บทที่ 3 หายไปเป็นปริศนา
ในที่สุดเขาก็ยอมนั่งลงตรงเก้าอี้ไม้ที่มีขนาดไม่ใหญ่มากที่มีฟูกยัดนุ่นหนา ๆ ปูรองด้านบน
จันทร์วาดมองซ้ายมองขวาก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ เขา เล่นเอาคุณหลวงผู้ถือยศศักดิ์ถึงกับตาค้างกับกิริยาไร้การสำรวมและเข้าหาผู้ชายโดยไม่ถือตัว
จันทร์วาดมองคนข้าง ๆ แล้วยิ้มจนเห็นฟันขาววับโชว์ลักยิ้มน่ารักข้างแก้ม
“มองทำไมคะ”
“ไยไม่นั่งที่พื้น นั่งเสมอบุรุษนั่งเสมอเจ้านายไม่อาจทำได้”
จันทร์วาดย่นจมูก
“พื้นเย็นจะตายนี่คะ ฉันไม่ใช่ทาสของคุณหลวงด้วย เรื่องหมอบคลานไม่ถนัดอีกอย่างที่นี่หนาวจะตายดูสิฝนก็ตกฟ้าก็ผ่า ฉันกลัวเสียงฟ้าร้องค่ะ เมื่อกี้ที่โผล่มาก็มีเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าฉันนี่กลัวจนฉี่แทบราดเลยค่ะ พวกเราต่อไปต้องสนิทกันตอนนี้ก็ใกล้ชิดกันไว้เถอะค่ะ ฉันไม่อยากนั่งพื้น ถ้าคุณหลวงอยากนั่งก็นั่งเองสิคะ อย่ามาบังคับคนอื่น”
สีหน้าของหลวงอัครเดชคล้ายจะเอือมระอา ในขณะที่จันทร์วาดกลับตีหน้าขรึมเอาจริงเอาจัง หลวงอัครเดชจึงเอ่ยเบา ๆ
“ใครเขาจะไปอยากสนิทกับคนท่าทางเพี้ยน ๆ เช่นหล่อนกัน”
“คุณหลวงอย่าพูดแบบนั้นสิคะ ฉันเสียใจนะคะ ฉันออกจะน่ารักไม่ได้เพี้ยนสักหน่อย”
บทเด็กขี้อ้อนเริ่มมาแล้ว ตอนนี้เธออายุยี่สิบกว่าปีถ้าคุณหลวงมีอายุตามหนังสือนิยายบอกตอนนี้เขาก็อายุยี่สิบแปดปีแล้ว ห่างกันตั้งหลายปีเธอจึงเหมือนเป็นน้องสาวของเขา
แต่ว่าด้วยสเปกชอบผู้ชายที่แก่กว่าของจันทร์วาดทำให้ดวงตาของเธอเป็นประกายเมื่อพบว่าผู้ชายที่อยู่ข้าง ๆ เธอตอนนี้ตรงกับสเปกทุกประการ
ผิวสีน้ำผึ้งนวลเนียนไร้รูขุมขน ใบหน้าสะอาดตาหล่อเหลา สันกรามคม ดวงตากลมโต จมูกโด่งได้รูป ปากหนาแบบฉบับชายไทยแท้ กล้ามท้องสวยเป็นลอน กล้ามแขนนั่นก็น่ากัดจนรู้สึกอยากลองสักคำ
ที่สำคัญคุณหลวงคนนี้ตัวสูงไม่น้อย น่าจะไม่ต่ำกว่าร้อยแปดสิบแน่ ๆ ทำให้จันทร์วาดที่สูงแค่หนึ่งร้อยหกสิบเซ็นเตี้ยไปถนัดตาเมื่อยืนคู่กับเขา
อา โชคดีจริง ๆ ที่ได้เห็นพระเอกในนิยายตัวเป็น ๆ ไม่คิดว่าจะงานดีกว่าที่คิดไว้อีก
จันทร์วาดจ้องเขาดวงตาหวานเชื่อมปากยังพูดอ่อนหวาน
“คุณหลวงฟังฉันหน่อยนะคะ ฉันไม่ใช่คนร้ายจริง ๆ ดูสิฉันเป็นผู้หญิงตัวเล็กแค่นี้ จะกล้าโกหกได้ยังไงคะ”
ทั้งน้ำเสียงอ่อนหวานสายตาออดอ้อนที่หลวงอัครเดชไม่เคยพบมาก่อนในชีวิตทำให้น้ำเสียงแข็ง ๆ และท่าทางแข็งกร้าวของเขาอ่อนลงไปมาก เธอกระแซะเขาพร้อมกับอมยิ้มขยับเข้ามาใกล้ ๆ
เขายืดตัวถอยหนี
“คุณหลวงรังเกียจฉันเหรอคะ”
“เรียกว่าสำรวม”
“ทำไมต้องสำรวมคะ ฉันไม่ใช่มหาเทวีเจ้าสักหน่อย”
หลวงอัครเดชพูดเบา ๆ
“ในเมื่อหล่อนไม่รู้จักคำว่ากุลสตรี ก็คงเป็นฉันที่ต้องระวังตัว”
จากนั้นเขาก็ลุกขึ้น ทว่ากลับถูกจันทร์วาดคว้ามือเอาไว้แล้วดึงให้เขานั่งลงที่เดิม
“นั่งด้วยกันนี่แหละค่ะ จะได้พูดคุยกันได้สะดวก ไม่ต้องไปนั่งพื้นหรอก ฉันไม่ถือ”
เขาปวดหัวแล้ว ใครจะนั่งพื้นกันเขาแค่จะยืนคุยกับหล่อนเท่านั้น เขาดึงมือของจันทร์วาดออกแต่หล่อนไม่ยอมปล่อยยังเกาะแน่นหนา ทั้งยังแอบลูบเบา ๆ จนเส้นข้างใบหน้าของหลวงอัครเดชตึงขึ้นมาทันใด
“เป็นแม่หญิงเข้ามาในห้องหับผู้อื่นกลางค่ำกลางคืนยังนั่งใกล้กันเช่นนี้ไม่ได้”
“ทำไมไม่ได้ล่ะคะ หรือชอบให้คนอื่นมาได้ยิน ฉันรู้ว่าหน้าห้องนอนของคุณหลวงต้องมีไอ้พร้า เอ๊ยน้าพร้าคอยเฝ้าอยู่ไม่ใช่หรือคะ”
คุณหลวงได้ยินยิ่งมีสีหน้าประหลาดใจ แน่นอนว่าหน้าเรือนของเขามีไอ้พร้าบ่าวที่ติดตามเขามาตั้งแต่เด็กคอยเฝ้าอยู่ตลอดแล้วแม่หญิงผู้นี้จะเข้ามาโดยที่บ่าวของเขาไม่รู้ได้อย่างไร
เรื่องเหนือธรรมชาติคนโบราณย่อมเชื่อถือมากกว่าคนสมัยใหม่ ตอนนี้ในใจของคุณหลวงจึงมองว่าเธอเป็นผีหรือไม่ก็วิญญาณลี้ลับที่บังเอิญโผล่เข้ามาในห้อง
“คุณหลวงจ้องฉันอีกแล้วนะคะ นิสัยชอบคิดไม่ชอบพูดนี่ทำให้คนไม่รู้นะคะว่าจริง ๆ อยากได้อะไร”
ผู้ชายโบราณรูปหล่อคนนี้ตกใจกับคำพูดของเธออีกแล้ว แน่นอนว่านั่นเป็นเพราะเธอดันรู้กระทั่งนิสัยที่ไม่ค่อยชอบพูดของเขา
“ฉันรู้สึกว่าเรื่องของหล่อนมันคลุมเครือไม่ชัดเจน คนธรรมดาไม่อาจทำได้ หรือหล่อนจะไม่ใช่คนจริง ๆ”
จันทร์วาดหัวเราะคิก
“อย่าบอกนะคะว่าคุณหลวงกำลังคิดว่าฉันเป็นผี”
เธอทายถูกเผง และสายตาคมที่มองมานั้นทำให้เธอถอนหายใจยาว
“คุณหลวงฉันเป็นคนจริง ๆ ค่ะ ฉันชื่อจันทร์วาด คือฉันเกิดวันจันทร์ค่ะ แม่เลยตั้งส่ง ๆ ว่าจันทร์คำเดียว ดูสิฉันสวยขนาดนี้จะใช้ชื่อว่าจันทร์ได้ยังไง เพื่อนล้อตายเลย พอโตขึ้นมาฉันเลยไปเปลี่ยนเองเลยค่ะ เติมวาดเข้ามาเป็นจันทร์วาด ชื่อเหมือนนางในวรรณคดีเลยใช่หรือเปล่าคะ ฉันเคยไปดูดวงแล้วนะคะ ชื่อนี้ดีมากอาจได้เป็นถึงคุณหญิงคุณนายนั่งกินนอนกินไปตลอดชีวิต ถ้าคุณหลวงจะกรุณา”
จันทร์วาดอดไม่ได้ที่จะเต๊าะคนหล่อไปหนึ่งประโยค แต่ดูเหมือนว่าคุณหลวงคนนี้จะไม่เข้าใจความตั้งใจของเธอแล้ว
หลวงอัครเดชฟังเธอเล่าเรื่องตัวเองรัวเร็วจนหูอื้อ เขาไม่เคยพบแม่หญิงคนใดพูดเร็วเท่านี้มาก่อน ยังมีเรื่องชื่อที่เขาไม่เห็นด้วย
“ชื่ออีจันทร์ก็ไพเราะไม่เบา ไยจึงคิดเปลี่ยนชื่อที่พ่อแม่ให้มาเล่า”
“อีจันทร์ โอ๊ยคุณหลวงก็ช่างมาเติมให้ฉัน แค่จันทร์คำเดียวก็แย่แล้วค่ะ ยังมามีอีเอออะไรอีก เชยจะตาย อีจันทร์นี่มันเพราะตรงไหนคะ แล้วคุณหลวงว่าชื่อจันทร์วาดไม่ดีเหรอคะ”
ในที่สุดเขาก็ถูกเด็กหลอกให้พูดเรื่องชื่อที่เขาเห็นว่าไร้แก่นสารจนได้
“เอาเถิดหล่อนเข้าใจเลือก จันทร์วาดก็งามสง่าไพเราะไม่น้อย เอาเป็นว่าชื่อดีทั้งสองหากจะไม่เปลี่ยนก็ยังเป็นชื่อที่งามนัก”
“ใช่ไหมล่ะคะ คุณหลวงยังบอกเลยว่าไพเราะเพราะพริ้ง อ้อ แล้วฉันไม่ใช่ผีจริง ๆ นะคะ ดูสิ ตัวก็อุ่น หัวใจก็เต้นเป็นปกติ”
มือของเธอไวเท่ากับฝีปาก เพราะต้องการพิสูจน์ว่าตัวเองเป็นคนจึงคว้ามือของคุณหลวงขึ้นมาจับที่จมูกตัวเองแล้วยังพามือใหญ่มาวางแนบอก
มือของเขาทั้งใหญ่และร้อนแม้จะทาบอยู่นอกเสื้อคลุมแต่ก็ทำให้จันทร์วาดสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอุ่นวาบตรงนั้น
ทว่าหัวใจของจันทร์วาดเต้นเป็นจังหวะปกติ แต่หัวใจของหลวงกลับเต้นระรัวรุนแรง หลวงอัครเดชกระแอมแล้วค่อย ๆ ดึงมือของตัวเองออกมาช้า ๆ
ยอมรับอยู่ไม่น้อยว่านั่งใกล้หล่อนเช่นนี้ทำให้ได้กลิ่นหอมประหลาดที่ชวนให้รู้สึกว่าร่างกายร้อนผ่าว และยังติดอยู่ที่ปลายจมูกไม่รู้คลาย
เขาเสมองไปทางอื่นด้วยสายตาเอาแต่จะคอยจับจ้องใบหน้านวลผ่อง ฟันขาววับที่งามพิกลของหล่อน
“เอาล่ะแม่จันทร์”
จันทร์วาดยกมือขึ้นแล้วส่ายไปมาพร้อมกับส่ายศีรษะของตัวเอง
“จันทร์วาดค่ะ จันทร์วาด ไม่เอาไม่เรียกว่า จันทร์เฉย ๆ”
แม่หญิงผู้นี้ช่างมากเรื่องนัก แต่หลวงอัครเดชยังใจเย็นพูดคุยกับหล่อนโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน
“อะ แฮ่ม แม่จันทร์วาด”
เมื่อเขาเรียกถูกเธอจึงยิ้มแป้นจนเห็นลักยิ้มอย่างพอใจ หลวงอัครเดชเห็นว่ารอยยิ้มนี้ช่างน่าดูชมไม่น้อย
“ค่ะ ว่ามาค่ะ ต่อเลย”
“หากหล่อนไม่ใช่ผี เช่นนั้นหล่อนก็สารภาพมาว่าใช้กลอันใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้”
จู่ ๆ จันทร์วาดก็ยืนขึ้นจนคุณหลวงตกใจ จากนั้นเธอก็วิ่งตึง ๆ ไปที่ข้างเตียงของเขา ตรงนั้นที่เธอทำหนังสือหล่นเอาไว้ก่อนจะวิ่งกลับมาหยุดยืนที่หน้าเขา
“จะลุกจะนั่งก็ให้สำรวม กิริยามารยาทให้งามเสียหน่อยเถิดแม่”
จันทร์วาดขบขันกับน้ำเสียงและคำพูดที่แสนจะโบราณนี้ของเขา เธอจึงอดกระเซ้าไม่ได้
“ฉันยังไม่มีลูกค่ะ เป็นน้องคุณหลวงตั้งหลายปี คุณหลวงต้องพูดว่าจะลุกจะนั่งก็ให้สำรวมหน่อยเถิดหนู”
หลวงอัครเดชขมวดคิ้ว ในขณะที่จันทร์วาดยิ้มหวานแล้วหัวเราะเบา ๆ
“มุกนี้ไม่ตลกเหรอคะ”
เขาส่ายหน้าช้า ๆ
“อย่าเล่นลิ้นอีกเลย หนังสืออันใดอยู่ในมือหล่อน”
เขาจ้องหนังสือที่จันทร์วาดกอดเอาไว้เขม็ง
“อ้อ” จันทร์วาดพูดรัวเร็ว
“คุณหลวงนี่ดูสิคะ ว่าทั้งหมดเขียนเกี่ยวกับคุณหลวงเอาไว้ฉันเลยรู้จักคุณหลวง ฉันคิดว่าฉันมาจากอีกโลกหนึ่งถูกดูดเข้ามาที่นี่”
เธอหยุดพูดเล็กน้อยก่อนที่จะส่งสายตานับถือเขาออกไป
“ฉันยังรู้ว่าคุณหลวงมีเมียตั้งสี่คนแน่ะค่ะ”
หลวงอัครเดชดวงตาเบิกกว้าง สีหน้าและท่าทางตกใจไม่น้อย
“ฉันน่ะหรือ มีเมียสี่คนผู้ใดบอกหล่อนกัน”
“ฉันอ่านมาค่ะ นี่ดูค่ะ ก่อนที่จะมาโผล่ที่นี่ฉันกำลังนั่งอ่านหนังสือเล่มนี้ที่คอนโด อยู่ดี ๆไฟก็ดับ รู้ตัวอีกทีก็ถูกดูดเข้ามาในนี้ค่ะ เอ๊ะ แต่ทำไมหนังสือเปิดไม่ออกกันนะ ทำไมติดกันแบบนี้”
จันทร์วาดพยายามเปิดหนังสือ แต่หนังสือเล่มนั้นกลับติดกันแน่นเหมือนถูกกาวเหนียวติดเอาไว้ทั้งเล่ม
“ส่งมาให้ฉันซี ให้ฉันตรวจสอบเสียหน่อย”
คุณหลวงยังมีสีหน้าฉงน ใจหนึ่งยังคิดว่าจันทร์วาดเป็นผีแต่เนื้อตัวอุ่นนุ่มนิ่มทั้งยังสามารถแตะต้องได้ดวงตามีประกายเหมือนคนทั่วไป
ร่างกายของแม่หญิงจันทร์วาดก็หอมอ่อน ๆ ทั้งตัวเขาก็เป็นคนมีของดีไม่น้อยแม่จันทร์วาดผู้นี้กลับไม่ยักเป็นอันใดเมื่อยามที่นั่งแซะกายข้าง ๆ เขา
คุณหลวงยื่นมือมารับหนังสือ ทว่ากลับบังเกิดลมพัดแรงจนหน้าต่างที่เปิดเอาไว้ทั้งยังมีไม้ค้ำดันปิดเข้ามาดังปัง ตะเกียงในห้องถูกลมพัดจนปลิวและกระแทกจนไส้ตะเกียงร่วงหล่นลงมาดับสนิท
“ประเดี๋ยวฉันจัดการตะเกียงก่อน หล่อนอยู่เงียบ ๆ ในนี้ฉันจะไปเรียกไอ้พร้าให้เอาตะเกียงอันใหม่มาให้”
คุณหลวงเอ่ยเบา ๆ เกรงว่าจะทำให้แม่จันทร์วาดคนนี้ตกใจเข้าให้แล้ว ทว่าเมื่อเขาคิดจะจับมือของหล่อนให้นั่งลงบัดนี้ก็พบว่าคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ยืนอยู่ที่นั่นแล้ว
หลวงอัครเดชเพ่งสายตาในความมืดก่อนจะเอ่ยเบา ๆ
“แม่จันทร์วาดยังอยู่หรือไม่”