ตอนที่ 11 เรื่องเล่า
เหยาซื่อพาคนจำนวนไม่น้อยมายังประตู ใหญ่เมื่อเห็นว่าหลินลู่หยุนเข้าประตูใหญ่มาแล้ว และ “ชายผู้นั้น"มิได้ปรากฏกายด้วย ดังนั้นจึงสั่งเสียงดังทันทีว่า "ชายชู้ผู้นั้นคงยังไป ได้ไม่ไกลนักจับตัวมาให้ข้า! "
บ่าวรับใช้ไปเปิดประตูและรีบวิ่งออกไป มีเพียงคนรับใช้ที่เฝ้าประตูยืนก้มหน้า ด้วยความเกรงกลัวไม่กล้าพูดอะไรและไม่ได้ตามออกไป
คนพวกนี้ไม่ได้ตั้งใจจะไปหาเรื่องผู้ใดใช่ ไหม? หลินลู่หยุนขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ มองดูเหยาซื่อที่ยืนอยู่ด้านหน้า รู้ดีว่าวันนี้นางจะต้องมาหาเรื่องตนเป็นแน่
"เหยาอี๋เหนียงนี่ท่านกำลังทำอะไร? "
"เมื่อครู่มีคนเห็นว่าเจ้าและชายชู้แอบนัดพบกัน" เหยาชูเฟิงไม่ปิดบัง รีบเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียง แดกดัน “ข้าว่าแล้ว เหตุใดจึงปล่อยวางองค์รัชทายาทได้ ที่แท้ก็มีที่เกาะแกะใหม่นี่เอง เจ้านี่ช่างหน้าไม่อายยิ่งนัก!"
หลินลู่หยุนยกคิ้วสูงยังไม่ทันได้โต้แย้งเหยาซูเฟิงก็เอ่ยเสียงดัง
“เวลานี้ท่านพ่อของเจ้ายังไม่กลับ ในฐานะที่ข้าเป็นฮูหยิน แน่นอนว่าต้องรับผิดชอบตามจับชายชู้ผู้นั้น เพื่อส่งตัวให้ท่านพ่อของเจ้าจัดการ! "
เมื่อเห็นหน้าที่ไม่ยี่หระของเหยาชูเฟิงที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจแล้ว หลินลู่หยุนกลับรู้สึกขบขันยิ่งนัก “ชายชู้” พูดออกมาได้เต็มปาก “ชายชู้หรือ? ข้ายังไม่ได้หมั้นหมายยังไม่ได้ออกเรือนจะมาเรียกว่าชายชู้ได้อย่างไรกัน
แต่หากเหยาซื่อยังคิดว่าจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านไปเช่นนั้นข้าขอแนะนำให้ท่านรีบตามไปจับชายชู้คนนั้นเสีย เวลานี้เขายังอยู่ด้านนอกไปได้ไม่ไกลนัก! "
เนื่องจากเหยาชูเฟิงต้องการที่จะหาเรื่อง เช่น นั้นนางจึงไม่คิดที่จะหยุดเป็นแน่บางทีหากเหยาซื่อคนนี้เห็นว่าชายผู้นั้นเป็นใครแล้วมีหรือจะกล้าจองหองเช่นนี้
เซ่อเจิ้งอ๋องมู่หรงหมิงเป็นที่ “เลื่องลือ” ทั่วทั้ง เมืองหลวงตลอดจนเขตทางเหนือ ต่างรู้กันถึง ความเย็นชาโหดเหี้ยม ผู้คนต่างหลีกเลี่ยง
แต่สมองหมูอย่างเหยาซื่อ คาดไม่ถึงว่าจะกล้าที่จะท้าทายเช่นนี้?
เมื่อเห็นสีหน้าของหลินลู่หยุนก็อดไม่ได้ที่จะ ขบคิด หรือว่านังสาวใช้จะมองพลาดรายงา นมั่วซั่ว?
ในขณะที่นางเหยาซื่อกำลังลังเลอยู่นั้น คนรับใช้ที่ตามจับชายชู้ได้วิ่งกลับเข้ามาพร้อมพูดกับนางว่า “ฮูหยิน พวกข้าไล่ไปตามถนนฉางอัน แต่ไม่เจอชายที่มาส่งคุณหนูสามเลยขอรับ”
คนรับใช้ผู้หนึ่งกล่าวว่า “แต่ทว่า ข้าน้อยพบ เซ่อเจิ้งอ๋องมู่หรงหมิงแทนขอรับ...….…..."
ดังนั้น จึงเอ่ยออกมาด้วยความงุนงง
“เซ่อเจิ้งอ๋อง? มู่หรงหมิง?"
เหยาซื่อขมวดคิ้วด้วยความประหม่า ไม่พูด มากพลางโบกมือ “ช่างเถอะ พวกเจ้าไปได้"
หลินลู่หยุนถอนหายใจส่ายหน้าช้าๆจากนั้นก็เดินกลับไปยังเรือนไผ่ของตน เหยาซื่อเองก็ได้เพียงมองตามนางไม่ได้รั้งไว้ได้แต่รู้สึกแปลกใจพลางพูดกับตนเองขณะเดินอยู่ “บังเอิญอะไรเช่นนี้?"
หลินลู่หยุนไม่ได้สนใจสองแม่ลูกนั้นอีก ทันทีที่นางถึงเรือนไผ่โตวโตวที่รอคอยอย่างใจจดจ่อ ทันทีที่เห็นคุณหนูของนางโผล่มาก็ก็รีบวิ่งเข้าไปไถ่ถาม
"เหตุใดคุณหนูถึงได้ไปนานเช่นนี้เจ้าคะ แล้วท่านหิวหรือไม่?"
หลินลู่หยุนนั่งลงตรงโต๊ะโดยมีโตวโตวเทน้ำชาให้ นางโบกมือก่อนจะยกน้ำชาขึ้นมาจิบ "พอดีข้าไปเดินตลาดมาน่ะ แล้วก็พอดีว่าหมิงอ๋องเลี้ยงข้าวข้าแล้วอาหารวันนี้เจ้าก็ยกไปกินเถอะ"
โตวโตวเบิกตากว้าง ขยับร่างเข้ามา "คุณหนู คุณหนูจะบอกว่า เซ่อเจิ้งอ๋องเลี้ยงข้าวคุณหนูอย่างนั้นหรือเจ้าคะ?"
"อืม ใช่" หลินลู่หยุนพยักหน้า
"คุณหนูดูผิดหรือไม่เจ้าคะ ว่าใช่เซ่อเจิ้งอ๋อง มู่หรงหมิงหรือเป็นองค์ชายอื่นปลอมตัวมา?"
หลินลู่หยุนวางถ้วยน้ำชาลง ยื่นนิ้วไปดีดหน้าผากโตวโตวหนึ่งที "เลอะเทอะ ยังมีใครใจกล้าปลอมตัวเป็นอ๋องอีก เป็นหมิงอ๋องจริงๆ"
"อ่า..คุณหนูแต่ปกติแล้วเซ่อเจิ้งอ๋องไม่เสด็จไปที่ใดกับใครง่ายๆนะเจ้าคะ ขนาดคุณหนูตระกูลเสิ่นที่เป็นเพื่อนเล่นตั้งแต่เด็กของท่านอ๋องยังเข้าใกล้พระองค์ไม่ได้ง่ายๆเลย"
หลินลู่หยุนขมวดคิ้ว "ทำไมหรือ โตวโตวหมิงอ๋องเขาแปลกประหลาดขนาดนั้นเลยหรือ?"
“คุณหนู สรุปแล้วท่านได้เจอกับเซ่อเจิ้งอ๋องแล้วจริงๆหรือเจ้าคะ น่าเสียดายจริงๆวันนี้หากข้าน้อยได้ติดตามคุณหนูไปเดินตลาดด้วยต้องได้เจอเซ่อเจิ้งอ๋องเหมือนกัน”
หลินลู่หยุนทำหน้าไม่เข้าใจนัก “เจอเขามีอะไรให้ตื่นเต้นกัน”
ความตื่นเต้นของโตวโตวสลายลง นางถอนหายใจเฮือกหนึ่ง และมองหลินลู่หยุนอย่างเสียใจเล็กน้อย “คุณหนูเพราะวันๆ ท่านเอาแต่ตามติดองค์รัชทายาทไม่ยอมมองผู้ใดเลย ก่อนนั้นก็อยู่แต่ในเรือนไม่ยอมออกไปไหน ท่านไม่เคยสนใจกับเรื่องเหล่านี้จึงไม่รู้อะไร”
เห็นนางกำลังจะซุบซิบเรื่องคนอื่นหลินลู่หยุนก็รู้สึกสนใจขึ้นมามาก เพราะเพียงประโยคเดียวของหมิงอ๋องก็ทำให้มู่หรงอานไม่พูดอะไรต่ออีก เห็นได้ชัดว่ามู่หรงอานนั้นให้ความยำเกรงต่อมู่หรงหมิงมากเช่นเดียวกัน
ดังนั้นอีกสองวันนางจะต้องไปช่วยรักษาอาการป่วยให้กับเขาเพียงเพราะเขาหล่อเหลาและนางเสียดายคนหน้าหล่อมากๆที่จะต้องมาตายเพราะอายุยังน้อย
อย่างที่บอก “รู้ตัวเองรู้ศัตรู รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” การรู้อะไรมากก็เป็นสิ่งที่ดีเหมือนกัน
หลินลู่หยุนจึงรับฟังเรื่องซุบซิบจากโตวโตวอย่างตั้งใจ นางเท้าคางบนพนักพิง แล้วทำหน้าสงสัย
“อืมใช่ เมื่อก่อนข้าไม่รู้ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เจ้าเล่าให้ข้าฟังเสียสิ ทำไมเจ้าดูตื่นเต้นเช่นนี้กับการได้เจอหมิงอ๋อง”
โตวโตวยังไม่ค่อยชินกับการเปลี่ยนไปอย่างฉับพลันของหลินลู่หยุนหลังจากตกใจ ก็เทน้ำชายื่นให้หลินลู่หยุนแล้วจึงพูดขึ้นว่า
“คุณหนู ในเมื่อท่านไม่รู้ ข้าน้อยก็จะเล่าให้ท่านฟัง วันนี้ท่านได้เจอกับเซ่อเจิ้งอ๋องแล้วใช่ไหม รูปลักษณ์ของเขาเรียกได้ว่างดงามจนไม่มีใครสามารถเทียบได้ เป็นที่ตื่นตาตื่นใจของผู้คน......."
“อืม......แต่ว่า"
หลินลู่หยุนยกมือขึ้นหยุดโตวโตวเอาไว้ ความจริงแล้วนางรู้สึกว่าการบรรยายของโตวโตวนั้นแม้ว่ามันจะเป็นความจริงก็ตามแต่ท่าทางหลงใหลเช่นนั้นของนางคืออะไรกัน
“พูดประเด็นเถอะ เรื่องรูปลักษณ์ภายนอกของเขานั้น วันนี้ข้าได้เห็นแล้วล่ะ" โตวโตวรู้สึกขัดข้องใจ แต่ก็เล่าให้หลินลู่หยุนฟังอย่างกระปรี้กระเปร่า
“ในเมื่อคุณหนูเคยเห็นแล้ว ถ้าอย่างนั้นเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกของเซ่อเจิ้งอ๋อง โตวโตวก็จะไม่พูดมากแล้ว
ต่อจากนี้จะพูดถึงด้านความสามารถนะเจ้าคะ
หมิงอ๋องนั้นเริ่มเข้าเรียนตั้งแต่อายุหกขวบ ทุกๆ ปีต้องประชันวิชากับเหล่าอาจารย์ และได้รับชัยชนะทุกปี สุดท้ายทำให้นักปราชญ์อันดับหนึ่งของยุทธภพในตอนนั้นไม่พอใจเดินทางท้าทายถึงที่
หนึ่งวันหลังจากที่นักปราชญ์อันดับหนึ่งของยุทธภพเข้าไปในตำหนักหมิงอ๋องตอนที่ออกมานั้นเขาถูกคนยกออกมา......"
“ถูกยกออกมางั้นหรือ เขาถูกตีหรือ” นักปราชญ์อันดับหนึ่งไปท้าทายนายคนอื่นถึงที่ มีความเป็นไปได้ไม่น้อยที่จะถูกตี
นักปราชญ์อันดับหนึ่งน่ะ วันๆ อ่านแต่อ่านหนังสือ ฝีมือการต่อสู้ไม่ได้เรื่องแน่นอน ถูกตีจนเลือดออกนั้น เป็นเรื่องปกติหลินลู่หยุนวิเคราะห์ในใจ
“คุณหนู” โตวโตวกระทืบเท้าหนึ่งทีมองหลินลู่หยุนอย่างไม่พอใจนัก บึนปากแล้วพูดว่า
“ท่านคิดไปถึงไหนกัน คนอย่างเซ่อเจิ้งอ๋องจะป่าเถื่อนอย่างนั้นเชียวหรือ จงหยวนต้องการประลองวิชาความรู้ ต่อคำกลอนกับเซ่อเจิ้งอ๋องต่างหากล่ะ สุดท้ายนักปราชญ์อันดับหนึ่งกระอักเลือด ตอนถูกยกออกมานั้น ก็ได้ตะโกนออกไปด้วยความเลื่อมใสอย่าง สุดจิตสุดใจ”
"อ้าวแล้วเหตุใดข้าถึงได้ยินผู้คนพูดถึงว่า เซ่อเจิ้งอ๋องนั้นโหดเหี้ยม โหดร้ายนักเล่า แล้วเหตุใดเจ้าถึงบอกว่าเมตตาได้?"
“เรื่องนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสิบกว่าปีก่อนเจ้าค่ะตอนนั้นแคว้นต้าหลีส่งฑูตมาเจรจาสมรสเชื่อมสัมพันธ์
แต่ทีนี้การกระทำของฑูตแคว้นต้าฉีนั้นดูเหมือนเป็นการบังคับและกดขี่ชาวเหยาฮั่นมากกว่า ฮ่องเต้ที่ขึ้นครองราชได้ไม่นานก็ไม่กล้าที่จะมีปัญหากับแคว้นเพื่อนบ้าน
และข้อเสนอของแคว้นต้าฉีนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับชายแดนทางตอนใต้ที่มีปัญหากันมีสงครามไม่หยุดหย่อน ดังนั้นเซ่อเจิ้งอ๋องที่รีบเร่งเดินทางมาจากชายแดนทางเหนือมาร่วมรับฟังการเจรจา
และแคว้นต้าฉีไม่ได้เดินทางมาแค่เฉพาะฑูตแต่ยังมีองค์ชายสามของแคว้นเดินทางร่วมมาด้วยการที่พวกเขามากดขี่พวกเราถึงในพระราชวังชาวเหย่าฮั่นต่างก็ไม่พอใจ
ในราชสำนักนั้นลุกเป็นไฟเมื่อครั้นหมิงอ๋องเสด็จเข้าไปในพระราชวังพระองค์ก็พูดออกมาอย่างกล้าหาญว่า
"เราชาวเหย่าฮั่นมีเอกราชเป็นของตนเอง ขนบธรรมเนียมที่ดีงาม มีจิตใจเอื้อเฟื้อเมตตาก็จริงแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะยอมให้พวกท่านแคว้นต้าฉีมาบังคับกดขี่ได้
ท่านมีกองทัพเราก็มีกองทัพ ท่านมีกองกำลังทหารพวกเราก็มี ท่านมีแม่ทัพพวกเราก็มีแม่ทัพ ท่านจะลองดูก่อนก็ยังได้"
"บังอาจเกินไปแล้วเจ้าเป็นเพียงขุนนางผู้หนึ่งบังอาจกล่าววาจาสามหาวต่อองค์ชายของพวกเราเจ้าไม่กลัวตายเลยใช่ไหม?"
ในตอนนั้นเซ่อเจิ้งอ๋องเดินหน้าขึ้นมาใบหน้าของพระองค์เย็นชาดวงตามืดครึ้มทั่วทั้งโถงใหญ่ในราชสำนักต่างเงียบเสียง
ฉับพลันกระบี่ขององครักษ์ขององค์ชายแคว้นต้าฉีที่ยื่นออกมาอย่างเหิมเกริมจู่ๆก็ร่วงกระเด็นลอยออกไปปักลงข้างๆองค์ชายผู้นั้น
เหล่าคณะราชฑูตแคว้นต้าฉีต่างก็ตกอกตกใจจนหน้าถอดสี แต่องครักษ์ผู้นั้นยังไม่ตายใจกระโดดจู่โจมเข้าใส่เซ่อเจิ้งอ๋องของพวกเราแต่เขาจู่โจมเข้าไปยังไม่ถึงตัวของท่านอ๋อง
แค่ล้ำเข้าไปในเขตสามชุ่นตามที่หมิงอ๋องกำหนดไว้แขนของเขาก็ขาดกระเด็นในส่วนที่ล้ำเข้ามา ในเวลานั้นมู่หรงหมิงก็เอ่ยน้ำเสียงทุ้มต่ำแต่เยือกเย็นเป็นอย่างมากว่า
"ข้าคือมู่หรงหมิง เป็นอนุชาคนที่สิบเอ็ดของฮ่องเต้แคว้นเหย่าฮั่น และเป็นแม่ทัพคนหนึ่งที่คอยปกป้องแผ่นดินเหย่าฮั่น ปกป้องชาวประชาและที่สำคัญองค์ฝ่าบาทแม้ชีวิตก็หาได้กลัวไม่
วันนี้พวกเจ้าชาวต้าฉีเดินทางมาขอสมรสสานสัมพันธ์ แต่กลับมาวางอำนาจข่มขู่ไม่เห็นแคว้นเหยาฮั่นในสายตา หนำซ้ำยังปองร้ายราชวงศ์ของเหยาฮั่น
เพียงแค่ความผิดนี้แม้ศรีษะของพวกเจ้าก็ไม่สมควรส่งกลับไป
ในตอนนั้นเององค์ชายสามของแคว้นต้าฉีก็ทรงลุกขึ้นยืนแล้วยกมือประสานไปทางฮ่องเต้มู่หรงหยินแล้วกล่าวว่า
"พวกเราชาวแคว้นต้าฉีนั้นมีความจริงใจในการเดินทางมายื่นสมรสสานสัมพันธ์ เหตุการณ์ในวันนี้หากพวกเราชาวแคว้นต้าฉีทำให้ฮ่องเต้และเหล่าราชวงศ์ขุ่นเคืองต้องขอประทานอภัยจริงๆ
หมิงอ๋อง ข้านั้นได้ยินชื่อเสียงของท่านมานานแต่ไม่เคยพบหน้าดังนั้นองครักษ์ของข้าทำเกินกว่าเหตุข้าต้องขออภัยและกลับไปจะสั่งลงโทษเขาอย่าสาสม
การสมรสครั้งนี้พวกเราจะขอกลับไปยังจวนรับรองและขอปรึกษากันอีกสักรอบ หวังว่าจะได้รับโอกาสจากพวกท่านชาวเหยาฮั่น"
หลังจากนั้นแคว้นต้าฉีก็ยินยอมรับข้อเสนอของทางแคว้นเหยาฮั่น และไม่รุกล้ำชายแดนเราอีกเลย
หลินลู่หยุนจ้องมองการแสดงท่าทางของโตวโตวในการเล่าเรื่องแล้วนางก็รู้สึกขบขันและชื่นชมเรื่องเล่านั้นว่าสนุกมาก
ก่อนที่นางจะเดินเข้าห้องและเข้าไปในมิติเริ่มเตรียมยาสมุนไพรและยาถอนพิษให้แก่เขา
ภายในใจก็ยังแอบสงสัยอยู่เหมือนกันว่า เขาที่โดนวางยาพิษมาจากในครรภ์สามารถทำเรื่องน่าเหลือเชื่อเช่นนั้นได้อย่างไรกัน
...