2-เทวดาท่าจะลืม
เป็นปกติเช่นทุกวันเมื่อพี่น้องต้องมาเรียนด้วยกันเช่นเดิม รถยนต์ที่คุณพ่อแซมนั้นซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดของลูกสาว ใช้ในการเดินทางไปเรียนเพื่อความสะดวกสบายของลูกสุดที่รัก แม้ใจจะคัดค้านเพราะห่วงแต่เมื่อคิดได้ว่าลูกนั้นโตและมีวุฒิภาวะมากพอแล้ว จึงสลัดความคิดนี้ออกไป และมั่นใจว่าลูก ๆ จะไม่ทำให้คุณพ่อแซมนั้นผิดหวัง
ล้าลั่นลา?? หนูซีนผู้อารมณ์ดีฮำเพลงเบา ๆ ในลำคอ ไม่ได้สนใจสายตาของน้องชายที่มองอย่างเอือมระอาสักนิด
"พี่กูบ้า!" แซนสบถเสียง สายตาก็มองกิริยาของพี่สาวที่ดูจะแสนอารมณ์ดีสุด ๆ
เอี๊ยดดดด!!! เสียงเบรกรถยนต์ที่ไร้ความนิ่มนวลแถมข้างหน้านั้นก็เป็นไฟแดงพอดี แต่ความคิดที่เบรกด้วยแรงเท้าเต็มแรงมันคือสิ่งที่เพิ่งนึกได้
"แซน! พี่ลืม ตายๆ อีซีนตายแน่งานนี้" พี่สาวเอ่ยเสียงดังเมื่อนึกอะไรบางอย่างได้
"โอ๊ย อะไรของพี่เนี่ยพี่ซีน" น้องชายโอดครวญเมื่อพี่สาวนั้นเหยียบเบรกกระทันหัน จนหัวของแซนขมำโขกกับหน้ารถ
"ไปแท็กซี่นะ ลงไปๆ"
"อะไรพี่ซีน จะบ้าเหรอไล่ผมลงกลางไฟแดงเนี่ยนะ!" น้องชายสุดหล่อตะเบงเสียงใส่เมื่อพี่สาวนั้นไล่ลงจากรถอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
"พี่รีบ เร็ว ๆ วันนี้มีเรียนแปดโมง ไป ๆ อะนี่เงิน" หญิงสาวพูดอย่างลุกลี้ลุกลน ปากพร่ำพูดไปเรื่อย มือก็คว้าหาเงิน แล้วยื่นส่งให้น้องชาย ส่วนน้องชายก็รับแบบงงๆ แต่ก็ยอมลงจากรถตามที่พี่สาวสั่ง
"อะไรของพี่ซีนวะ เฉิ่ม โก๊ะ จริง ๆ" เด็กชายยืนเกาหัวอย่างงวยงงมองตามรถยนต์ของพี่สาวที่แล่นห่างออกไปไกลสายตา และตนนั้นก็ยืนรอแท็กซี่ตามที่พี่สาวบอกกล่าว "พี่กูบ้า! สงสัยยาจะหมด วุ๊ย!! เวรกรรมอะไรของไอ้แซน"
ปึก! แฮ่ก แฮ่ก
เสียงประตูห้องเรียนถูกเปิดออกอย่างแรงพร้อมเสียงหอบหายใจเหนื่อย เมื่อหนูซีนหญิงสาวที่ลืมเวลาเรียนนั้นต้องรีบร้อน แต่ก็ไม่ทันอยู่ดี สายตามองเห็นอาจารย์ที่หันมามองจ้องหน้าเธอเขม็ง ก้มหน้ามองลอดแว่นตาที่หนาเตอะอย่างเอาเรื่อง
"อุ๊ย!" หนูซีนหญิงสาวอุทานบางเบาเมื่อสายตาที่มองของอาจารย์นั้นมองมาที่เธอนั้นดูเกรี้ยวกราด อาจารย์ประจำวิชาที่ขึ้นชื่อและถูกขนานนามว่าดุยิ่งกว่าเสือ ตรงต่อเวลายิ่งเข็มนาฬิกา แต่วันนี้หนูซีนพลาด พลาดมาก!
"เดือนเมษา นี่มันเวลากี่โมงกี่ยามแล้ว" เสียงดุของอาจารย์ดังขึ้น
"ตอนนี้แปดโมงห้านาทีค่ะอาจารย์" หนูซีนยืดตัวตรงแล้วมองตรงนาฬิกาข้อมือที่เธอซื้อมาจากตลาดนัดเรือนละสองร้อยกว่าบาท แต่ความสวยที่ถูกใจมันทำให้เธออยากเป็นเจ้าของ หนูซีนไม่เกี่ยงที่จะใช้ข้าวของราคากี่บาทหรือต้องเป็นยี่ห้อดังเท่านั้น เพราะของแพงยี่ห้อดังใช่ว่าจะถูกใจเธอเสมอไป...ถึงบ้านมีเงินก็ไม่จำเป็นต้องติดหรู หรือสนใจอะไรหากเราทำเราใช้แล้วมีความสุขก็ทำไป แต่ต้องพอเหมาะพอควร นั่นคือสิ่งที่คุณแม่หนูดาคนสวยตลอดกาลพร่ำบอกพร่ำสอน
"นาฬิกาก็มีนี่นา แต่ทำไมยังมาสายได้" อาจารย์ประจำวิชายืนกอดอกพูดเสียงแข็ง ถ้าบอกว่าลืมเวลาเรียนหนูซีนคนสวยได้ยืนขาเดียวหน้าห้องเรียน ปากคาบไม้บรรทัดเป็นแน่
"หนูขอโทษค่ะที่มาสาย แต่อาจารย์ขา อย่ามัวแต่เสียเวลาพูดเลยค่ะ หนูว่าอาจารย์เริ่มสอนดีกว่า...ขอตัวไปนั่งที่ก่อนนะคะ" พูดจบประโยคหนูซีนก็ปรี่หาที่นั่งทันทีโดยไม่รอให้อาจารย์ที่ยืนหัวโด่จับขาแว่นขยับขึ้นลงมองเธอนั้นได้เอ่ยปากพูดอะไรออกมา...ความแสบนี้ต้องยกให้เธอ
"เห็นว่านี่เป็นครั้งของเธอนะเดือนเมษา..."
"ขอบคุณค่ะอาจารย์"
และการเรียนของเริ่มขึ้น หนูซีนผู้ที่มีความเฉลียวฉลาดไหวพริบปฏิภาณดี นั่งขะมักเขม้นตั้งใจฟังในสิ่งที่อาจารย์นั้นสอน การเรียนที่ดีเยี่ยมเสมอมาตั้งแต่เด็กไม่เคยทำให้พ่อแม่ผิดหวังสักครั้ง
วิชาเรียนที่แสนยาวนานและค่อนข้างหนัก วิชาเรียนเดียวกินเวลาไปครึ่งค่อนวัน แม้นาฬิกาจะเดินวนเพียงใดก็ยังไม่จบสิ้นเสียที...
ซีนเพลีย!!
ซีนหิวข้าว!!
"ซีน" ดิวเพื่อนสนิทเพียงหนึ่งเดียวที่นั่งข้าง ๆ เรียกและสะกิดแขนเธออย่างกระซิบกระซาบ
"หื้ม" เธอตอบรับเสียงเบาหูฟังและรับรู้ทุกอย่าง แต่สายตานั้นยังจ้องมองและจดบทเรียนตามที่อาจารย์นั้นสอน
"เราได้ยินมาว่าคณะเรามีเด็กใหม่มา หน้าตาหล่อมากกกกกก ลูกครึ่งไทย-อาหรับ" ดิวพูดด้วยน้ำเสียงกระดี๊กระด๊าตื่นเต้น
"อืม" หนูซีนก็ยังตั้งตาตั้งตาจดบทเรียนต่อไป แต่หูของเธอก็ยังฟังทุกคำที่เพื่อนพูด การกระทำแบบนี้เพื่อนสนิทชินชาและคุ้นเคยแล้ว ท่าทางที่ทำเหมือนไม่สนใจแต่แท้จริงทุกคำพูดนั้นถูกบันทึกไว้ในสมองของเธอเรียบร้อยแล้ว
"นี่ซีนไม่ตื่นเต้นเหมือนเราเหรอ"
"ไม่อ่ะเฉย ๆ...แล้วนี่เห็นเขาแล้วเหรอถึงรู้"
"เห็นแล้ว"
((ไม่เรียนก็ออกไป อารยา!!!)) เสียงดุเข้มของอาจารย์ดังแทรกเข้ามาในหูจนดิวนั้นกรูกลับแทบไม่ทัน
กริ๊งงงง และเสียงสวรรค์ก็ช่วยชีวิตเธอไว้ทันใด หนูซีนที่เห็นหน้าเพื่อนถอดสีเมื่ออาจารย์นั้นตวาดสั่นเสียงดังคับห้องเรียน
"เกือบตายแหน่ะ"
"ฮ่าฮ่า สมน้ำหน้า" หนูซีนพูดน้ำซ้ำเตือนดิวแต่ไม่จริงจัง แค่การหยอกล้อที่เคยทำประจำ
"ชิ! ปะไปกินข้าวกัน"
"หิวแทบไส้ขาด ไปดิว เร็ว ๆ ก้าวขายาว ๆ" ความหิวเริ่มครอบงำจนต้องกึ่งเดินกึ่งลากเพื่อนสาวไปยังโรงอาหาร
"ซีน เบา ๆ ก็ได้ เราเหนื่อย ตายๆ อิดิวไขมันละลาย"
"หิวจัด เราจะตายแล้ว" หนูซีนหันไปพูดพร่ำกับเพื่อน แขนก็ดึงลากอย่างไร้ความปรานี
ปึก !! เพล้ง! เสียงจานกระทบพื้นดั่งสนั่นหวั่นไหวกึกก้องทั่วทั้งโรงอาหารท่ามกลางสายตาของคนมากมายที่มองมาเป็นสายตาเดียว
"อุ๊ย!!" หนูซีนผู้ที่ไม่ได้ระมัดระวังในการเดินมองทาง เพราะความหิวนั้นครอบงำ จนชนเข้าจัง ๆ กับจานข้าวของใครคนหนึ่ง "ขอโทษค่ะ ไม่ได้ตั้งใจ" หนูซีนมีสีหน้าตกใจรีบก้มหัวหงึก ๆ ยกมือไหว้รัวบางจังหวะก็ย่อตัวอย่างกับถอนสายบัวก็ไม่ปาน
"..........." คนที่ถูกชนยืนนิ่งมองหน้าหนูซีน ไม่มีปฏิกิริยาอะไรมากมายตอบกลับ นอกจากสายตาที่ก้มมองจานข้าวที่ร่วงหล่นเพียงชั่วครู่เท่านั้น
"ซีนงานเข้า" ดิวเพื่อนสาวที่ยืนข้างหลังพูดเบา ๆ ข้างหูของหนูซีน เมื่อเห็นแล้วถึงแววตาของคนที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงนั้นดูน่ากลัว
"เฮ้....คุณ ขอโทษนะได้ยินไหม" หนูซีนโบกมือไปมาผ่านซ้ายผ่านขวา ดวงตานั้นก็ไม่กระพริบจ้องมองหน้าหนูซีนนิ่งอย่างเดียว "เขาหายใจไหมอ่ะดิว" หนูซีนหันไปกระซิบถามดิวที่ขยับจนชิดแผ่นหลังของเธอ
"นี่แหละเด็กใหม่ที่เราบอก" ดิวกระซิบข้างหูของหนูซีนเบา ๆ
"หล่อขนาดนี้เลย?" หนูซีนกระซิบอย่างอ้อล้อ บุคลิก รูปลักษณ์ของชายตัวสูงมากยืนมองเธอไม่วางตา ความหล่อเหลาที่ทำเอาหนูซีนนั้นต้องออกปากชม
"อืมมมมม" ดิวตอบลากเสียงยาวพร้อมพยักหน้าหงึก
"คุณคะ ได้ยินฉันไหมอ่ะ..." หนูซีนขยับเข้าไปใกล้พร้อมเงยหน้ามองอย่างสงสัย เธอพูดไปมากมายหลายประโยคขนาดนี้ทำไมเขาถึงไม่ตอบกลับ "คุณลืมหายใจหรือเปล่า" ดวงตากลมโตมองหน้าคนที่สูงกว่าไปมาเอียงหัวซ้ายขวาด๊อกแด๊กเหมือนลูกหมาที่กำลังสงสัย พร้อมคำพูดที่ยียวนอย่างคนอารมณ์ดี
"............."
"ขอโทษอีกทีละกัน พูดด้วยก็ไม่พูด ถือว่าขอโทษแล้วนะ...บาย" เมื่อเขาไม่โต้ตอบอะไรหนูซีนก็เริ่มจะรำคาญ และจับมือดิวหวังจะลากออกจากจุดนั้น แต่....
"ไม่มีความรับผิดชอบ!"
"เอ้า....ก็พูดได้นี่ ขอโทษแล้วด้วย" หนูซีนหันกลับมาแล้วเอ่ยขึ้นแกมขบขัน เมื่อเขานั้นพูดขึ้นเมื่อเธอกำลังเดินจากมา
"มีปาก" ชายหนุ่มตอบกลับเสียงนิ่ง ไม่นิ่งแค่เสียง หน้าก็นิ่งมาก
"ก็รู้และเห็น แต่ปากคุณไม่ขยับสักนิด นึกว่า....." หนูซีนย้อนอย่างยียวนพร้อมมือปิดปากหัวเราะเบา ๆ
"อะไร?”
"นึกว่าเป็นใบ้ คิกคิก" หนูซีนมองหน้าชายหนุ่มแล้วก็หัวเราะชอบใจ คนอะไรนิ่งยิ่งกว่าตาย เธอแอบตำหนิเขาในใจ
"ซีน" ดิวเพื่อนสาวสะกิดแขนหนูซีนเบา ๆ เมื่อแววตาของชายตรงหน้านั้นทำให้ดิวรู้สึกหวั่นๆ และนึกกลัว
"อะไรล่ะดิว"
"ขอโทษแทนเพื่อนด้วยนะคะ...พอดีเธอพูดมากไปหน่อย" ดิวรีบกล่าวขอโทษขอโพยแล้วพยายามลากหนูซีนออกมาจากจุดนั้น
"ไปซื้อข้าวมาคืน"
"ค่ะ ๆ เดี๋ยวไปซื้อมาคืนนะคะ รอแป๊บ" ดิวกล่าวอาสา เมื่อเห็นทีท่าเริ่มไม่สู้ดี
"ไม่ใช่คุณ!" ดิวหยุดเดินกระทันหัน แทบหัวทิ่มขมำเมื่อเสียงเข้มนั้นเอ่ยขึ้น แต่สายตานั้นยังจ้องมองอีกคนไม่ห่างสายตา
"เราไปเองดิว...แต่ขอถามหน่อยสิ" หนูซีนที่เอ่ยขึ้นอย่างมีเงื่อนไข ค่อย ๆ ขยับเข้าไปใกล้ แล้วเงยหน้ามองชายที่ตัวสูงกว่าพร้อมส่งยิ้มจนแทบไม่เห็นลูกตา
"ว่ามา"
"ก่อนเกิดมาเทวดาลืมวาดรอยยิ้มให้หรือไง ?" หนูซีนคนแก่นพูดจบแล้ววิ่งหนีออกไปทันที พร้อมกับเสียงหัวเราะเบา ๆ ของคนรอบข้างที่มองมาที่พวกเขาตั้งแต่เริ่มต้น หนูซีนผู้ที่ยิ้มง่ายและสดใส คนทั้งคณะไม่มีใครไม่รู้จักเธอ ด้วยความเป็นกันเองและเข้ากับคนได้ง่าย แถมหน้าตาก็ดูน่ารักสดใส หากใครเครียด ๆ เมื่อได้อยู่ใกล้ ความเครียดนั้นมักจะมลายหายไป แล้วเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะที่ทำให้โลกทั้งใบดูสดใสและครึกครื้น