่วยไม่ได้หยิบในโตรกลีเซอรีนที่เหลือออกมาวางไว้ข้างหมอนของหญิงชรา "นี่เป็นยาฉุกเฉินที่ออกฤทธิ์เร็ว หากเสด็จยายรู้สึกปวดจนทนไม่ได้ เพียงอมไว้ใต้ลิ้นอาการจะบรรเทา"
เหล่าไท่จวินตะคอกเบาๆ “นี่ก็แค่ให้ข้าใช้ฆ่าเวลาหรอกหรือ”
“ยาที่ใช้ทั่วไปนั้นภายในจวนคงไม่มี รอหลานสะใภ้กลับจวนแล้วจะกลั่นยาให้คนนำมามอบให้เสด็จยายเสวยให้ตรงเวลานะเพคะ”
หญิงชราจ้องมองเธออย่างดุดัน "คนอื่นจะไปรู้เรื่องอะไร ไม่กลัวว่าพวกมันจะเอายามาให้ข้ากิน มั่วซั่วหรือ? พรุ่งนี้เจ้ามามอบให้ข้าด้วยตัวเองที่จวน มีอะไรน่าอายกัน”
คำถามที่รัวมาทำให้เซี่ยชูหลิงสับสนเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเปิดปากอธิบาย เหล่าไท่จวิน หลับตาลงอย่างเหนื่อยล้าพลิกตัวไปอีกทางและ ไม่สนใจเธอ
แม่นมชราดึงแขนเสื้อเธอเบาๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ “นี่เป็นสิ่งที่อยู่ในใจของเหล่าไท่จวิน ขอให้พระชายาเข้าใจด้วยนะเพคะ"
เซี่ยชูหลิงเข้าใจได้ทันทีว่าเหล่าไท่จวินกำลังคิดอะไรอยู่ ดวงตาของเธอก็รื้นขึ้นมาชั่วขณะ ไม่รู้ว่าเจ้าของร่างเดิมไปทำความผิดใหญ่หลวงอะไรไว้ถึง ขั้นทำให้ราชวงศ์เสื่อมเสีย แต่ก็ยังทำให้ไทเฮา และ เหล่าไท่จวินยังคงปกป้อง โดยเฉพาะเหล่าไท่จวิน ที่ดูท่าจะเอ็นดูเธอมาก
จวนกั๋วกงไม่ว่าจะหมออะไรล้วนมีพร้อม แล้วจะให้เธอไปส่งยาทำไมทุกวัน?
ตั้งแต่เธอฟื้นขึ้นมาอีกครั้งโลกใบนี้ก็ช่างโหดร้ายกับเธอไม่หยุดไม่หย่อน แต่เธอกลับสัมผัสได้ถึง ความอบอุ่นจากเหล่าไท่จวินเป็นครั้งแรก เธอกลืนก้อนสะอื้นก่อนจะน้อมรับคำสั่ง
“ขอบพระทัยเหล่าไท่จวิน พรุ่งนี้หลานสะใภ้จะไปเยี่ยมที่จวนกั๋วกงอีกครั้ง วันนี้ขอทรงพักผ่อนให้สบาย"
เหล่าไท่จวินไม่พูดอะไรสักคำเซี่ยชูเหลียงเดินออกมาข้างนอก ฮองเฮาก็ตรัสถามอาการด้วยความห่วงใย
"เป็นอย่างไรบ้าง?" แม่นมเผยส่ายหัวอย่างเป็นกังวล "พูดไปก็เสียเปล่าฮองเฮาเพคะ เหล่าไท่จวินเป็นห่วงแต่เรื่องของท่านอ๋องเหยียนกับพระชายาเท่านั้น เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาพระนางก็จะมี อาการเจ็บหน้าอกจนหายใจไม่ออกตลอดเวลาดังนั้น..."
ฮองเฮาพระพักตร์เย็นชาหมุนวรกายประทับลงพระที่นั่ง
"เหยียนเอ๋อเวลานี้อันไหนสำคัญกว่าแม่คิดว่าลูกน่าจะทราบเจ้าเป็นแม่ทัพ ออกรบตั้งแต่เยาวัยบาดเจ็บสาหัสมากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เหตุใดกับเรื่องแต่งพระชายาเจ้าถึงทนไม่ได้
พระชายาแต่งเข้าจวนมากน้อยก็ต้องเชื่อฟังสามีแต่ไหนแต่ไรมาราชวงศ์หรือแม้แต่ขุนนางการออกเรือนขึ้นอยู่กับตัวเองเสียที่ไหน
เจ้าชอบพอบุตรสาวคนรองจวนเสิ่นฝ่าบาทเสด็จยายก็ยอมถอยให้เจ้าแล้ว เหตุใดเจ้าถึงยังดื้อดึงอยู่อีก"
สีหน้าของมู่หรงเหยียนเข้มลงเขาเอ่ยสั้นๆ “ต่อไปจะไม่มีแล้ว..”
ฮองเฮาดูผ่อนคลายลงจากนั้นก็หันไปยกยิ้มให้กับเซี่ยชูหลิง "ต้องขอบคุณ ทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมของพระชายา เหล่าไท่จวินถึงไม่เป็นอะไร
พอฟื้นขึ้นมาก็นึกถึง เหยียนเอ๋อเสด็จยายของเจ้าทรงพอพระทัยหลานสะใภ้คนนี้มาก ดังนั้นกลับไปเจ้าต้องดูแลนางให้ดี อีกอย่างอย่าได้หลงอนุละเลยภรรยา อะไรควรไม่ควรเจ้าน่าจะรู้เอง"
ท่าทีของมู่หรงเหยียนเวลานี้นุ่มนวลขึ้น เป็นกอง ไร้ซึ่งท่าทางเย็นชาดุร้าย ดวงตาของเขา กวาดไปที่เซี่ยชูหลิงค่อยๆ เอ่ย “ย่อมเป็นเช่นนั้นเสด็จแม่ทรงวางพระทัย”
หลังจากเดินออกมาจากพระตำหนักเฟิงหยีแล้ว รอจนรอบข้างไม่มีคนนอกมู่หรงเหยียนจึงหยุดฝีเท้า กวาดสายตามองเซี่ยชูหลิงและเอ่ยอย่างประชดประชัน “เมื่อครู่เจ้านำยาอะไรให้เสด็จยายเสวย ถึงได้เข้าข้างเจ้าเช่นนี้”
“ทำไมท่านอ๋องถึงได้เป็นคนหน้าไหว้หลังหลอกเช่นนี้ แสร้งทําเป็นแสดงความรักยิ่งทำให้หม่อมฉันกลายเป็นคนไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี"
“เท่าที่ข้ารู้” มู่หรงเหยียนก้าวเข้ามาใกล้ดวงตาของเขาลุกเป็นไฟ “คุณหนูใหญ่แห่งจวนมหาเสนาบดีไม่มี ความรู้ด้านการแพทย์เลยสักนิด นับประสาอะไร กับโรคหัวใจที่แม้แต่หมอที่มีชื่อเสียงในจวนก็ช่วย อะไรไม่ได้ เจ้ากําลังเล่นเล่ห์กลอันใด? ทั้งยัง สามารถใช้เข็มทองคำที่หายไปหลายร้อยปีได้ อย่างไร?”
“คนอื่นไม่รู้ มิได้หมายความว่าหม่อมฉันจะไม่รู้ ท่านอ๋องคงลืมไปแล้วว่าตอนหม่อมฉันอายุได้สิบสามปีถึงได้กลับมาที่เมืองหลวงแห่งนี้ ช่วงสิบปีนั้น หม่อมฉันกับท่านแม่ต้องเผชิญอะไรบ้างคาดว่า ท่านคงตรวจสอบชัดเจนแล้ว
วันพรุ่งหม่อมฉันจะไปที่จวนกั๋วกง หากท่านไม่วางใจ กลัวว่า หม่อมฉันจะคิดร้ายต่อเหล่าไท่จวิน คิดร้ายต่อท่าน ก็เชิญท่านตามมาจับตาดูได้ อย่าได้ปล่อยโอกาสให้หม่อมฉันมาตามลำพังนะเพคะ”
มู่หรงเหนียนตะคอกอย่างเย็นชา "หากมิใช่ว่าเสด็จยาย ทรงกังวลเกี่ยวกับข้า เจ้าคิดว่าข้าจะเต็มใจหรือ? ข้าให้เวลาเจ้าก่อนที่เสด็จยายจะหายดี ข้าจะไม่คิดบัญชีอะไรกับเจ้า"
เซี่ยชูหลิงจากนั้นางดหัวเราะ “ดูเหมือนว่าท่านอ๋องนี้จะ ขอร้องให้หม่อมฉันเล่นละครกับท่าน เช่นนั้นก็ขอให้ใช้ท่าทางที่ดีหน่อยเถอะ อย่าใช้ท่าทางสูงส่งเช่นนั้นกับหม่อมฉันอีกเลย”
“ล้อเล่นหรือ หรือนี่ไม่ใช่วิธีที่เจ้าใช้ขอร้องข้า? เจ้าหน้าด้านหน้าทนอยู่ในจวนของข้าก็ถือว่าข้าไว้หน้าเจ้าแล้ว หวังว่าเจ้าจะรู้จักเจียมเนื้อเจียมตัว อย่าพยายามโดยไม่จำเป็น แค่มองเจ้าข้าก็รู้สึกขยะแขยงเต็มทน"
เซี่ยชูหลิงเงยหน้าขึ้นมาหรี่ตาลง ก่อนจะฉีกยิ้มให้มู่หรงเหยียน“ท่านอ๋องท่านเองก็ป่วย ป่วยเป็นโรคลึกซึ้งถึงกระดูก โอสถอัน ใดก็ไร้ผล”
มู่หรงเหยียนชะงัก “หมายความอย่างไร?
....