บทที่ 5 ฉันรอหล่อนอยู่
เมื่อลืมตาขึ้นพร้อมกับกอดหนังสือเล่มใหญ่จันทร์วาดก็ฟุบอยู่บนพื้นไม้ตรงจุดเดิมที่เธอเคยมาเมื่อเดือนก่อนแล้ว
ตอนนี้ทุกอย่างแจ่มแจ้งแก่สายตา เธอไม่ได้ฝัน เธอไม่ได้บ้า และไม่ได้เพ้อเจ้อเหมือนที่เดือนพูด
ทุกสิ่งคือเรื่องจริง
“แม่จันทร์วาดหรือ”
เธอไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า ก่อนที่เขาจะคุกเข่าลงใกล้ ๆ เธอ แล้วขมวดคิ้วมุ่นเข้าหากันก่อนที่จะคลายหัวคิ้วออก
“ไยตัวเปียกเช่นนี้เล่า ที่บ้านหล่อนฝนตกหรือ”
จันทร์วาดเงยหน้ามองเขาน้ำตาไหลออกมาโดยที่ไม่รู้ตัว
“คะ คุณหลวง ฉะ ฉัน”
พูดไม่ทันขาดคำเธอก็พุ่งตัวเข้าไปหาเขาสองแขนเรียวโอบรอบคอแกร่งเอาไว้แน่นพร้อมกับร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุด
ร่างกายของหลวงอัครเดชแข็งค้าง ที่จู่ ๆ ก็ถูกแม่หญิงผู้หนึ่งกระโดดกอดแล้วร้องไห้อย่างเอาเป็นเอาตาย สองมือของเขาอ้าออกแต่กลับไม่กล้าที่จะกอดเธอ
จันทร์วาดถูไถใบหน้าของตัวเองเข้ากับอกเขา คงเพราะที่นี่อากาศค่อนข้างเย็นเธอเองก็ตัวเปียกปอนจึงสั่นเล็กน้อย
เสียงจากข้างนอกดังขึ้น
“คุณหลวงขอรับ เรียกกระผมหรือขอรับ”
จันทร์วาดกลั้นสะอื้น สองมือยังกอดคนตัวโตแน่น เขาหายใจเข้าลึกแล้วตะโกนตอบบ่าวของตัวเอง
“ไม่มีอันใด คืนนี้ไม่ต้องเฝ้าหน้าเรือนเอ็งกลับไปนอนที่เรือนเถิด”
“ขอรับ”
เสียงด้านนอกเงียบเรียบ คุณหลวงจึงค่อย ๆ ผลักร่างเล็กออกจากอก
“ร้องไห้ทำไม ผีสางก็ร้องไห้เป็นด้วยหรือ”
เขาขยับเล็กน้อย จันทร์วาดกลับผวาเข้าไปกอดเขาอีก ถือสิทธิ์ที่เธอคิดขึ้นมาเองว่ากอดเขาได้รัดร่างใหญ่ของคุณหลวงไม่ยอมปล่อย
หลวงอัครเดชถอนหายใจ
“หากไม่ปล่อยจะหยิบผ้าเช็ดตัวได้อย่างไร จะรัดอยู่เช่นนี้ทั้งคืนไม่ได้ประเดี๋ยวจะจับไข้”
“ก็คนคิดถึงนี่คะ กลัวว่าหากปล่อยแล้วจะถูกดูดกลับไปยังโลกของฉัน จากนั้นจะไม่ได้เจออีก”
คนตัวโตอมยิ้มเล็กน้อย ท่าทางพึงพอใจกับคำพูดตรง ๆ โดยไม่กระดากนี้ไม่น้อย น้ำเสียงจึงทอดทุ้มอ่อนโยน
“คิดถึงฉันหรือ ผีสางก็คิดถึงคนเป็นด้วยหรือ หากคิดถึงไยหายไปเป็นเดือนเลยเล่า”
“ฉันบอกคุณหลวงแล้วนะคะว่าฉันเป็นคน ไม่ใช่ผีเสียหน่อย ที่หายไปก็คิดถึงคุณหลวงทุกวัน แต่ฉันควบคุมการเดินทางไม่ได้นี่คะ ฉันแค่ผู้โดยสารก็เท่านั้น”
หลายคำฟังรู้ หลายคำก็ยังไม่เข้าใจ คุณหลวงอัครเดชถอนหายใจยาวอีกครั้ง
“เอาล่ะ เรื่องนี้ค่อยตัดสินกันภายหลัง หล่อนปล่อยฉันก่อนเถิดยามนี้มิใช่เพียงหล่อนที่เปียก หล่อนก็ทำฉันเปียกไปด้วย เปียกกันสองคนจะได้จับไข้กันสองคน”
ที่เขาไม่ได้บอกหล่อนไปก็คือ ตอนนี้ร่างนุ่มนิ่มของหล่อนทำให้เขาใจสั่นหวิว ๆ อย่างประหลาด แทบจะควบคุมตนเองไม่ให้ตวัดรัดร่างบางมากกกอดเอาไว้ไม่ได้แล้วเสียด้วยซ้ำ
จันทร์วาดมองเขาทั้งตัว
วันนี้คุณหลวงสวมเสื้อผ้าแพรกับกางเกงแพรสีอ่อนเข้าชุด ไม่ได้เปลือยส่วนบนเหมือนคราวที่แล้ว ซึ่งทำให้จันทร์วาดประหลาดใจเล็กน้อย ตอนนี้เธอกอดเขาจึงทำให้เสื้อของเขาเปียกไปมากกว่าครึ่ง
ในนิยายบอกเอาไว้ว่าคุณหลวงเมื่ออยู่ในเรือนมักจะไม่สวมเสื้อตามแบบฉบับผู้ชายโบราณ แต่ตอนนี้ทำไมแต่งตัวมิดชิดขนาดนี้
“ทำไมถึงสวมเสื้อผ้าล่ะคะ ปกติไม่ใส่ไม่ใช่เหรอคุณหลวงขี้ร้อนนี่”
เขาตอบตรง ๆ
“ก็ไม่รู้หล่อนจะโผล่มายามใด”
“เอ๋ เพราะฉันเหรอคะ”
“แล้วจะเพราะใครเล่า”
จันทร์วาดย่นหัวคิ้ว ทำท่าทางเสียดายสุด ๆ
“ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ค่ะ ฉันไม่ถือ”
“แต่ฉันถือ ปล่อยฉันแล้ววางหนังสือของหล่อนลงเถิด”
จันทร์วาดเพิ่งคิดได้ เธอยังกอดหนังสือเอาไว้อีกมือหนึ่ง ขยับห่างจากร่างสูงเล็กน้อย จับหนังสือด้วยสีหน้าตกใจ
“อ้ะ จริงด้วยเปียกหรือเปล่านี่ อ้ะ ไม่เปียกค่อยยังชั่ว”
จันทร์วาดห่อปกหนังสือเอาไว้ด้วยปกพลาสติกและยังห่อเอาไว้ในถุงซีลอีกชั้นป้องกันความเสียหายหนังสือของเธอจึงไม่ได้เปียกแต่ประการใด
เธอวางหนังสือเล่มใหญ่ลงตรงโต๊ะเขียนหนังสือของเขาอย่างเบามือ
เธอไม่ได้ปล่อยเขาเสียทีเดียว ยังจับข้อมือของเขาเอาไว้แล้วเดินตามเขาต้อย ๆ ปล่อยให้เขาจับเธอนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งเหมือนตุ๊กตาไขลาน
“หล่อนเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อน จากนั้นค่อยสนทนากัน”
“แต่ฉันไม่มีชุดมาเปลี่ยนนะคะ ฉันรีบวิ่งจากรถแท็กซี่ขึ้นมาที่ชั้นสิบสี่แล้วตรงมาอุ้มหนังสือนี่เลยค่ะ ที่บ้านฉันฝนตกหนักก็เลยเป็นแบบนี้ไม่ทันได้เตรียมเอาอะไรมา”
คุณหลวงยิ้มเล็กน้อย
“สวมเสื้อผ้าฉันไปก่อน อาจจะหลวมแต่ก็พับ ๆ ทบ ๆ ก็ใช้ได้”
“จริงเหรอคะ ให้ฉันใส่จริง ๆ เหรอคะ”
จันทร์วาดย่อมประหลาดใจ คุณหลวงเป็นคนเจ้าสำอางเขาไม่ชอบให้ใครแตะของ ๆ เขาเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งเป็นข้าวของเครื่องใช้แล้วยิ่งหวงกว่าสิ่งใด
แต่กับเธอเขากลับยอมโดยดี
“อืม ให้หล่อนใส่ ดีกว่าให้หล่อนเป็นไข้”
หญิงสาวยิ้มร่า ใครจะคาดคิดว่าเธอจะได้ใส่เสื้อผ้าของหลวงอัครเดชกันล่ะ โชคดีชะมัด
หลังจากเขาไปหยิบเสื้อผ้าที่พับเรียบร้อยในหีบมาให้ ก็เปิดประตูเดินออกไปยังไม่ลืมทิ้งคำพูดเอาไว้
“เสร็จแล้วให้รีบเรียกฉัน”
“คิดถึงฉันเหรอคะ”
คนถูกถามหน้าแดง เขามองหล่อนปราดหนึ่งเร็ว ๆ แล้วหันหลังให้
“อยากรู้เรื่อง กลัวว่าหล่อนจะหายไปก่อน”
“ค่ะ เข้าใจค่ะ คงมีแต่ฉันที่คิดถึงคุณหลวงคนเดียว จันทร์วาดหนอจันทร์วาด รักเขาข้างเดียวข้าวเหนียวนึ่ง”
เขาไม่ยอมบอกหล่อน ว่าตัวเองได้แต่เฝ้ารอจันทร์วาดทุกวันจนคิดว่าตัวเองเป็นไข้ใจเสียแล้วกระมัง
แม่จันทร์วาดผู้ที่เดาไม่ถูกบอกไม่ได้ว่าแท้จริงมาจากไหน เป็นผีสางหรือนางฟ้าหรือจะเป็นคนอย่างที่เจ้าตัวยืนกราน เขาเดินออกไปเงียบ ๆ ตัวโตกว่าเธอมาก แต่ฝีเท้าเบายิ่งกว่าแมวย่องกระทั่งได้ยินเสียงปิดประตูเบา ๆ จันทร์วาดจึงเริ่มเปลี่ยนเสื้อผ้า
จันทร์วาดได้กลิ่นน้ำอบที่อบร่ำบนเสื้อผ้าของเขา ยังมีกลิ่นแดดอ่อน ๆหอมกรุ่นติดจมูก
ผู้ชายคนนี้อยู่ในชนชั้นขุนนาง ส่วนปลายสุดของห่วงโซ่อาหารชนชั้นมนุษย์พิเศษ ในยุคโบราณนี้ความสบายทุกอย่างเขาจึงมีสิทธิ์ได้รับอย่างเต็มที่
ทุกอย่างในห้องล้วนถูกขัดจนเงาวับไม่มีฝุ่นแม้แต่นิดเดียว กระทั่งกลิ่นของเขายังหอมกรุ่นติดจมูก
แน่นอนว่าไม่ใช่กลิ่นน้ำหอมราคาแพง แต่เป็นกลิ่นหอมของดอกไม้อ่อน ๆ ที่เธอเดาไม่ถูกว่าดอกอะไร
เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าใส่ชุดของเขา แต่เพราะขนาดที่ต่างกันอย่างมากทำให้เสื้อของเขาที่เธอสวมอยู่ยาวเลยมาจนถึงครึ่งเข่า
“ใส่เป็นเดรสเลยแล้วกัน”
จากนั้นเธอก็สวมกางเกงทับ ทั้ง ๆ ที่ไม่อยากใส่เลยสักนิดแต่ชุดชั้นในของเธอเปียกแล้วจึงจำเป็นต้องถอดออกมาทั้งหมด
จันทร์วาดเดินไปที่ริมหน้าต่างลมกำลังพัดแรง วันนี้ฝนไม่ตกเหมาะแก่การตากผ้า แน่นอนว่าเธอพาดเสื้อผ้าของตัวเองพึ่งลมไว้ที่ขอบหน้าต่างโดยไม่รู้สึกอะไร
ตากผ้าเสร็จก็รีบเดินมาที่หน้าประตู บอกเขาเบา ๆ
“คุณหลวงเสร็จแล้วค่ะ”
หลวงอัครเดชเปิดประตูเข้ามา เขาเปลี่ยนชุดใหม่แล้วเหมือนกัน เขามองจันทร์วาดด้วยสีหน้าขบขันกึ่งเอ็นดู
“ทำไมคะ ปกติฉันไม่เคยเสียหน้าต่อหน้าผู้ชายนะคะ ตอนนี้มันฉุกเฉินจริง ๆ”
หลวงอัครเดชยิ้ม
“หล่อนน่าเอ็นดู คล้ายเด็ก”
คำชมนี้ทำให้จันทร์วาดยิ้มจนแก้มแดง เอาล่ะเธอชอบเสื้อผ้าของเขาจริง ๆ
“เสื้อผ้าของหล่อนเล่าอยู่ที่ใด”
จันทร์วาดชี้ไปที่หน้าต่าง
“ตรงนั้นค่ะ มันเปียกทั้งหมดฉันตากเอาไว้”
สีหน้าของคุณหลวงไม่ดีนัก เขาหันมาดุเบา ๆ
“ตากผ้าที่หน้าต่างจะเรียกวิญญาณไม่ดีมา”
“ฉันไม่ใช่ผีค่ะ”
“ฉันไม่ได้หมายถึงหล่อน แต่ช่างเถิด เสื้อผ้าเปียกหากไปตากข้างนอกคนอื่นจะสงสัย”
เขาพูดเองตอบเอง แล้วหันมามองใบหน้าสวยซึ้งของจันทร์วาด
“มานี่ซี”
เธอตามเขามานั่งที่เก้าอี้ ตะเกียงพายุถูกวางไว้ตรงกลางที่มีโต๊ะกั้น เขาไขตะเกียงเพิ่มแสงให้สว่างขึ้นส่งผ้าสีขาวให้เธอ
“เช็ดผมด้วยจะได้ไม่เป็นหวัด”
“ขอบคุณค่ะ”
นิสัยของคุณหลวงเป็นคนที่สุภาพและอบอุ่นแต่เป็นคนปากกับใจไม่ตรงกัน ในเมียสี่คนของเขาจันทร์วาดอ่านยังไม่ถึงตอนที่เฉลยว่าใครคือนางเอกผู้โชคดีคนนั้น ในสมองของเธอตอนนี้มีเพียงเรื่องนี้ที่อยากถามให้รู้เรื่อง
“หล่อนมาได้อย่างไร”
“เมียทั้งสี่คนของคุณหลวง อยู่คนละบ้านเหรอคะ”
และแล้วพวกเขาก็ถามขึ้นพร้อมกัน แต่คนที่อึ้งคือหลวงอัครเดช จันทร์วาดจึงรีบพูดอย่างร้อนรน
“ตอบคำถามฉันก่อน ฉันถึงจะตอบคุณหลวงค่ะ”
“หล่อนบอกเองไม่ใช่หรือว่ารู้จักฉันดีจากหนังสือเล่มนั้น”
จันทร์วาดเม้มปาก
“ในหนังสือบอกแบบนั้นนี่คะฉันจะเอาหลักฐานให้ดูแต่ว่าหมึกมันหายไปหมดแล้ว หายไปอย่างมีนัยสำคัญค่ะ”
“เอาเถิด ฉันจะบอกว่าไม่เชื่อก็เห็นว่าจู่ ๆ หล่อนก็โผล่มาอย่างไร้ร่องรอยกับตา จึงไม่อาจไม่เชื่อได้แต่เรื่องที่เขียนเอาไว้ผิดเพี้ยน”
“ผิดเพี้ยนคือไม่ถูกต้องใช่ไหมคะ”
“ใช่”
“หมายความว่า...”
“ฉันยังไม่ออกเรือน ไม่เคยมีเมียมาก่อน ฉันเองก็สงสัยว่าคนที่ประพันธ์หนังสือแต่งเติมเรื่องใดเข้าไปบ้าง หรือว่าอาจจะรู้แค่ผิวเผินแล้วแต่งเติมเข้าไป”
จันทร์วาดทั้งดีใจและโล่งอก
“คะ คุณหลวงโสดสนิทเหรอคะ ไม่มีเมียแม้แต่คนเดียวจริง ๆหรือคะ”
“อืม แต่ก็ใกล้จะแต่งแล้ว”
“ห๊า ได้ยังไงคะ ฉันเพิ่งดีใจเองนะคะ”
“หล่อนจะดีใจเรื่องอันใด”
จันทร์วาดหน้ามุ่ย
“ดีใจที่คุณหลวงยังไม่แต่งงานนี่คะ แต่ก็ดับฝันกันก่อนเสียนี่”
“ความจริงฉันกำลังจะมีคู่หมาย คุณแม่อยากให้เป็นทองแผ่นเดียวกันกับแม่หญิงนางหนึ่ง”
หัวใจของจันทร์วาดรู้สึกปวดหนึบ และเธอก็นึกถึงชื่อหนึ่งขึ้นมา เมียเอกของเขาแม่ดาวเรือง
“ผู้หญิงที่เป็นลูกเจ้าพระยาอะไรสักอย่างชื่อดาวเรืองเหรอคะ”
คุณหลวงมีสีหน้าแปลกใจที่เห็นว่าจันทร์วาดเดาไม่ผิด
“หล่อนรู้หรือ”
“ค่ะ ยังรู้อีกว่าต่อไปจะมีเมียน้อยอีกสามคน”
“ฉันนี่หรือ”
“ค่ะ คุณหญิงแม่ของคุณหลวงจัดหาให้ คุณหลวงก็รับค่ะ คุณหลวงมีลูกยาก ที่ยังไม่แต่งงานก็คงเพราะก่อนหน้านี้คู่หมายจมน้ำตาย ก็เลยเป็นเหตุให้คุณหลวงโสดมาจนถึงตอนนี้เพราะหาคนเหมาะสมไม่ได้”
“หล่อนรู้มากเสียจริง”
สีหน้าของจันทร์วาดดูผิดหวังขึ้นมาทันที
“นี่ฉันอกหักตั้งแต่ยังไม่ได้คบกันเลยเหรอนี่ ให้ตายเถอะฉันอุตส่าห์ฝันมานานว่าจะมีรักข้ามภพกับเขาสักครั้ง ก่อนที่จะมาที่นี่ฉันคิดเรื่องนี้ทุกวันเลยนะคะ ว่าบางทีพวกเราอาจจะเป็นเนื้อคู่กัน”
“หล่อนอย่าพูดเหลวไหล หล่อนกับฉันอยู่คนละที่จะเป็นเนื้อคู่ได้อย่างไร”
“แต่ฉันรู้จัก...”
คุณหลวงตัดบท
“สิ่งที่หล่อนอ่านมาผิดเพี้ยนไปบางส่วน ไม่อาจพูดว่ารู้จักฉันเป็นอย่างดี”
คนฟังหน้าม่อยทั้งสลดลงไปอีกเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ ท่าทางดูน่าสงสารไม่น้อย
หญิงสาวย่นจมูก ยกเท้าขึ้นมาเหยียบที่เก้าอี้แล้วคู้ไหล่ลงกอดอกตัวเอง
“ที่บ้านของแม่จันทร์วาดมิได้เคร่งมารยาทหรือ”
จันทร์วาดไม่สนใจ ยังกอดตัวเองและซบใบหน้าเกยคางลงบนเข่า คุณหลวงก็ได้แต่ส่ายหน้าปลงตกกับกิริยาไร้สกุลของจันทร์วาด
“คนกำลังเสียใจใครจะมานึกถึงมารยาทกันคะ คุณหลวงมีคนอื่นแล้วจันทร์วาดก็ต้องเสียใจ”
คนฟังดูวางสีหน้าไม่ถูกยังเอ่ยแผ่วเบา
“หล่อนบอกมาจากอีกภพหนึ่ง ถึงไม่ใช่ผีแต่ก็ไร้ตัวตนในภพนี้ไม่แน่ว่าอาจจะไม่ได้มาอีก จะมาเสียใจอันใดกับการออกเรือนของฉัน”
เขาไม่เชื่อเด็ดขาด แต่จันทร์วาดกลับยืนยันและหน้าของเธอก็หนาเกินจะรู้สึกอายที่ต้องบอกความรู้สึกของตัวเอง
คงเป็นเพราะส่วนหนึ่งเธอไม่รู้ว่าจะได้มาที่นี่อีกเมื่อไหร่ ในเมื่อไม่มีอะไรแน่นอนก็สู้บอกความรู้สึกไปเลยก็แล้วกัน
“คุณหลวงไม่รู้จักคำว่ารักแรกพบเหรอคะ”
“หล่อนรู้จักหรือ เป็นเช่นไรกัน”
ถามย้ำเหมือนต้องการจะรู้ความคิดของหล่อนคนนี้
“ค่ะ รู้สึกทันทีที่เห็นหน้า ไม่ใช่สิ ทันทีที่ได้อ่านเรื่องคุณหลวง คุณหลวงไม่รู้ตัวหรอกว่าคนเขียนเขาเขียนให้คุณหลวงน่ะ เผ็ดแค่ไหน ดุแค่ไหน ถูกใจฉันมาก ตอนนี้ยังมาเห็นตัวจริงอีก ให้ตายเถอะหล่อขนาดนี้ใครจะไม่ชอบล่ะคะ”
“หล่อนว่าฉันดุหรือ ฉันไม่ได้ดุ แค่เคร่งครัดเรื่องการงานก็เท่านั้น เป็นข้าราชบริพารในสมเด็จไม่อาจทำตัวเหลวไหลได้”
คนฟังเข้าใจไปอีกอย่าง แต่คนพูดกลับพูดถึงอีกอย่าง ดูท่าแล้วคงจะจูนกันไม่ติด
จันทร์วาดหัวเราะ
“ช่างเถอะค่ะ ดุของเราสองคนมันต่างกันลิบลับ แต่คุณหลวงไม่ต้องเข้าใจหรอก ฉันเสียใจแล้วแต่ตัดใจแล้วค่ะ ดีเหมือนกันฉันจะได้เลิกพร่ำเพ้ออีก”
เขามีสีหน้าขัดเขินเล็กน้อย แล้วพูดเบา ๆ
“ฉันยังไม่ได้ตกลงเป็นทองแผ่นเดียวกันกับบุตรสาวของคุณหญิงสายหยุด อย่างไรคุณแม่ก็ต้องฟังฉัน ฉันยังไม่ได้ออกเรือนตอนนี้ดอก”