บทที่ 4 กลับมาแล้ว
“กูไปก่อนนะ”
เดือนตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ก่อนจะไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่อย่างสบายใจ เท้าเขี่ยเพื่อนรักที่นอนอยู่บนเตียงพร้อมกับกอดหนังสือนิยายในมือแน่น
“อืม เดินทางดี ๆ นะ”
“ถ้ามึงเบื่อก็ไปหากูที่ห้องสมุดก็แล้วกัน แต่วันนี้ไม่กินแล้วนะขืนกินทุกวันแบบนี้ไม่กูก็มึงต้องล่มจมกันไปข้าง เงินเดือนกูก็แค่นี้ส่วนมึงก็ยังตกงาน วันนี้กูว่ามึงอยู่คอนโดคิดหาทางทำมาหากินใหม่เถอะ เลิกเป็นเด็กเชียร์เบียร์เถอะ อุตส่าห์เรียนจบมาก็ใช้ความรู้ให้เป็นประโยชน์หน่อยเถอะ”
“จ้าแม่”
จันทร์วาดส่งเสียงงึมงำในลำคอ
“อ้อ เรื่องหลวงเดชอะไรของมึงน่ะ กูยังยืนยันว่ามึงเมาจนเพ้อเจ้อไปแล้วนะ อย่าคิดบ้า ๆ อีก”
“เออ รู้แล้ว ไปเถอะเดี๋ยวสายนะ”
เมื่อคืนหลังจากที่จันทร์วาดถูกดูดกลับมาต่อหน้าต่อตาคุณหลวง แล้วพบว่าตัวเองยืนอยู่ในห้องคอนโดของเดือน แล้วเธอก็ไม่รอช้ารีบไปปลุกเพื่อนรักให้ลุกขึ้นมาฟังเรื่องราวอันแสนมหัศจรรย์ที่เธอเพิ่งได้เจอมา
และแน่นอนว่าเดือนฟังไปหาวไปพร้อมกับสัปหงกก่อนจะบอกกับจันทร์วาดว่าเมาจนเพ้อ
“ไม่เพ้อเจ้อนะมึง กูไปที่นั่นจริง ๆ กูว่าเพราะสาเหตุนี้ทำให้ตัวหนังสือหาย มึงดู เอ๊ะ เดือน เหมือนจะมีอะไรเปลี่ยน ประวัติคุณหลวงบอกยังไม่แต่งงาน เดือนมันอะไรกัน เขามีเมียสี่คนไม่ใช่เหรอ”
“มึงจำผิดเรื่องหรือเปล่า อีวาดกูยังมีงานต้องทำ อีห่ากูง่วง มึงรีบกลับห้องไปนอนเลยไป เมาแล้วพล่ามเรื่องเพ้อเจ้อ”
“เดือน มึงฟังกูก่อน”
“กูง่วง เอางี้พรุ่งนี้เลิกงานกูกลับมาฟังมึงนะ กูมีงานต้องทำพรุ่งนี้ต้องไปรับหนังสือบริจาคอีกมึง กูจะนอน”
“เดือนมึงฟังกูก่อน ทำไมในนี้ประวัติคุณหลวงไม่มีเมียแล้ว เมียเขาหายไปไหน ทำไมนะ แล้วบทแซ่บ ๆ ที่กูอ่านมาล่ะ ตอนนี้มองไม่เห็นอะไรแล้ว มองไม่เห็นอะไรจริง ๆ โอ๊ย อยากรู้จนจะบ้าอยู่แล้ว”
“มึงอาจจะจำผิดเล่ม มึงอ่านนิยายมาเยอะนะวาด อีกอย่างหนังสือเก่าตัวหนังสือเลือนเป็นเรื่องปกติมึง อย่าเพ้อเจ้ออีก ข้ามมิติอะไรของมึงมันเป็นแค่ฝันเท่านั้น มึงดูสิตอนนี้มึงยังปลุกกูแล้วยังนั่งอยู่ตรงนี้คุณหลวงนั่นอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ อีวาดมึงน่ะเมาแล้วฝันไปจริง ๆ ฟันธง”
จันทร์วาดถอนหายใจยาว จากคำพูดของเพื่อนก็ทำให้เธอไม่แน่ใจเหมือนกัน
หรือว่าฉันจะฝันไปจริง ๆ แต่ว่าเธอยังจำกลิ่นดอกมะลิที่หอมติดจมูกในห้องคุณหลวงได้นะว่าเป็นยังไง
แต่ว่า กลิ่นดอกมะลิ ใคร ๆ ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าเป็นกลิ่นยังไง
หลังจากคืนนั้นจันทร์วาดก็เอาแต่จด ๆ จ้อง ๆ อยู่ในคอนโด ส่วนเดือนต้องไปต่างจังหวัดหลายวันจึงทำให้จันทร์วาดขลุกอยู่แต่ในห้องเพียงคนเดียว
แม่ของเธอโทรมาแล้วจันทร์วาดไม่รับสายจนต้องโทรไปกวนเดือน
เมื่อเดือนกลับมาจากต่างจังหวัดก็ต้องตกใจเมื่อเห็นสภาพเพื่อนรัก
“อีวาด มึงเล่นยาหรือเปล่าวะ ทำไมตาเป็นแบบนั้น อิห่าเงินต้องเก็บยังจะเสือกเล่นยาอีก”
“มึงจะบ้าเหรอ กูห่วงสวยจะตายจะเล่นยาให้สุขภาพเสียเพื่ออะไร”
“ก็มึงดูสภาพมึงสิ ใต้ตาคล้ำ ยังตัวเหลืองขนาดนี้ อีวาดมึงมีความทุกข์อะไรทำไมไม่บอกกู แม่มึงเป็นห่วงรู้หรือเปล่า”
“ห่วงเชี้ยไรล่ะ มึงอ่านดู”
จันทร์วาดส่งโทรศัพท์ให้เพื่อนดู ข้อความที่แม่ส่งมาเป็นพันข้อความก็คือขอเงิน ขอเงิน และขอเงิน
จันทร์วาดตอบกลับไปคำหนึ่ง
‘ไม่มี เลิกขอได้แล้ว พวกเราอย่าเจอกันอีกเลย ให้ไปมากพอแล้ว’
จากนั้นแม่ของจันทร์วาดก็ส่งข้อความมาด่าว่าจันทร์วาดเป็นลูกเนรคุณสาปแช่งสารพัดให้ไม่ตายดี
“แม่ไม่ใช่เซฟโซนที่แท้จริง มึงควรมีแม่เมื่อพร้อม”
เดือนบ่นเบา ๆ
“เออ ดีที่แม่ขึ้นมาไม่ได้ กูสั่งห้ามรปภ.เด็ดขาด ไม่งั้นคงประสาทแดกตายก่อน”
“แม่มึงติดเหล้าต้องบำบัด”
“หนีมากี่ครั้งแล้ว กูไม่ไหวว่ะทุกคนมีชีวิตของตัวเอง ตอนเขาถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง มีความสุขกับผัวใหม่ไม่เคยบอกกูสักคำ ตอนเงินหมดผัวเด็กหนีกลับมาร้องขอเงินจากกูอีก พอกูให้ก็เอาไปกินเหล้า พอกูไม่ให้ก็ด่ากูว่าเนรคุณมันใช่เหรอวะ ทำไมกูต้องเลือกมาอยู่ในท้องผู้หญิงคนนี้ด้วยวะ คนดี ๆ ที่รักลูกมากมายพวกที่ทำกิ๊ฟอยากท้องน่ะมีเยอะจะตาย ทำไมกูไม่ไปเกิดกับพวกเขาวะ”
เดือนหัวเราะแต่สีหน้าไม่ขำเลยแม้แต่น้อย
“อีวาดชีวิตมึงนี่เป็นเหี้ยไรวะ แม่งไม่ต่างจากกูเลย พวกเรานี่สวรรค์สร้างให้เกิดมาจริง ๆ เลย ดีที่ผัวเก่าฝรั่งกูดี ก่อนเลิกกันมันยังทิ้งคอนโดนี้ให้กูไว้ซุกหัวนอน รวมทั้งมึงด้วย”
จันทร์วาดหัวเราะบ้าง ตอนนี้หัวใจมันด้านชาเกินกว่าจะเจ็บปวดกับคำว่าชีวิตครอบครัวแล้ว
“เออ พวกเรามันก็มีชีวิตเหี้ย ๆ แบบนี้แหละ”
“มึงไหนเล่ามาสิ ว่าเป็นยังไงถึงได้โทรมแบบนี้ อย่าบอกนะว่าเพราะกลุ้มเรื่องแม่ แม่มึงเป็นแบบนี้มาตั้งแต่มึงเกิดแล้วคงไม่ใช่มาเครียดอะไรตอนนี้”
จู่ ๆ จันทร์วาดก็ร้องไห้ออกมา
“เชี่ย เป็นไรวะ ร้องทำไมเพิ่งเสียใจเรื่องแม่เหรอ จริงเหรอวะ อีวาดมึงปล่อยวางเรื่องแม่เถอะนะ ไม่งั้นมึงต้องร้องไปตลอดชีวิตแน่”
“ไม่ใช่เรื่องแม่ เรื่องคุณหลวงเดช”
เดือนดันหน้าเพื่อนออกจากอกแน่น ๆ ของตัวเอง สาเหตุหนึ่งที่ไม่กลับคอนโดเพราะเดือนพบรักใหม่กับผู้ชายที่เป็นคนบริจาคหนังสือ จากนั้นเขาก็ไปต่างจังหวัดกับเดือน นางยังไลน์มาอวดภาพแฟนใหม่ให้จันทร์วาดดู ช่วงนี้เดือนจึงห่างหายไม่สนใจเพื่อนไปพักหนึ่งแล้ว
“มึงว่าอะไรนะ คุณหลวงอะไรอีกอีวาด”
จันทร์วาดสะอื้น ดึงทิชชูจากกล่องออกมาสั่งน้ำมูกเสียงดัง โยนทิ้งถังขยะแล้วดึงแผ่นใหม่ออกมาซับน้ำตา
“มึงก็หนังสือนิยายเล่มนั้น หนังสือของคุณหลวงแม่งตัวหนังสือแทบไม่เหลือแล้ว ก็ค้นในเน็ตอยู่หลายวัน ไม่มีใครรู้จักนิยายเรื่องนี้เลย กูอยากอ่านกูจะลงแดงแล้ว เดือนมึงช่วยกูหน่อย”
“โถ่กูจะด่ามึงว่าอะไรดี เรื่องแม่ของมึงเลวร้ายขั้นนั้นมึงเสือกไม่ร้องไห้ กลับมาร้องไห้เพราะหนังสือนิยายโบราณเล่มนี้เนี่ยนะ”
“อือ ฮือ ฮือ ช่วยกูหน่อย กูคิดถึงคุณหลวง กูอยากอ่าน เขาเป็นคนในชีวิตจริงของกูไปแล้ว กูรักของกูไปแล้ว มึงทุกคืนกูยังฝันว่าเขาเรียกกูว่าแม่จันทร์วาดจ๋า เสียงหวานมากเลยนะมึง”
เดือนกลอกตามองบน เข้าใจคำว่ามโนสร้างเรื่องเต็มที่จับสองมือของเพื่อนแล้วพูดเบา ๆ
“มึงให้กูช่วยแล้วและกูก็กำลังช่วยหาอยู่ ในกลุ่มบรรณารักษ์ช่วยกันหาแทบจะทั้งประเทศแล้ว ไม่มีคนรู้จักหนังสือเล่มนี้แม้แต่คนเดียว วาดมึงทำใจเถอะ หาเรื่องใหม่มาอ่าน เดี๋ยวมึงก็ลืม พระเอกนิยายมีเยอะแยะมึงอ่านหลาย ๆ เรื่องเปลี่ยนผัวไปเรื่อย ๆ ดีไหมวะ”
“เดือนมึงเห็นเพื่อนเป็นอะไร กูก็รักของกูจะลืมง่าย ๆ ได้ยังไง กูยังสงสัยเรื่องที่เขาไม่มีเมีย ทำไมอยู่ ๆ เนื้อหาในนิยายเปลี่ยนไปวะ เพราะอะไรวะ หรือว่าเพราะกู”
“มึงเพ้อเจ้อแล้ว เอาล่ะ กูจะหาเล่มใหม่มาให้อ่านนะเพื่อน กูรู้ว่ามึงปัญญาอ่อน แต่ไม่คิดว่าจะปัญญาอ่อนขนาดนี้”
“มึงมันใจร้าย ฮือ ฮือ ฮือ ไม่เข้าใจกูเลย กูไปเจอเขามาแล้วจริง ๆ นะ เดือนกูเคยเจอเขาแล้ว”
เดือนไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว ดูเหมือนจันทร์วาดจะเชื่อสนิทว่าเธอถูกดูดเข้าไปอยู่ในหนังสือจริง ๆ
หรือว่าเรื่องนี้เป็นผลกระทบจากอาการที่ถูกแม่ทำร้ายทางจิตใจอย่างรุนแรง ตอนนี้ยังหางานทำไม่ได้อีกจึงทำให้จันทร์วาดจิตตกและคิดมโนไปไกลจนเป็นแบบนี้
“วาดมึงต้องไปปรึกษาจิตแพทย์แล้วไหมวะ”
เดือนมองไปที่อ่างล้างจาน เจอถ้วยมาม่าที่ล้างทำความสะอาดแล้ววางซ้อนกันอยู่ตรงนั้นหลายอัน
“อีวาดมึงอย่าบอกนะว่ากูไม่อยู่สิบกว่าวันนี้ มึงแดกแต่มาม่าจนตัวเหลืองขนาดนี้”
“อือ กูซื้อตุนไว้เยอะน่ะ ขี้เกียจสั่งอาหารขี้เกียจลงไปเอา กูกำลังหาคุณหลวงของกูอยู่ กูไม่มีเวลาทำเรื่องพวกนั้น”
เดือนคิดว่าเพื่อนต้องป่วยแน่นอน เธอจึงค่อย ๆ พูดให้กำลังใจ
“มึงใจเย็น ๆ นะ กูรู้ว่ามึงอยากได้เขาเป็นผัว มึงรักเขา แต่ว่าถ้ามึงไม่ดูแลตัวเอง แล้วมึงถูกดูดเข้าไปในหนังสืออีก อีวาดด้วยสภาพแบบนี้ถ้าคุณหลวงมาเห็นคงตกใจจนกระโดดขาคู่ถีบหน้ามึงแน่ ๆ ผีตายซากชัด ๆ แล้วแบบนี้ผู้ชายที่ไหนเขาจะเอามึง”
จันทร์วาดเหมือนจะคิดได้
“เออว่ะ มึงพูดมามีเหตุผล มันเคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่งมันก็ต้องเกิดขึ้นอีกสิวะ เดือนกูซึ้งใจจริง ๆ ขอบใจเพื่อนรัก ไม่ได้แล้วกูต้องสวย กูต้องเป็นจันทร์วาดผู้งดงามหยาดเยิ้มคนเดิม”
เดือนถอนหายใจยาวยังแอบยิ้มในใจทั้งคิดว่า
เอาล่ะ การมีเพื่อนปัญญาอ่อนก็ดีแบบนี้ หลอกง่ายชะมัด
เมื่อหลอกคนสำเร็จเดือนก็รีบพูดต่อ
“ใช่เพื่อน เราต้องสวยเสมอวาดมึงรอคุณหลวงของมึงได้ แต่มึงต้องอย่าลืมเตรียมความพร้อม เอาล่ะอย่างน้อยการข้ามเวลาอาจต้องอาศัยพวกไสยศาสตร์ มึงลองนั่งสมาธิดีมั้ยจะได้จิตใจสงบดึงพลังมารอบกายหรือจะไปผ่อนคลายโดยการออกกำลังกายกับกูก็ได้ เพื่อนครูสอนเต้นของกูก็หล่อ ๆ หลายคนนะมึง มีแฟนจะได้หายเพ้อเจ้อ”
จันทร์วาดมีแผนอยู่ในใจแล้ว
“ไม่ล่ะ กูคิดว่ากูจะทำคลิปวีดีโอสร้างตัวตนในโลกอินเตอร์เน็ตอะไรพวกนั้น พอมีคนมาติดตามกูก็จะมีรายได้แล้วก่อนหน้าก็ตั้งใจจะทำเรื่องนี้ กูศึกษามาพอสมควรแล้ว กูจะได้มีเวลารอคุณหลวงของกูอยู่ที่ห้อง ถ้าชีวิตนี้กูไม่ได้รู้ว่าทำไมเนื้อหาในนิยายเปลี่ยน กูนอนตายตาไม่หลับแน่”
น้ำเสียงเนือย ๆ ของเดือนดังขึ้น
“เออตามใจมึง ชอบอะไรก็ทำแบบนั้นแหละ เร็วเข้าทำตัวให้สดชื่นหน่อย ไปอาบน้ำ กูจะสั่งอาหารอร่อย ๆ มาให้มึงกิน มาม่าเลิกกินเถอะมีประโยชน์อะไรวะ นอกจากทำให้ตัวบวมหน้าบวมเป็นอึ่งอ่างแบบนี้”
“เพื่อนรัก ขอบใจมากนะที่ยอมทิ้งผู้ชายมาหากู กูได้สติแล้วกูซึ้งใจจริง ๆ”
เดือนยิ้มแหย ๆ
“จริง ๆ วันนี้เขาติดธุระอยู่กับกูไม่ได้ กูเลยกลับคอนโดน่ะ อีวาดมึงจำไว้ว่ามึงไม่สำคัญเท่ากับผัวของกูหรอก”
“อีเลว อีทรยศเพื่อน”
“ใช่สิ ผู้ชายหายากจะตายก็ก็ต้องเกาะเอาไว้ดี ๆ แหมยังกะมึงดีนักแหละ เพ้อเจ้อกับผู้ชายในนิยายแบบนี้มันยิ่งกว่าไม่ปกติแล้ว”
“เออ กูยอมรับกูมันบ้าผู้ชาย จะเหมือนใครล่ะถ้าไม่ใช่เหมือนมึง”
จันทร์วาดทุบเข้าที่ไหล่หนา ๆ ของเพื่อนก่อนที่ทั้งสองคนจะเปล่งเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกัน
หลังจากวันนั้นจันทร์วาดก็เริ่มนั่งสมาธิจิตใจจดจ่ออยู่กับการเข้าถูกดูดเข้าไปในนิยายอีกครั้ง
เธอไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรถึงเอาแต่จดจ่ออยู่กับเขาแบบนี้ทั้งวันทั้งคืน มันเหมือนได้เจอใครบางคนที่เธอตามหามาเนิ่นนาน อีกส่วนหนึ่งในชีวิตของเธอที่ในที่สุดก็เจอแต่น่าเสียดายที่กลับอยู่คนละภพละชาติ
หนึ่งเดือนผ่านไปแล้วก็ไร้สัญญาณว่าจะมีเรื่องราวเหมือนในวันนั้นอีก นอกจากหนังสือที่ลางเลือนแล้วก็เหมือนว่าคืนนั้นเธอจะฝันไปจริง ๆ
แต่จันทร์วาดกลับไม่ถอดใจ วันนี้เธอไปกินข้าวกับเดือนและแฟนใหม่ของเดือนคนนั้น
สองคนต่างคนต่างตกอยู่ในห้วงรัก จันทร์วาดไม่อยากขัดคอเพื่อนจึงรีบกินข้าวแล้วขอตัวกลับ
“มึงไม่ต้องไปส่ง กูเรียกแกร็บแล้ว กูกลับได้”
“มึงกลับได้แน่นะ”
“ได้สิกลัวไรล่ะ ปกติก็นั่งแท็กซี่หรือไม่ก็รถเมล์อยู่แล้ว”
“งั้นกูเดินไปรอเป็นเพื่อน”
เดือนกับแฟนเดินมาส่งจันทร์วาดที่หน้าถนน รอไม่นานรถแกร็บที่เรียกเอาไว้ก็มาจอดอยู่ข้างหน้า
“กูไปนะ ขอให้ได้ขอให้โดนหนัก ๆ”
จันทร์วาดพูดเบา ๆ เดือนพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าแน่อยู่แล้วจากนั้นจึงโบกมือให้เพื่อนรัก
จันทร์วาดหันไปยกมือสวัสดีแฟนของเดือนก่อนที่จะเปิดประตูรถ ตอนนั้นเดือนร้องบอกคนขับรถ
“พี่คนขับฝนใกล้จะตกแล้ว ดูทางนั้นสิฟ้าแลบเชียวรีบขับหน่อยนะคะ”
คนขับรถรับคำ จากนั้นเดือนจึงปิดประตู แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรอยู่ ๆ จันทร์วาดก็ได้ยินเสียงเรียกเธอดังขึ้นมา
‘แม่จันทร์วาดจ๋า หล่อนอยู่ที่ใดหรือฉันคิดถึงหล่อนเหลือเกิน’
“พี่ได้ยินหรือเปล่าคะ เสียงอะไร”
จันทร์วาดถามขึ้นทันใด หัวใจเธอเต้นระรัว คนขับรถแกร็บเป็นผู้หญิงพยายามฟังเสียงก่อนจะส่ายหน้า
“ไม่มีนี่คะ เพลงก็ยังไม่ได้เปิด ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยค่ะ”
‘แม่จันทร์วาดจ๋า ฉันคิดถึงหล่อนนัก หล่อนอยู่ที่ใดหรือ’
นั่นไงเธอได้ยินเสียงนี้อีกแล้ว เสียงของคุณหลวงอัครเดชของเธอ เขากำลังเรียกหาเธออยู่
หัวใจของจันทร์วาดเต้นระรัว รู้สึกว่าตอนนี้เธอกำลังหน้ามืดและคล้ายจะร่างกายลอยคว้าง
ความรู้สึกในวันนั้นกลับมาอีกครั้ง จันทร์วาดรู้ได้ทันทีว่าเธอต้องรีบกลับคอนโด ไปกอดหนังสือเล่มหนานั้นให้เร็วที่สุด
สามัญสำนึกของเธอร่ำร้องบอกว่า
หากเธอพลาดโอกาสนี้เธอก็ไม่รู้ว่าจะได้เจอเขาอีกเมื่อไหร่
จันทร์วาดตะโกนเสียงดัง
“พี่คะ ซิ่งเลยค่ะซิ่งเลยมีคนใกล้ตายรออยู่ที่ห้องของหนู”