ข้ามฟ้ามาเจอรัก

79.0K · จบแล้ว
พลอยแก้ว
24
บท
2.0K
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

"มีดีแค่เอว นอกนั้นเลวหมดเลย" ****** “ดรูฟขอให้ซีนหลับตาลง” เสียงเข้มออกคำสั่ง เมื่อฝ่ามือหนานั้นปิดสนิทตรงดวงตากลมสองข้าง เพื่ออยากสร้างความมั่นใจว่าเธอนั้นจะไม่เห็นอะไรต่อจากนี้ ที่ดรูฟกำลังจะคิดทำ "อย่ายุ่งกับคนของกู!!!!!" “อย่า!!...” ปั๊ง !!!!!!! สิ้นคำพูดเข้มดุดัน ก่อนจะลั่นปืนยิงคนตรงหน้าด้วยความโกรธและโมโห ปืนที่ครอบด้วยลำป้องเก็บเสียงแม้จะยิงออกไปก็แทบไม่มีเสียงเล็ดลอด อึก!!!” แม็กพยายามยกมือไหว้อย่างร้องขอชีวิต ดวงตาที่แข็งกร้าว สายตาที่เข้มดุ ขอบตาแดงอย่างก่ำโมโหถึงขีดสุดจ้องมองไปยังแม็กที่ตอนนี้เริ่มหวาดกลัว เมื่อเห็นท่าทางของดรูฟที่ดุดันและน่าเกรงขาม กระสุนปืนพุ่งทะยานเข้าไปในร่างการของแม็ก เลือดสีแดงสดค่อย ๆ ไหลออกมาตามเนื้อผิว ร่างกายของแม็กที่ไร้เสื้อผ้าสวมใส่ ค่อย ๆ เอนล้มลงกับพื้น ภาพตรงหน้าหากหนูซีนนั้นเห็นต้องเป็นลมล้มพับเป็นแน่ แม้จะแค่ได้ยินเสียงปืนเธอยังสะดุ้งตัวโหยงอย่างตกใจ...ดรูฟทำดีแล้วที่ปิดตาเธอไว้ ไม่เห็นเธอนั้นเห็นในอีกด้านของดรูฟที่มันดูน่ากลัวและยำเกรง เพราะมุมนี้ดรูฟไม่ต้องการให้คนที่รักนั้นเห็นอยู่แล้ว แต่ด้วยสถานการณ์ที่คับขันเช่นนี้ ดรูฟเลยต้องทำ ((เดี๋ยวผมจัดการต่อเองครับ)) ราชิตที่มองเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง ล้วนเข้าใจดีในสิ่งที่นายเหนือหัวนั้นทำ จนต้องออกปากรีบสะสางเคลียร์พื้นที่ด้วยตัวเอง “ฝากด้วย มันเป็นลูกอธิการบดี” ดรูฟกล่าวทิ้งท้าย มือก็ยังคงปิดตาหนูซีนไว้ โอบประคองร่างที่แข็งทื่อของเธอให้เดินออกมาจากจุดนั้นด้วยมืออีกข้าง และสิ่งที่ดรูฟต้องทำต่อไปนั่นคือรายงานสถานการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น “ท่านพ่อครับ...ลูกยิงคน”

นิยายรักตลกรักแรกพบเศรษฐีโรงแรม/มหาลัยโรแมนติกพระเอกเก่งนักศึกษา18+

1-เรื่องที่อยากขอ

"พ่อคะ แม่คะ น้องซีนไปเรียนแล้วนะ" เสียงแหลมสดใส ร้องดังมาแต่ไกลจากบนบ้านชั้นสอง

"เบา ๆ ลูก" ผู้เป็นพ่อร้องทักขึ้นเมื่อลูกสาวสุดที่รัก ทั้งหวงทั้งแหนปานดวงใจนั้นวิ่งลงบันไดอย่างไม่นึกกลัวเกิดอันตราย

"ฟอด หื้ม...อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณพ่อสุดหล่อ" เด็กสาววัยยี่สิบ วิ่งลงบันไดแล้วโฉบกอดผู้เป็นพ่ออย่างที่เคยทำประจำ แม้เวลาจะผ่านไปกว่าสิบสี่ปีแต่ก็ยังมีความหล่อและยังดูดี แถมยังหวงลูกสาวที่แสนจะพูดมากคนนี้ จนผู้ชายไม่กล้าเข้าหา วิ่งป่าราบหากผู้เป็นพ่อนั้นเห็น

"น้องซีนหนูโตเป็นสาวแล้วนะลูก...ยังจะออเซาะคุณพ่ออีก" คุณแม่หนูดาที่เดินมาจากห้องครัวพร้อมแก้วนมของลูกสาวและแก้วกาแฟของสามีเอ่ยทัก แม้การกระทำเช่นนี้เธอจะเห็นประจำ แต่ตอนนี้ลูกสาวคนโตนั้นไม่ใช่เด็กเหมือนแต่ก่อนแล้ว

"โธ่ คุณแม่ขาก็น้องซีนรักคุณพ่อ รักมาก ๆๆๆๆ เลยค่ะ จุ๊บ ๆๆๆ" เด็กสาวที่ช่างพูดประจบและจุ๊บลงแก้มผู้เป็นพ่อซ้ำๆ

"ช่างพูดจริงลูกสาวพ่อ" คุณพ่อแซมลูบหัวและโอบกอดลูกสาวที่แสนรัก หอมลงกลางหัวอย่างรักใคร่ กอดกันกลมท่ามกลางสายตาคุณแม่หนูดาที่ยืนเบะปากและอมยิ้มกับภาพที่เห็น ทั้งหมั่นไส้สามีและลูกสาวที่ช่างออเซาะ

"ช่างพูดหรือพูดมากค่ะพี่แซม" คุณแม่หนูดาเอ่ยแซวลูกสาว

((ฮ่าฮ่าฮ่า))

"พูดมากครับแม่" แซนน้องชายที่แสนจะกวนประสาทได้ทุกครั้ง และชอบแกล้งพี่สาวได้ทุกครา เดินลงบันไดมาพร้อมพูดแทรกบทสนทนาที่ได้ยิน ความน่ารัก การหยอกล้อ พูดแซว ที่พี่น้องคู่นี้มีมันคือเสน่ห์ แม้จะขัดแย้งและกัดกัน แต่เมื่ออยู่ข้างนอกแซนจะปกป้องพี่สาวเท่าชีวิต เสมือนผู้ปกป้องพี่สาวให้ปลอดภัยแม้ตัวเองจะต้องเจ็บตัว

"หุบปากไปเลยแซน" เมื่อโตขึ้นการเรียกขานและสรรพนามย่อมเปลี่ยนไป พี่สาวที่กำลังกกกอดผู้เป็นพ่อทำหน้ายู่เง้างอนเมื่อน้องชายนั้นแกล้ง

"พอแล้วทั้งสองคน ไปเรียนได้แล้วลูกเดี๋ยวสาย" และผู้เป็นแม่ก็มักจะเป็นคนสงบศึกฝีปากพี่กับน้องทุกครา

"ค่ะ/ครับ" สองพี่น้องตอบรับพร้อมกัน แล้วยกมือไหว้พ่อแซมและแม่หนูดาก่อนจะเดินออกจากบ้านเพื่อทำหน้าที่ของแต่ละคน

*****

ศาลาริมน้ำในสวนดอกไม้ ที่มีบรรยากาศสวยงามเพราะถูกตกแต่งด้วยไม้ดอกนานาพรรณ นิตยสารการศึกษา แหล่งรวมสถาบันการศึกษามากมาย ถูกเปิดทีละหน้า ทีละหน้า อย่างช้า ๆ สายตาคมดุที่ถอดแบบมาจากบิดา แต่เค้าโครงใบหน้านั้นได้มาซึ่งเสมือนมารดายิ่งกว่าฝาแฝด จ้องมองและอ่านประวัติของสถานศึกษาระดับปริญญาตรีอย่างให้ความสนใจ เพราะตอนนี้ชายหนุ่มวัยสิบเก้าปีต้องเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยแล้ว

"ดรูฟ ของแม่กำลังทำอะไรเอ่ย" เสียงของหญิงวัยกลางคนเอ่ยถาม พร้อมวางมือลงบนไหล่กว้างของบุตรชาย ที่กำลังเติบใหญ่ขึ้นทุกวัน

"ท่านแม่" เด็กหนุ่มเงยหน้ามองพร้อมเอ่ยเรียกแผ่วเบา "ลูกกำลังดูว่าจะเรียนต่อที่ไหนดี" เขาบอกถึงสิ่งที่กำลังกระทำให้มารดารับทราบ

"แล้วได้หรือยัง" ผู้เป็นแม่เดินมานั่งตรงข้ามแล้วเอ่ยถามขึ้น เพราะเรื่องสถานศึกษาแม้ผู้เป็นพ่อคิดวางแผนไว้แล้ว แต่ก็ย่อมรอบุตรชายนั้นตัดสินใจเพราะเขาจะไม่บังคับ

"ลูกมีที่อยากไปแต่ไม่รู้ท่านพ่อจะอนุญาตไหม?" เด็กหนุ่มพูดขึ้นและเอ่ยถึงผู้เป็นบิดา

"ที่ไหนล่ะ ที่ลูกชายของแม่อยากไป"

"ประเทศไทยครับ"

"หืม..."

"ลูกอยากไปเรียนต่อที่นี่" เด็กหนุ่มยื่นนิตยสารให้ผู้เป็นแม่ดู ประเทศไทยบ้านเกิดเมืองนอนที่เธอนั้นจากมานาน ตั้งแต่แต่งงานกับ เชคฮ บราฮิม และยังไม่มีโอกาสได้กลับไปสักครั้ง เมื่อครั้งล่าสุดที่ไปก็เมื่อบุตรชายนั้นอายุได้ห้าขวบ เพื่อจัดการต่อเติมและซ่อมแซมกับบ้านเพียงหลังเดียวที่ม่านฟ้านั้นมีเป็นสมบัติชิ้นเดียวของยายที่ทิ้งไว้ให้เธอ

"ได้ไหมครับท่านแม่" เด็กหนุ่มเอ่ยถามอีกครั้ง

"แล้วดรูฟคิดว่าจะไปอยู่ได้ไหมล่ะลูก"

"ลูกคิดว่าไม่น่ามีปัญหา เรื่องภาษาไทยลูกก็พูดได้เพราะท่านแม่ก็สอนประจำ" เด็กหนุ่มเน้นย้ำอย่างมั่นใจ

"แต่แม่เป็นห่วงและคงจะคิดถึงดรูฟมากแน่ ๆ" มือของแม่ยื่นจับมือบุตรชายมั่นพร้อมสายตาที่อาทรเมื่อนึกถึงความที่ต้องห่างไกลกัน

"ลูกโตแล้ว ท่านแม่อย่าห่วงเลยครับ" บุตรชายเพียงคนเดียวที่ไม่เคยห่างกาย เดินเข้ามากอดผู้เป็นแม่จากทางด้านหลัง นิสัยและพฤติกรรมที่เขานั้นแสดงออกกับคนในครอบครัว แตกต่างคนละขั้วกับการแสดงตัวกับคนนอก....เมื่อหลุดจากพื้นที่อาศัยพฤติกรรมและคำพูดจะเปลี่ยนไปทันทีอย่างกับคนละคน

"สองแม่ลูกกำลังคุยอะไรกัน ดูเครียดเชียว" เชคฮ บราฮิม ที่ได้ขึ้นเป็นผู้นำรัฐแห่งชาร์จาห์ เดินมายังศาลาเมื่อเห็นภรรยาและบุตรชายกำลังนั่งคุยกันอย่างออกรส

"ท่านพ่อครับลูกมีอะไรจะขอ" เด็กหนุ่มไม่รีรอหรือแสดงความกระอักกระอ่วนกับการที่จะร้องขอในสิ่งที่ต้องการ

"อะไรล่ะ" ผู้เป็นพ่อย้อนถาม และเดินมานั่งขนาบข้างภรรยาที่พ่วงตำแหน่งเชคฮคาแห่งรัฐชาร์จาห์

"ลูกอยากไปเรียนต่อที่ประเทศไทยบ้านเกิดของท่านแม่" เด็กหนุ่มบอกถึงสิ่งที่ต้องการ

"....ทำไม" ผู้เป็นพ่อเงียบชั่วครู่และเอ่ยถามเพียงสั้น ๆ

"อยากไป" บุตรชายก็เช่นกันไม่รู้จะประหยัดคำพูดไปถึงไหนเมื่อพูดกับผู้เป็นพ่อ

"ถ้าแม่ของลูกเห็นควร...พ่อก็ไม่ห้าม" ผู้เป็นพ่อมองหน้าภรรยาก่อนจะตอบบุตรชาย สายตาที่มองลึกเข้าไปในดวงตากลมสีนิลของภรรยา ท่านผู้นำรัฐอย่างเขาที่แสนจะรู้ใจภรรยาเป็นที่สุดมีหรือจะเดาไม่ออกว่าเธอคิดอะไร...เพราะสายตาที่มองเขานั้นมันคือการขอร้องให้ตามใจ

"ท่านแม่ครับ" เด็กหนุ่มเอ่ยเรียกด้วยความดีใจ จากตอนแรกที่คิดไว้ว่าบิดาต้องไม่ยอมเป็นแน่

"จัดการเรื่องบ้านที่เมืองไทยให้ลูกด้วยนะคะท่านผู้นำรัฐ" เชคฮคาม่านฟ้าหันไปพูดกับสามีด้วยรอยยิ้ม

"ได้สิ จะให้ราชิตจัดการให้"

"ขอบคุณครับท่านพ่อ ท่านแม่" เด็กหนุ่มแทรกกลางระหว่างบิดาและมารดาโอบกอดคนทั้งสองด้วยความดีใจ สิ่งที่หวังนั้นไม่ถูกคัดค้าน เมืองไทยที่เขานั้นอยากไปแต่ยังไม่มีโอกาสได้ไปอีกเลยตั้งแต่อายุห้าขวบ...และตั้งมั่นว่าหากโตขึ้นและวุฒิภาวะตนนั้นมีมากพอเขาจะกลับไปอีกครั้ง