3.โฉมงามผู้อับจนปัญญา
โฉมงามผู้อับจนปัญญา
ยามเช้าในวันเดียวกัน หยางอี้คังทั้งเพลียและหงุดหงิดใจ ชายหนุ่มเรียกหาสุราจากอาเปี่ยว ซึ่งเป็นทั้งคนสนิทและลูกพี่ลูกน้องของเขา
หยางอี้คังสอบถามอีกฝ่ายเสียงเครียดว่าเกิดเหตุผิดพลาดได้อย่างไร อันที่จริงสตรีที่เขาควรพบหน้าคือม่านลั่วลั่ว หญิงสาวที่เขากับนางมีสัญญาใจไว้ต่อกัน
หยางอี้คังขบกรามแน่น เขานัดม่านลั่วลั่วไว้ ณ สถานที่ดังกล่าวในเวลายามเหม่า (คือ 05.00 - 06.59 น.) หลังจากที่ฝ่ายหญิงตั้งใจออกมาเที่ยวเทศกาลสำคัญของเมือง นางกับเขามีข้อตกลงกันไว้เมื่อครั้งเยาว์วัย
แต่ที่ผ่านมาหยางอี้คังกรำศึกหนัก อีกทั้งได้รับรางวัลมากมายทั้งเงินทอง ชื่อเสียง รวมถึงสาวงามจากหัวเมืองต่างๆ ที่เขาออกไปช่วยศึกสงคราม กระทั่งเขาช่วยให้หญิงงามเหล่านั้นมีที่ทางของตนและได้พบชีวิตใหม่เพราะไม่ต้องการให้มีเรื่องเศร้าใดๆ เกิดขึ้นอีกบนสังเวียนรักของเขาอีก
กระนั้นยังมีสตรีหลายนางที่ต้องการหลับนอนกับเขา แต่หยางอี้คังประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่า เขาต้องการเลือกสตรีเพียงหนึ่งเดียวมาเป็นหยางฮูหยินด้วยตนเอง และนั่นย่อมหมายถึง เขาอยากทำตามความปรารถนาที่เคยให้ไว้กับม่านลั่วลั่ว
หยางอี้คังใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วนึกถึงถ้อยคำที่เคยกล่าวกับหญิงในดวงใจเมื่อหนึ่งปีก่อน
“ข้ากับเจ้าควรเกี่ยวดองกันเสีย หลังจากที่เราทั้งคู่ต่างครองตัวเป็นโสดมาหลายปี”
ในขณะนั้นหยางอี้คังอายุได้ยี่สิบแปดปี ส่วนม่านลั่วลั่วอายุย่างยี่สิบแล้ว นับว่าสมควรแก่การครองคู่ พวกเขารู้จักกันตั้งแต่เด็ก จากการที่เขาได้รับการช่วยเหลือจากบิดาของนาง เมื่อครั้งถูกจับกุมในข้อหาขโมยเมล็ดถั่ว แปะก๊วย และกุนเชียง เพื่อนำไปให้มารดาทำบ๊ะจ่างสำหรับให้บิดากินเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เขาจะสิ้นใจ
“ยามนี้ท่านเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ แต่ข้ามิอาจนิยมเป็นฮูหยินที่ต้องทนอยู่อย่างเดียวดาย หากสามีออกศึกในแดนไกล และถึงแม้ท่านต้องการมีฮูหยินเพียงคนเดียว แต่ภายภาคหน้าใครจะล่วงรู้ ในเมื่อตำแหน่งแม่ทัพอันทรงเกียรติจำเป็นต้องมีหลังบ้านคอยสนับสนุนเพื่อให้รากฐานมั่นคง และกฎ ‘สามภรรยาสี่อนุ’ ยังเป็นเรื่องที่ผู้ชายตระกูลหยางพึงปฏิบัติเรื่อยมา และไหนจะยังเมียบ่าวอีก เพียงแค่ได้ยินข้าก็หวั่นใจ”
ม่านลั่วลั่วมองชายหนุ่มรูปงาม นางรู้ดี เขามีชื่อเสียงเป็นที่โจษขานว่าดาบใหญ่และมักทำขาเตียงหัก แม้สองสามปีให้หลังเขาจะเลิกข้องเกี่ยวกับสตรีนางใด แต่ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องที่ผู้คนกล่าวถึงเล่นๆ หากมันคือความจริงที่หญิงสาวทั่วหล้าเกือบร้อยชีวิตประจักษ์มาแล้ว
“แต่ข้ามิได้พึงใจต่อสตรีใด ถึงเชยชมอยู่บ้าง กระนั้นก็ไม่อาจตบแต่งเข้าสกุลหยาง ซึ่งมันต่างจากเจ้า ลั่วลั่ว”
“ยามนี้ท่านก็พูดได้ ผู้ชายมักปากหวานยามเกี้ยวสตรี เมื่อได้อุ่นเตียงแล้วย่อมเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ!”
“ลั่วลั่ว เจ้าเห็นข้าเป็นคนเช่นไร” หยางอี้คังตัดพ้อ น้ำเสียงเขายังคงนิ่ง หากสีหน้าดูเศร้าลง เกือบสองปีแล้วที่เขาไม่ยุ่งเกี่ยวกับสตรีอื่น คือหลังเกิดเหตุร้ายมีหญิงสาวเสียชีวิตหลังเสร็จสมกับเขา และนั่นทำให้เขาเปลี่ยนตัวเองใหม่ รวมถึงอยากสานสัมพันธ์กับม่านลั่วลั่วเสียที
หญิงสาวยิ้มจางๆ และตอบตามความรู้สึกจากใจ
“แม่ทัพหยาง ท่านกับข้ายังมีเวลาตัดสินใจอีกนาน อย่าเพิ่งเร่งรัดเลย อีกอย่างศึกทางเหนือ ท่านยังต้องไปช่วยองค์ชายเกาสะสางอยู่มิใช่หรือ เช่นนั้นอย่าเสียเวลาเอาเรื่องของข้ามาคิดให้หนักหัวจะดีกว่า สตรีผู้นี้หากพึงใจสิ่งใด ย่อมไม่ต้องพูดจาให้เสียเวลา” ม่านลั่วลั่วบอกใบ้ชายหนุ่ม และหวังให้เขาเข้าใจว่านางเอาใจออกหากจากเขาเนิ่นนาน ไม่ใช่เพราะสิ้นรัก แต่สำหรับนาง ยุทธภพกว้างใหญ่ยังมีหลายสถานที่ซึ่งอยากออกไปผจญภัย
หยางอี้คังถอนหายใจเสียงดัง ภาระดังกล่าวเขาไม่อาจเลี่ยง
“มันคือหน้าที่ชายชาติทหาร”
“ท่านพูดถูก สำหรับข้าก็เช่นกัน ถึงเป็นสตรีแต่ไม่ถนัดเย็บปักถักร้อย แม้แต่เรื่องอาหารยังไร้ฝีมือ เช่นนี้ยากจะเป็นหลังบ้านให้ท่าน รู้แล้วก็ลองตรองดูเถิดท่านพี่”
ม่านลั่วลั่วไม่ใช่หญิงสาวอ่อนหวาน นางเรียนรู้วรยุทธ์จากบิดา และท่านปู่ยังเป็นถึงเจ้าสำนักกระบี่มือหนึ่งในยุทธภพ
“ถึงกระนั้น คำสัญญาของเราข้ายังยึดมั่น”
“ท่านแม่ทัพ จิตใจข้านับถือท่านมิน้อย กระนั้นเราต่างรู้ดีว่าสายน้ำมิไหลย้อนกลับ หลายสิ่งไม่อาจย้อนคืน เมื่อครั้งยังเด็กข้านิยมชมชอบท่าน มิต่างจากเด็กหญิงตัวน้อยที่โหยหาพี่ชายซึ่งเป็นตัวแทนของความกล้าหาญ และยังหล่อเหลาหาผู้ใดเทียบติด แต่เมื่อเติบใหญ่ข้ากลับชอบท่องเที่ยวไปทั่วหล้า สตรีเช่นนี้สมควรเป็นหยางฮูหยินของท่านหรือ”
หยางอี้คังนิ่วหน้า กระนั้นเขายังคิดว่าม่านลั่วลั่วเหมาะสมกับตน ดังนั้นจึงได้ทำสัญญากับนางไว้ว่า ในเทศกาลไว้บ๊ะจ่างของปีหน้า เขากับนางนัดพบกันที่เนินเขานิรนามเพื่อตกลงกันเรื่องคำมั่นในการแต่งงานที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ทว่าเมื่อถึงวันจริง เขาไม่ทันได้พบหน้าหญิงคนรัก หยางอี้คังต้องยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือสตรีผู้หนึ่ง ซึ่งเขาทราบภายหลังว่าเป็นการยุ่งเรื่องที่ไม่สมควรโดยแท้ เพราะนางคือ ซูกุ้ยฟาง สตรีที่ครั้งหนึ่งสร้างบาดแผลไว้บนร่างกายและจิตใจเขา!
“ข้าไม่ควรข้องเกี่ยวกับนางตั้งแต่แรก สตรีโฉมงามแต่อับจนปัญญาเช่นนั้น และยังมักใหญ่ใฝ่สูงเกินตัว ทั้งที่พื้นเพเป็นเพียงลูกพ่อค้าที่สร้างตัวขึ้นจากการขูดรีดผู้อื่น”
หยางอี้คังนึกแค้นใจ เขากับซูกุ้ยฟางมีเรื่องบาดหมางกันเมื่อสิบปีก่อน เรื่องซึ่งเขายังไม่อาจให้อภัยคนในตระกูลซูได้ ด้วยมันสร้างความอับอายให้เขา
“แต่นั่นก็ไม่เกี่ยวกับคุณหนูซูนะขอรับ ชีวิตนางน่าสงสาร และใจก็ไม่ต้องการตกเป็นของเล่นแก่ผู้อื่น เท่าที่ทราบ เจ้าบ้านซูยกนางให้กับคุณชายเอี้ยเติ้งฉวนแห่งเรือนตะวันแดงที่อยู่ทางทิศตะวันออกติดแม่น้ำแดงเพื่อเป็นการชดใช้หนี้พนันที่เจ้าบ้านซูติดค้างไว้มากโข แต่ฝ่ายนั้นหาได้นิยมสตรี เขาต้องการซูมู่เหยา ซึ่งเป็นพี่ชายของคุณหนูกุ้ยฟาง แต่มู่เหยาเป็นคนขี้ขลาดและเจ้าสำราญ แถมไหวพริบเป็นเลิศ จึงไหวตัวทัน รีบไปขอความช่วยเหลือจากองค์หญิงเก้าซึ่งเป็นคนรัก สุดท้ายคนที่ถูกส่งตัวมาให้แก่คุณชายเอี้ยจึงเป็นคุณหนูกุ้ยฟางผู้โชคร้าย และเท่าที่บ่าวทราบ เรื่องนี้สร้างความโกรธแค้นให้คุณชายเอี้ยอย่างหนัก จึงตั้งใจขายคุณหนูซูกุ้ยฟางในตลาดในราคาที่ถูกแสนถูกเทียบเท่ากับบ๊ะจ่างหนึ่งลูก เพื่อหวังให้ตระกูลซูขายหน้า และมันก็สำเร็จเป็นอย่างดี”
อาเปี่ยวมีหูตากว้างไกล อดีตเป็นถึงทหารองครักษ์เสื้อแพร อีกทั้งมีความเก่งรอบรู้เรื่องต่างๆ ผิดแต่พักหลังสุขภาพกายไม่สู้ดี จึงถูกส่งตัวให้มารับใช้หยางอี้คัง ด้วยเขาเป็นลูกของอนุน้องชายบิดาชายหนุ่ม
“และข้าคือผู้โชคร้าย ที่ต้องเสียเงินน้อยนิดและเสียเวลา แล้วยังต้องมาดูแลผู้หญิงที่สติไม่สมประกอบ ซ้ำร้ายยังดูบ้าตัณหา”
ที่เขากล่าวเช่นนั้น เพราะหยางอี้คังคาดคะเนว่าหลังจากศีรษะนางได้รับการกระทบกระเทือนหนัก ความคิดความอ่านจึงเปลี่ยนไป จากเด็กหญิงที่เคยกล่าวหาว่าเขาเป็นขโมย กลับกลายเป็นสาวงามสมองฝ่อที่คิดทำตัวเยี่ยงหมูและเอาแต่นุ่งชุดวิวาห์สีแดง ปากก็ร่ำร้องให้ผู้ชายอุ้มขึ้นเตียง!!
อาเปี่ยวมองหน้าคนเป็นนาย ก่อนอ้อมแอ้มตอบว่า “ข้าเกรงว่าสวรรค์เท่านั้นจึงจะล่วงรู้เรื่องนี้ แต่อย่างไรเสียคุณหนูกุ้ยฟางก็งามเหนือผู้ใด นางคงสร้างความพึงพอใจให้ท่านแม่ทัพได้บ้าง”
ได้ยินเช่นนั้น มือยาวและแข็งแกร่งก็ยกจอกสุราขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด และสั่งให้อาเปี่ยวเร่งเติมอย่างไว
“ยามนี้ ข้าเป็นห่วงลั่วลั่วเหลือเกิน ป่านนี้นางจะไปซุกซนอยู่ที่ใด”
“ข้าก็ประหลาดใจยิ่งนัก และม้าเร็วของเราสืบได้ว่าแม่นางลั่วลั่วได้ออกจากเรือนหลายชั่วยามแล้ว แต่เหตุใดยังเดินทางมาไม่ถึงจุดนัดพบก็มิอาจทราบได้”
แม่ทัพหนุ่มรูปงามตบโต๊ะไปหนึ่งที และกล่าวขึ้น
“เฮ้อ ข้าคิดว่าผู้ที่ขัดขวางเรื่องนี้คงไม่พ้นเกาจื้อเฉิง เพื่อนรักของข้าเป็นแน่” เมื่อกล่าวจบก็วางจอกสุราลงบนโต๊ะเสียงดัง ก่อนสั่งให้อาเปียวนำป้านสุรามาส่งให้ จากนั้นก็กรอกมันเข้าปาก หวังให้เมามายเพื่อลืมเรื่องที่ทำให้จิตใจหนักอึ้ง