ตอนที่ 6
จวนสกุลหรง
องค์ชายเก้ามองนางครู่หนึ่งและตอบ
“คือว่าข้า….ได้สิ เจ้ารีบแต่งตัว เมื่อฟ้าสางแล้วข้าจะไปส่งเจ้าที่จวน”
“ขอบพระทัยองค์ชาย อ้อ หม่อมฉันมีเรื่องจะรบกวนพระองค์อีกเรื่องหนึ่งเพคะ”
“เรื่องใดงั้นหรือ”
บนรถม้า
“เหตุใดองค์ชายจึงมาอยู่กลางป่าเขาเช่นนี้เพคะ”
“เจ้าอยากรู้จริงๆ งั้นหรือ”
เว่ยอิงหันไปมองหน้าที่จริงจังของเขา แม้ว่าเขาจะหล่อเหลาเพียงใดแต่สำหรับนาง รังสีความอันตรายและความอำมหิตจากตัวหมิงตงหยางนั้นก็น่ากลัวมากพอที่เว่ยอิงจะเลือกถ้อยคำที่จะคุยกับเขา ประสบการณ์จากชาติที่แล้วทำให้นางรู้ว่าสิ่งใดควรพูดหรือไม่ควรพูด
“ไม่เพคะ หม่อมฉันเพียงคิดว่าองค์ชายคงนึกสนุกอยากออกมาล่าสัตว์นอกเมืองจึงได้พบหม่อมฉันเข้าก็เท่านั้น”
“งั้นหรือ ข้ามาล่าสัตว์ แล้วเหตุใดจึงมีค่ายในป่าทึบเล่า”
“นั่น…หม่อมฉันมิได้อยากทราบเพคะ แต่หม่อมฉันให้คำสัตย์ สิ่งที่หม่อมฉันเห็นจะไม่บอกใครเด็ดขาดเพคะ”
“หืมม ข้า…ยังไม่ทันจะพูดสิ่งใดเลยเหตุใดเจ้าเร่งร้อนตัวเช่นนั้น”
“ก็พระองค์….เอ่อ องค์ชายอย่าทำเช่นนี้สิเพคะ”
เว่ยอิงค่อยๆ ขยับตัวหนีเขาออกมาเมื่อเขายื่นหน้าเข้ามาใกล้เขา องค์ชายเก้านึกแปลกใจกับสตรีตรงหน้า เมื่อคืนตอนนางถูกพิษยังประกาศกร้าวว่าจะรับผิดชอบเขาและยั่วยวนดั่งจิ้งจอกน้อย แต่บัดนี้กลับเหนียมอายเวลาเขาอยู่ใกล้จนเขารู้สึกอยากแกล้งนาง
“เจ้ายังจำคำพูดเจ้าเมื่อคืนได้หรือไม่”
“คำพูด หม่อมฉันพูดสิ่งใดไปหรือเพคะ”
“ก็เจ้าจูบข้าและบอกว่า…จะรับผิดชอบข้าอย่างไรเล่า”
เว่ยอิงทำหน้าตาตกใจกึ่งสยองเมื่อหันไปมองหน้าตงหยางที่นั่งใกล้ๆ และพรางยิ้มไปด้วยราวกับผู้ชนะ เว่ยอิงจำไม่ได้เลยสักนิดว่าเมื่อคืนนี้หลังจากขึ้นมาจากสระนั้นแล้วนางได้ทำสิ่งใดลงไปบ้าง
“องค์ชายเพคะ อภัยที่หม่อมฉันอาจจะเสียสติไปเพราะถูกพิษ อาจจะพูดจาเหลวไหลไปบ้าง…”
“แต่ถึงอย่างไรเราก็เป็นคู่หมายกันอยู่แล้ว ข้าจำได้ว่าข้าบอกไปว่าหลังจากออกศึกชนะกลับมาแล้ว ข้าจะไปทำเรื่องสู่ขอและหมั้นหมายกับเจ้า”
“แต่ว่าหม่อมฉัน….องค์ชายเพคะ เรื่องนี้กะทันหัน อ้อ ข้างหน้านั่นเข้าเมืองแล้ว เราเลิกคุยเรื่องนี้กันก่อนนะเพคะ หม่อมฉันจะถึงจวนแล้ว อย่างไรก็ขอบคุณที่กรุณามาส่งเพคะ”
“อากาศหนาว ชุดของเจ้าก็บางนัก มานี่ เอาผ้าคลุมข้าสวมทับเอาไว้”
“มะ..ไม่ต้องก็ได้เพคะ”
“คลุมไปเถอะ อย่าปฏิเสธเลยเมื่อลงไปแล้วก็จำเอาไว้ อย่าปล่อยให้ผู้ใดรังแกเจ้าอีก”
“ทราบแล้วเพคะ ขอบพระทัยองค์ชายเก้า”
จวนสกุลหรง
“เจ้าว่าอย่างไรนะ นางหายไปงั้นหรือ”
“ขอรับฮูหยิน ตอนพวกข้ากลับไป คุณหนูไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว ที่สำคัญคือพวกโจรนั่นก็….”
ฮูหยินรองหรงไป๋รู้สึกกลัวขึ้นมาจนนางต้องรีบถาม
“ว่ามาสิ!! พวกเจ้าจะมัวอ้ำอึ้งอะไรอยู่เล่า”
“ตอนข้าไป โจรที่เราจ้างมาพวกนั้น ตายหมดแล้วขอรับ”
“ตะ…ตายงั้นหรือ เป็นผู้ใดที่ฆ่าพวกมันกัน แล้ว…แล้วเช่นนี้มิใช่ว่านาง…นางจะรอดมาได้ หากว่านางรอดมาได้จะทำเช่นไรกัน เหตุใดพวกเจ้าถึงไม่ได้เรื่องเช่นนี้ สตรีแค่คนเดียวก็ยังจัดการไม่ได้ ไร้ประโยชน์”
“ฮูหยินอย่าได้กังวล ตอนพวกข้าพานางไปนางหมดสติย่อมไม่รู้เรื่อง หากว่าคุณหนูรอดมาได้จริงๆ คิดว่าคงจำอะไรไม่ได้ขอรับ”
“แต่เจ้าบอกว่าตัวนางไม่ได้อยู่ที่นั่น ถ้าเช่นนั้นเป็นไปได้หรือไม่ว่านางจะตายไปแล้ว”
“คุณหนูสามกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!!”
“คุณหนูกลับมาแล้ว……”
เสียงจอกชาในมือตกแตกเกลื่อนพื้นเมื่อหรงเว่ยอิงเดินลงมาจากรถม้าและเดินกลับมาที่จวนของนาง เมื่อถึงหน้าจวน หรงฮูหยิน ฟางเซียนและคนอื่นๆ ต่างก็มายืนรอที่นอกจวน อาเฟยและลี่เฟยรีบวิ่งเข้ามาหานางด้วยท่าทางดีใจ
“เว่ยอิงเจ้ากลับมาแล้ว เป็นเช่นไรบ้างปลอดภัยดีหรือไม่บาดเจ็บหรือไม่ ข้ามาส่งอาเฟยที่จวนคนที่จวนบอกว่าเจ้ายังไม่กลับ”
“คุณหนู ท่านกลับมาแล้วข้าตกใจแทบแย่เลยเจ้าค่ะ ท่านไม่บาดเจ็บใช่หรือไม่”
เว่ยอิงมองดูสองคนข้างหน้า ความทรงจำของสองคนนี้ผุดขึ้นมา นางเป็นสองคนที่คอยอยู่เคียงข้างเจ้าของร่างเป็นเพื่อนที่ดีและคอยดูแลเอาใจใส่เว่ยอิงจนวันสุดท้ายของชีวิตเว่ยอิง
“พวกเจ้าอย่าได้ห่วง ข้าไม่เป็นไร”
“พี่สาม ท่านออกจวนไปเมื่อวานแต่พึ่งกลับมาวันนี้ คิดว่าน่าจะมีคำอธิบายให้พวกข้าได้นะ ตายจริง ท่านแม่เจ้าคะ นั่นมัน ผ้าคลุมของบุรุษหรือไม่”
หรงฮูหยินปรับสีหน้าที่ซีดเซียวเมื่อพบเว่ยอิงยืนอยู่หน้าจวน สายตาของเว่ยอิงที่มองสองแม่ลูกนั้นทำเอาพวกนางขนหัวลูกเป็นบางครั้งเพราะปกติเว่ยอิงจะไม่เคยกล้าสู้หน้าพวกนางสองคนเช่นนี้ นี่ช่างแตกต่างกับเว่ยอิงก่อนหน้านั้นจริงๆ แต่ความสงสัยนั้นก็หายไปทันที
“น้องสี่ เหตุใดเจ้าจึงใส่ร้ายข้าเช่นนั้น เหตุใดเจ้าพูดดังเหมือนกับว่าเรื่องนี้เป็นแผนการที่ลักพาตัวข้าไป ราวกับว่าเจ้ารู้ดีเช่นนั้นแหละ”
ทุกสายตาหันกลับมามองหน้าฟางเซียนที่ยืนตกใจอยู่เมื่อเว่ยอิงหันมาแว้งกัดนางทั้งๆ ที่นางไม่ทันตั้งตัว
“มะ…ไม่ใช่นะ พวกเจ้ามองอะไรกันข้าเพียงเห็นว่าพี่สามหายไปจากบ้านทั้งคืนไม่กลับ พอกลับมาก็เดินมาถึงหน้าจวน ข้าเพียงสงสัยไม่ได้งั้นหรือ”
“น้องสี่เจ้าสงสัยข้าได้ เพียงแต่เหตุใดไม่ถามข้าดีๆ ข้าจะได้ตอบเจ้าได้ เหตุใดถามราวกับว่าข้าจะไปทำเรื่องไม่ดีข้างนอก นี่มันช่าง….หากข้าไม่รู้จักเจ้าคงคิดว่าเจ้ากับท่านแม่เจ้าวางแผนจัดฉากเพื่อให้ร้ายข้านะ”
ชาวบ้านที่รายล้อมอยู่ต่างเริ่มมองไปยังสองแม่ลูกที่ยืนหน้าจวน ที่หรงฮูหยินและฟางเซียนตั้งใจเอะอะอยู่หน้าจวนก็เพราะตั้งใจให้คนมามุงดูกันมากๆ และให้เว่ยอิงอับอายจนไม่สามารถมีหน้าจะหมั้นหมายกับองค์ชายเก้าได้
“เจ้าหุบปากนะ เจ้าทำเรื่องเหลวแหลกอยู่ข้างนอกมันเกี่ยวอะไรกับข้ากับท่านแม่ อย่าปากพล่อยนะหรงเว่ยอิง”
“น้องสี่ ปกติเจ้ากับแม่เจ้าจะทำร้ายข้าเช่นไรก็ได้ ให้ข้ากินข้าวที่เหลือจากโต๊ะอาหาร หรือสวมชุดที่เจ้าใส่จนเบื่อและเก่าจนแมลงสาบแทะแล้วก็ได้ แม้ว่าเรือนของข้าจะเป็นเพียงห้องที่เหลือจากห้องคนใช้ที่ผูกคอตายไปแล้วข้าก็ไม่เคยบ่น แต่การมากล่าวหาข้าเช่นนี้ออกจะรุนแรงไปหน่อยนะ”
“อะไรนะ นี่นะหรือการเลี้ยงดูคุณหนูสูงศักดิ์ เหตุใดฮูหยินรองช่างโหดเหี้ยมปานนี้ เป็นถึงภรรยาท่านโหวเลี้ยงบุตรีของภรรยาเอกเช่นนี้น่ะหรือ ทุเรศสิ้นดี”
“นางเป็นแม่เลี้ยงที่หวังเอาแต่ผลประโยชน์ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าบุตรสาวของภรรยาเอกจะมีความเป็นอยู่เยี่ยงทาสคนหนึ่ง นางทำเกินไปจริง”
“ไร้คุณธรรมไม่มีมโนธรรม ดูชุดเสื้อผ้าที่พวกนางใส่สิ จะอวดผู้ใดกัน สมบัติทั้งหลายนั่นก็เป็นของภรรยาเอกท่านโหว นางเพียงมาทีหลังและยักยอกเอาของเหล่านั้นไปจากคุณหนูสามหน้าด้านๆ ทุเรศสิ้นดี”
ฮูหยินรองโกรธจนตัวสั่นเมื่อถูกก่นด่าโดยไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้ ไม่คิดว่าเมื่อหรงเว่ยอิงกลับมาจะทำท่าทางเช่นนี้ นางมองไปที่เว่ยอิงที่ทำท่าราวกับหมดแรงโดยมีลี่เฟยและลู่จิวประคองเอาไว้
“หรงเว่ยอิง เข้าจวนไปกับข้าเดี๋ยวนี้ เรื่องนี้ข้าจะสอบสวนแล้วลงโทษเจ้า”
“พี่สาม ท่านทำตัวเหลวแหลกเช่นนี้ เรื่องหมั้นหมายกับองค์ชายเก้าก็คงเป็นเพียงฝันเท่านั้นแหละ”
“เรื่องนี้เป็นเรื่องของสกุลหรง คนภายนอกไม่ต้องมาสอด หรงเว่ยอิงกลับเข้าไปในจวนข้าจะให้บทลงโทษแก่เจ้าเอง!!”
“ไม่ทราบว่าฮูหยินรองสกุลหรงจะลงโทษผู้ใดกัน!!”