ตอนที่4(สถานที่แปลกตาแต่เหมือนคุ้นเคย)
ภูดาว…..คือชื่อหมู่บ้านเล็กๆที่ตั้งอยู่ใจกลางระหว่างภูเขาสองลูกที่มีชื่อว่า ภูเขาภูและภูเขาดาวที่มีรูปร่างคล้ายดาวห้าแฉก ชาวบ้านจึงเรียกขานภูเขาสองลูกที่อยู่ใกล้กันว่าภูเขาภูดาว ที่หมู่บ้านแห่งนั่นร่ำลือกันว่ามีนายพรานเก่งกาจอยู่หลายนับสิบคน แต่นายพรานพวกนั้นไม่มีใครสามารถฆ่าเสือสมิงใหญ่ตัวนั้นได้เลยสักคน……ยิ่งมันได้กินนายพรานที่มีวิชาอาคมแก่กล้ามากเข้าไปเพียงใด วิชาอาคมในตัวมันก็จะแกร่งกล้ามากขึ้นเท่านั้น…
เสือสมิง…เสืออาคม คือคนที่เล่นของคาถาอาคม ทั้งไสยเวท ไสยศาสตร์ มนต์ดำ คุณไสย ทำผิดครูและผิดกฏต้องห้ามจนวิชาเหล่านั้นเข้าตัวทำให้กลายเป็นสัตว์เดรัจฉาน มันจะปลอมแปลงเป็นมนุษย์ที่มันฆ่าได้ทุกคน มันจะกัดกินเลือดกินเนื้อของมนุษย์เพื่อเพิ่ม พละกำลังและพละกำลังคุณเวชของมันที่อยู่ในตัวให้แกร่งกล้าขึ้น
กระสุนธรรมดาทำอะไรมันไม่ได้ มันไม่ตาย เพราะหนังมันเหนียว มันมีของต่ำมากมายอยู่ในตัว
สองสิ่งที่จะฆ่ามันได้ก็คือ….กระสุนปลุกเสกจากคนที่มีคาถาอาคมแกร่งกล้า และมีดหมอปลุกเสกนั่นเอง
…………………………………………..
พุทธศักราช2466
เช้าวันต่อมา
หมู่บ้านภูดาว
บ้านของพรานเข้ม
ดาวเหนือ…..
“อืมมมม…”ผมครวญครางออกมาก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้นมาเมื่อสายตาไปกระทบเข้ากับแสงแดดยามเช้าที่ส่องแสงเข้ามาจากทางหน้าต่างด้านข้างของผม
ทำให้ผมมองไปรอบๆห้องเล็กสี่เหลี่ยมแห่งนี้ ด้วยความแปลกใจกับสิ่งของที่ผิดแปลกไป
ไม่มีเฟอร์นิเจอร์เครื่องใช้ไฟฟ้า ไม่มีพัดลมไม่มีเครื่องปรับอากาศไม่มีที่นอนนุ่มนิ่มๆมีเพียงแค่หมอนอิฐใบเดียวกับเตียงนอนไม้ไผ่หรือที่เขาเรียกกันว่าแคร่ที่ผมกำลังนอนอยู่แค่นั้น
ห้องนี้โล่งมาก
“โอ้ย!”ผมยันตัวลุกขึ้นแต่ก็รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดที่หน้าท้องของผม ทำให้ผมรีบก้มหน้าลงไปดูทันที
ก็ต้องขมวดคิ้วออกมา กับสิ่งที่อยู่บนร่างของผมในตอนนี้ มันคือผ้าหลายสีผืนหนึ่งกำลังพันรอบเอวสอบของผม และด้านในผ้านี้ก็คงจะเป็นบาดแผลของผมเป็นแน่
“นี่เรา…ยังไม่ตายใช่ไหม?”ผมพึมพำออกมาไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจเพราะตอนนี้ในหัวของผมมันตื้อไปหมด
เหตุการณ์ก่อนหน้าที่ผมจะดับวูบลงไป คือร่างของไอ้ปลิวที่โดนเสือโคร่งใหญ่ตัวนั้นกัดกินจนศีรษะของมันหลุดกระเด็นออกมา เลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูดขึ้นไปทั่วบริเวณแห่งนั้น
พรึบ
“มันเกิดอะไรขึ้น….”
“เรารอดพ้นจากเสือตัวนั้นมาได้ยังไง?”ผมพึมพำต่ออย่างต้องการหาคำตอบให้ตัวเอง ผมขมวดคิ้วจนจะผูกกันเป็นปมอยู่แล้วแต่ก็ยังคิดอะไรไม่ออกสักที
แต่สิ่งเดียวที่ผมจำได้ คือผู้ชายหน้าคมเข้มหล่อเหลาจมูกโด่งนัยน์ตาสีเหลืองร่างกายกำยำเต็มไปด้วยหมัดกล้ามที่แกร่งแข็งที่ปกป้องและกอดผมจนทำให้ผมรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก
เขาเป็นใครกันนะ แต่เหมือนผมจะคุ้นเคยกับเขามานานแล้ว นานมากๆแล้ว
พรึบ
“ที่นี่ที่ไหนกันนะ…”ผมพึมพำขึ้นพร้อมกับลุกขึ้นเดินไปตามพื้นไม้เรื่อยๆเพื่อจะออกไปที่หน้าประตูไม้ไผ่บานตรงหน้าของผม มือก็กำแผลตรงที่รู้สึกเจ็บไปด้วย
พรึบ
แอดดดดดดด
ผมเอื้อมมือไปเปิดประตูพร้อมกับชะโงกหน้าออกไปดูด้านนอกก็ต้องแปลกใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าผม หมู่บ้านหลายๆหลังที่เป็นบ้านเรือนทำจากไม้มุ่งหลังคาด้วยหญ้าคาผู้คนเดินกันเพ่นพ่านไปหมด ผู้ชายบางคนไม่ใส่เสื้อ บางคนใส่เสื้อ ผู้หญิงก็นุ่งผ้าถุงเสื้อแขนสั้นส่วนผู้หญิงสาวก็นุ่งเสื้อแขนตุ๊กตากับผ้าถุง
ทำให้ผมขมวดคิ้วงุนงงกับการแต่งกายที่ไม่เหมือนที่ผมเคยเห็น การแต่งกายชาวบ้านแบบนี้ มันเหมือนเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน
ใช่….สถานที่แห่งนี้…ผมเคยเห็น….ผมคุ้นตาและคุ้นเคยกับมัน…ผมเคยฝันเห็นบ่อยๆ
พรึบ
“โอ้ย!”ผมร้องเสียงหลงที่รู้สึกหน้ามืดกระทันหันทำให้เสียการทรงตัวกำลังจะล้มหงายหลัง
“เห้ย…ระวัง!!”เสียงเข้มร้องอุทานขึ้นอย่างตกใจพร้อมกับเสียงฝีเท้าหนักๆที่วิ่งมารับร่างของผมไว้อย่างไวและได้ทันเวลา
พรึบ
“เป็นอะไรไหม?”เสียงทุ้มเอ่ยถามผมด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ผมที่รับรู้ได้ว่าผมกำลังอยู่ในอ้อมแขนแกร่งของเจ้าของเสียงที่เอ่ยถามผมก็ค่อยๆลืมตามามองหน้าผู้ชายคนตรงหน้า
ใบหน้าเรียวเล็กหน้าตาคมเข้มนัยน์ตาสีดำแต่แวบหนึ่งเหมือนเป็นสีเหลือง จมูกโด่งใบหน้าของเราสองคนอยู่ใกล้กันมาก มากจนผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่กำลังเป่ารินรดใบหน้าของผมอยู่
ลมหายใจของเขา หอมดีจัง
เราสองคนเหมือนตกอยู่ในห้วงแห่งภวังค์ทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆตัวเหมือนหยุดแน่นิ่งไปเหมือนเวลาหยุด เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างหยุดหมด
แต่สิ่งที่กำลังเต้นรัวเร็วอยู่ในตอนนี้คือ หัวใจของผมและของเขาคนนี้
พรึบ
“เอ่อ…เอ็งไม่เป็นไรใช่ไหม?”เหมือนคนร่างหนาจะได้สติก่อนผมเขาดันร่างของผมให้ลุกขึ้นยืนและเอ่ยถามผมเสียงเข้มพร้อมกับเสมองไปทางอื่นใบหน้าแดงก่ำอย่างคนที่กำลังเขินอาย
ทำให้ผมยิ้มกรุ้มกริ่มขึ้นมา คนนี้แหละที่เป็นเจ้าของอ้อมกอดที่อบอุ่นที่กอดผมในตอนที่ผมกำลังฝันร้ายอยู่เมื่อคืนนี้
“ข้าว่าเอ็งไปนอนพักก่อนเถอะ…จะรีบออกมาทำไม…”
“พอดี…ผมหิวน้ำและก็หิวข้าวนะครับ…”ผมเอ่่ยบอกเขาไป เขาก็มองหน้าผมแต่ก็แค่แวบเดียวก่อนจะแปรเปลี่ยนมองไปทางอื่น
“งั้นก็ไปนั่งรอที่เอ็งนอนก่อน..เดี๋ยวข้าจะไปเอาน้ำกับข้าวมาให้กิน…”เสียงเข้มเอ่ยบอกผมแต่ก็ยังไม่ยอมหันมามองหน้าผมอยู่ดี
“ขอบคุณครับ…”ผมเอ่ยตอบเขาพร้อมกับมองคนตรงหน้าที่ไม่สบตาผมอยู่ด้วยสายตาเอ็นดู ผู้ชายคนนี้น่ารักจังวะ หล่อเข้มแต่มองขี้เขินจัง น่ารักโคตรๆ^_^
ตัวโตซะเปล่า ขี้เขินชะมัด^_^
ผมเดินพาร่างกายที่อิดโรยของตัวเองกลับไปนั่งลงบนเตียงไม้ไผ่ที่ผมใช้นอนพักก่อนตามเดิมอย่างช้าๆพร้อมกับสอดส่องสายตามองไปรอบๆห้องแห่งนี้ ห้องที่โล่งเปล่า และบ้านหลังนี้ก็มีเพียงแค่ห้องนี้เท่านั้น จะเรียกว่าบ้านก็ไม่เชิงมันเหมือนกระท่อมที่ใช้นอนปลายนามากกว่า
ตึกๆๆๆ
ผมหันไปมอยังร่างหนาที่เดินเปลือยกายท่อนบนเข้ามาในห้องนอนพร้อมกับในมือถือถาดไม้สานเดินมุ่งตรงมาหาผมด้วยสีหน้าเรียบเฉย
พรึบ
เขาวางถาดสานลงตรงด้านข้างของผมก่อนจะนั่งลงข้างๆผมบนแคร่ไม้ไผ่
“กินซะสิ…”
“ขอบคุณครับ….”
“ที่นี่เป็นบ้านของคุณหรือครับ?”ผมเอ่ยถามเขาไปอย่างสงสัย ผู้ชายร่างหนารูปร่างกำยำผิวแทนก็หันมามองหน้าผม
“ใช่…นี่บ้านข้า…ข้าอยู่คนเดียว…”เขาตอบผมมา ผมก็พยักหน้าเข้าใจก่อนจะเอื้อมมือลงไปมองอาหารในถาดสานที่เป็นจานกระเบื้องที่ผมไม่คุ้นตาวางอยู่หนึ่งจานและด้านข้างเป็นกระติบใส่ข้าวเหนียว ผมก็เงยหน้าขึ้นไปมองคนที่ข้างๆที่เห็นว่าเขามองไปทางอื่นอยู่โดยไม่สนใจผม
ผมก็ยิ้มกริ่มออกมาก่อนจะลงมือปั้นข้าวเหนียวจิ้มกับอาหารอะไรสักอย่างคล้ายๆลาบหมูแต่มันไม่ใช่เนื้อหมู แต่มันอร่อยกว่า
“ว่าแต่…คุณชื่ออะไรเหรอครับ?”
“ข้าชื่อเข้ม…”
“ผมชื่อดาวเหนือนะครับ…เรียกเหนือเฉยๆก็ได้ครับ^_^”ผมเอ่ยแนะนำตัวกับเขากลับไป พี่เข้มก็หันมามองหน้าผมแวบหนึ่งด้วยแววตาสั่นไหวก่อนจะรีบหันกลับไปมองทิศทางอื่น
“ทำไมผมรู้สึก…คุ้นเคยกับพี่จัง…”
“เอ็งรู้ได้ยังไงว่าข้า…อายุมากกว่าเอ็ง?”เขาเอ่ยถามผมกลับมาอย่างสงสัย ใบหน้าหล่อจ้องผมเขม่น ผมก็คลี่ยิ้มบางๆให้เขาก่อนจะเคี้ยวข้าวเหนียวในปากอย่างเอร็ดอร่อยและไม่ยอมตอบคำถามพี่เข้มไป
ก็ผมพอใจที่จะเรียกเขาแบบนี้^_^