ตอนที่ 5/2
“อุ๊ย! ฝ่าบาท”
“วันนี้เจ้าอยู่คนเดียวหรือ แล้วน้องเจ้าไปไหน”ทรงรับสั่งถามด้วยสุรเสียงแผ่วเบา ราวกับคนไม่มีชีวิตชีวา
“นางไม่สบายจึงขอหยุดพัก 2-3 วันเพคะ” อรสาทูลตอบ ก่อนจะก้มหน้าลง
“เจ้าก็เหมือนกัน กลับบ้านไปพักผ่อนเถอะ ทางนี้เดี๋ยวข้าให้คนของข้ามาเฝ้าแทนให้ แล้วห้ามปฎิเสธ” การรับสั่งแกมบังคับเช่นนั้นทำให้อรสาที่กำลังจะอ้าปากค้านต้องหุบปากลง และทำตามกระแสรับสั่งแม้จะเป็นห่วงพี่สาวมากก็ตาม
อรสาลุกขึ้น ย่อตัวลงคำนับก่อนจะเดินออกมา พรางคิดในใจว่า ‘ฟาโรห์องค์นี้อารมณ์แปรปรวนยิ่งกว่าฤดูกาลเสียอีก เวลาอ่อนโยนก็ทรงน่าหลงใหลมาก’ แต่แล้วเธอก็ต้องหยุดความคิดของตนเองลงและพึมพำสั่งสอนตัวเอง “ไม่ได้นะอรสา เธอห้ามคิดแบบนี้เด็ดขาด ปัดทิ้งๆๆ” ร่างบางถอนใจเฮือกใหญ่แล้วตรงกลับบ้าน
วันต่อมาอาการของพระสนมเอซาน่าทรุดลงอีก ไม่รู้สึกพระองค์เลย มีพระสนมหลายคนแวะเวียนเข้ามาเฝ้าอาการตามที่องค์ฟาโรห์รับสั่งไว้ หมอจากทั่วสารทิศถูกเรียกตัวมารักษา แต่ก็ไม่ดีขึ้นเลย ยังความร้อนพระทัยให้แก่องค์ฟาโรห์หนุ่มเป็นอย่างมาก
“เอซาน่าเจ้าลืมตามาดูข้าซิเจ้าต้องอยู่กับข้า เจ้ายังไม่มีบุตรให้ข้าเลย” อคาเมฟิสพึมพำอยู่ข้างหูพระสนมองค์โปรด พระหัตถ์ใหญ่เกาะกุมมือบางนุ่มไว้แน่นเหมือนจะส่งผ่านความรู้สึกไป
แม่ทัพกาซัสประคองภรรยาที่ร้องไห้จนไม่เป็นอันกินอันนอน ร่างกายซูบลงไปมาก “เอซาน่า เจ้าอย่าเป็นอะไรไปนะลูก ใจแม่จะขาดอยู่แล้ว”
“นาเดีย...เจ้าต้องทำใจไว้บ้าง ไม่มีอะไรที่จะอยู่ยั่งยืนหรอก แม้แต่เจ้ากับข้า” กาซัสเห็นความเป็นความตายมามาก เขาเตรียมใจเอาไว้เสมอ
“ไม่ ข้าไม่ยอมรับสิ่งใดทั้งนั้น” นาเดียยกมือขึ้นปิดหน้าร้องไห้อย่างหนัก และนั่นก้ยิ่งทำให้สีพระพักตร์ขององค์อคาเมฟิสเครียดยิ่งขึ้น พระองค์ไม่พร้อมที่จะสูยเสียหญิงอันเป็นที่รักไปในตอนนี้
ภายใต้ความมืดมิดของยามราตรีในสวนดอกไม้หลังวังมีเงาตะคุ่มๆ สองเงากำลังยื่นของบางอย่างให้แก่กัน คนยื่นสวมชุดสีดำคลุมทั้งตัว ส่วนคนรับก็ปิดตาหน้ามิดชิด
“จัดการขั้นเด็ดขาดได้เลย” คนชุดดำกล่าวเสียงกระซิบแต่แฝงด้วยความเหี้ยมเกรียม
“เจ้าค่ะ” อีกคนพยักหน้ารับ
“อย่าให้เหลือร่องรอยหลักฐานใดๆ”
“เจ้าค่ะ”
“ดีมาก ไปได้” เมื่อสิ้นเสียงของคนชุดดำ คนปิดหน้าก็เดินลัดเลาะจากไป
“อย่าโทษกันเลยนะ เจ้ามันคือก้างชิ้นใหญ่ที่ขวางทางข้า อำนาจทุกอย่างจะต้องเป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น”มุมปากเหี้ยมยกขึ้น ก่อนที่ร่างนั้นจะเดินหายเข้าไปในความมืดราวกับปีศาจร้าย
เช้านี้พระสนมเอซาน่ากระอักเลือดออกมามากกว่าทุกครั้ง วังทั้งวังวุ่นกันไปหมด โดยเฉพาะองค์ฟาโรห์ นั่งไม่ติดที่ประทับเลย เป็นห่วงพระสนมเป็นอันมาก แม่ทัพกาซัสและท่านหญิงนาเดียเองก็ร้อนใจ กระวนกระวายไม่แพ้กัน
“เอซาน่า เป็นอย่างไรบ้างลูก ทนหน่อยนะเดี๋ยวเจ้าก็หาย” ท่านหญิงนาเดียยิ้มทั้งน้ำตาให้กับบุตรสาวพร้อมกับปลอบประโลม
“ท่าน...แม่..ข้าอยาก...เจอ..น้องข้า..” ริมฝีปากบางที่ซีดเสียวเปล่งเสียงออกมาแทบจะไม่ได้ยินเลย ขาดหายเป็นช่วงๆ
“เดี๋ยวพ่อให้คนไปตามมาให้นะ”กาซัสบอกบุตรสาวแล้วหันไปเรียกทหารให้ไปตามอรสาและกาญวดีที่อยู่ที่บ้านให้มาที่นี่อย่างด่วนที่สุด ป่านนี้พวกนางคงยังไม่รู้หรอกว่าพี่สาวตนเองอาการแย่ลงมาก
ทางด้านบ้านของแม่ทัพกาซัส อรสาเพิ่งลุกจากที่นอนเพราะเธอไม่ได้นอนเลย นั่งคิดถึงเรื่องของสนมเอซาน่าทั้งคืน
ก๊อก ก๊อก!
“นายหญิงน้อยคะแย่แล้วค่ะ...แย่แล้ว” ราเซสเปิดประตูเข้ามาอย่างแรง น่าตาตื่นยืนหอบแฮ่กๆๆ
“มีอะไรราเซส ค่อยๆ เดินมาไม่ได้หรือไง”อรสาเลิกคิ้วสูง
“พระสนม...เอซาน่า พระอาการแย่ลง เจ้าค่ะ และต้องการพบ นายหญิงน้อยทั้งสองค่ะ”
สาวใช้พูดไปหอบไป
“อะไรนะ! ” อรสาตกใจมากรีบคว้าผ้าคลุมมาคลุมชุดนอนไว้ แล้วรีบก้าวออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว มาเจอกับกาญวดีที่ประตูทางออกพอดีซึ่งมีเพียงชุดคลุมที่สวมทับชุดนอนเท่านั้น ทั้งสองไม่รอช้าวิ่งออกไปที่คอกม้า แล้วควบม้าออกไปอย่างรวดเร็วด้วยความร้อนใจ ดีที่พ่อบุญธรรมของเธอสอนให้พวกเธอขี่ม้าเป็น สองคนรับใช้สาวหันมามองหน้ากันเหมือนกับลืมบอกอะไรนายสาวไปอีกอย่าง
“ราเซส ข้าว่านายหญิงน้อยของเราวันนี้ดูแปลกๆ นะ แต่คิดเท่าไรก็คิดไม่ออก” อามิยะทำท่า
คุร่นคิด แต่ราเซสนึกออกแล้วถึงอ้าปากค้าง “อามิยะ นายหญิงน้อยเรา..”
“ลืมปลอมตัว ” ทั้งสองคนพูดพร้อมกันแล้วยืนตาค้างอยู่เป็นนาน แต่ทุกอย่างมันสายไปแล้ว
สองสาวไทยขี่ม้าเหมือนกับแข่งขันกัน ตลอดทางมีแต่ชาวบ้านหันมามองแล้วก็อ้าปากค้างกันเป็นแถวๆ เมื่อมาถึงหน้าประตูวังก็ผูกม้าไว้แล้ววิ่งแข่งกันเข้าไปที่ตำหนักพระสนมเอซาน่า เหล่าทหารและนางกำนัลทั้งหลายจ้องมองสองสาวตาไม่กระพริบ แต่สองนางไม่ทันได้สังเกตสิ่งใดนอกจากไปให้ถึงห้องผู้เป็นพี่ให้เร็วที่สุด