ตอนที่ 7 เกี๊ยวของหลันเยว่ซิน
“หม่อมฉัน…”
“อย่าดื้อ เจ้าก็ยังเป็นเจ้า ไม่ค่อยเชื่อฟังข้าอยู่ร่ำไป มานี่”
เขาจับแขนนางและพาเดินเข้าไปยังห้องด้านในเพื่อทำแผลให้ กล่องยาถูกนำมาวางโดยจงลี่ที่รู้หน้าที่ เขาจึงได้แกะผ้าที่เขาผูกเอาไว้ออกและเริ่มทาวยาให้นาง ใบหน้าน้อยๆนั่นขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เจ็บหรือ ข้าทำแรงไปงั้นหรือ”
“ปละ…เปล่าเพคะ หม่อมฉันทนได้”
“ท่านอ๋องเพคะ คุณหนู เกี๊ยวพร้อมแล้วเพคะ”
“เสร็จแล้ว ไปกันเถอะ เจ้าลุกไหวหรือไม่”
“ไหวเพคะ หม่อมฉันเพียงแค่มีดบาดนิดเดียวเองนะเพคะเสด็จอา”
“อ้อ เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”
เยว่ซินทำหน้าไม่ถูก ปกติแล้วก่อนหน้านี้เสด็จอาเคยเป็นเช่นนี้กับนางด้วยงั้นหรือ แต่นั่นจะนับเป็นอะไรได้ นางมาอาศัยที่ตำหนักอ๋องเพียงหนึ่งปีก็ถูกส่งไปที่สำนักศึกษา และช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่ท่านอ๋องไม่ค่อยว่างจากราชกิจในวังเลย
เวลาพบหน้ากันก็พูดคุยและถกแค่การบ้านที่อาจารย์ที่เขาจัดมาสอนนางเท่านั้น เรื่องอื่นๆแทบจะไม่ได้คุยกันเลย
“นี่คือเกี๊ยวที่เจ้าพูดสินะ ข้ากินได้เลยใช่หรือไม่”
“เพคะ เสด็จอาลองชิมดูเพคะ”
เขาตักเกี๊ยวที่พอดีคำขึ้นมาพร้อมกับชิมตามที่นางบอก สัมผัสของแผ่นเกี๊ยวที่พอดีคำเข้ากับน้ำต้มกระดูกหมอที่เคี่ยวจนได้ที่ มีกลิ่นของหมูแดงเล็กน้อยและกลิ่นของกระเทียมที่เจียวสดใหม่
เมื่อเข้าปากแล้วรู้สึกว่าอร่อยยิ่งนัก ไส้เกี๊ยวที่ถูกปรุงมาอย่างพอดีนี่ยิ่งทำให้รสชาติของเกี๊ยวนั้นอร่อยมากขึ้น
“อร่อย…อร่อยมาก”
“เช่นนั้นก็เสวยมากๆนะเพคะ ยังมีอีกเพคะ”
“ได้สิ”
ในมื้อนั้นท่านอ๋องเสวยเกี๊ยวนั้นไปทั้งสิ้นสามชามเพราะความอร่อย นานแล้วที่เขาไม่ได้กินอาหารอย่างเต็มมื้อเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ต้องออกศึกด้านนอก เสบียงอาหารที่มีอยู่อย่างจำกัดทำให้พวกเขาต้องกินอยู่อย่างลำบากในสนามรบ แต่บัดนี้สงครามสิ้นสุดแล้ว ชาวบ้านกลับมาเพาะปลูกค้าขายได้เกือบเป็นปกติสุขแล้ว
“อร่อย เจ้ากินแบบนี้ประจำหรือที่สำนักศึกษา”
“ยังมีอาหารหลายอย่างเพคะ นอกจากเกี๊ยวนี่ ก็เป็นพวกซาลาเปาไส้ผัก ผัดผัก เห็ดนึ่งซีอิ๊ว”
“ฟังแล้วน่ากินหลายอย่าง พวกเจ้าปลูกผักกันเองด้วยงั้นหรือ”
“ใช่เพคะ ทุกๆต้นเดือนจะมีอาจารย์บางท่านลงเขาไปเพื่อซื้อเมล็ดพันธุ์ขึ้นมา พวกเราจะช่วยกันปลูกผักบางอย่างกินกันเอง ส่วนเนื้อสัตว์จะมีบ้างประปราย”
“เจ้าคงลำบากน่าดูสินะ”
“ไม่เลยเพคะ ส่วนใหญ่แล้วก็แบ่งหน้าที่กันทำ ศิษย์พี่หลายๆคนก็ช่วยดูแลน้องๆดีมากเพคะ”
“ศิษย์พี่งั้นหรือ”
“เพคะ”
เขาขมวดคิ้วเป็นเชิงถาม เรื่องของศิษย์คนอื่นๆเขาไม่เคยเขียนไปสอบถามเลยนอกจากความเป็นอยู่ของนางและปัญหาที่จะพบ
แต่อาจารย์ทุกคนล้วนแต่บอกมาคล้ายๆกันหมดว่านางเป็นคนเรียบง่ายเข้ากับคนอื่นได้เป็นอย่างดีและขยันฝึกและท่องตำรา
“ศิษย์พี่ของเจ้า หรือว่าสหายนี่..เป็นสตรีหรือว่าบุรุษ”
“มีทั้งสตรีและบุรุษเลยเพคะ”
“บุรุษด้วยงั้นหรือ อย่างไรกันไม่เห็นเจ้าเคยเล่าให้ข้าฟังเลย!!”
เยว่ซินตกใจ นางก็เพียงพูดไปเพราะเขาถาม แต่ใบหน้าของท่านอ๋องกลับดูเคร่งเครียดอย่างที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน นางพึ่งสังเกตในตอนนี้เองว่าเขาแตกต่างจากเมื่อสี่ปีก่อนอย่างมาก ทั้งใบหน้าที่คมคายมากขึ้นและยังดูเป็นบุรุษหนุ่มเต็มตัว ดูไม่เหมือนอ๋องหนุ่มอายุน้อยในความทรงจำของนางเมื่อสี่ปีก่อน
“ว่าอย่างไรเล่าเยว่ซิน ข้าถามเจ้าอยู่นะ”
“เพคะ เสด็จอาถามว่าอย่างไรนะเพคะ”
“ศิษย์พี่ที่เจ้าพูดถึงนั่น ชื่อว่าอะไร”
“อ้อ ศิษย์พี่ฟู่หย่งเล่อเพคะ”
“ฟู่ สกุลฟู่ที่เป็นขุนนางในเฉินโจวงั้นหรือ”
“ใช่เพคะ อีกคนก็ลี่หลานเฟิน บุตรีของท่านมหาบัณฑิตลี่ของเฉินโจว”
“อ้อ ฟู่หย่งเล่อ….”
“เสด็จอา ถามด้วยเหตุใดหรือเพคะ”
“อ้อ เปล่าๆ ไม่มีอะไร เจ้ากลับมาแล้วทั้งที และตอนนี้ก็ไม่มีเหตุการณ์อันใดแล้ว ข้าคิดว่าควรจะต้องจัดงานเลี้ยงต้อนรับเจ้าเสียหน่อย พร้อมกับเชิญสหายเจ้าในเฉินโจวมาร่วมด้วย เจ้าเห็นว่าอย่างไร”
“นั่น..มันจะไม่สิ้นเปลืองไปหรอกหรือเพคะ หม่อมฉันมิได้สำคัญอะไรขนาดนั้น”
“สำคัญสิ!!”
เสียงที่ดังขึ้นทำเอาคนฟังตกใจ แม้แต่คนที่พูดก็ตกใจด้วยเช่นกัน
“ข้าหมายถึง…เจ้าจากไปตั้งสี่ปี กลับมาพร้อมกับความสงบสุขของบ้านเมือง เช่นนี้จะไม่สำคัญอย่างไรกันเล่า ใช่หรือไม่ ข้าเองก็จะถือโอกาสนี้จัดงานเลี้ยงให้กับเหล่ากองทัพ ทหารทั้งหลายที่ร่วมสู้รบกับข้าในศึกครั้งนี้ด้วยเช่นกัน”
“เช่นนั้น ก็คงต้องแล้วแต่เสด็จอาเถิดเพคะ”
“ดี…เช่นนั้น…”
ไม่ทันได้เอ่ยจบ จงลี่เดินเข้ามาพร้อมกับข่าวใหม่
“ทูลท่านอ๋อง คุณหนูซ่งมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
หลันเยว่ซินจำชื่อนี้ได้ดี ซ่งเหมยลี่ สี่ปีที่แล้วก็เป็นนางที่แนะนำท่านอ๋องส่งเยว่ซินออกจากตำหนักด้วยการส่งไปเรียนที่สำนักศึกษา มาครั้งนี้เมื่อท่านอ๋องกลับมาถึงตำหนัก นางก็มาเยือนในเวลาอันรวดเร็ว เยว่ซินลุกขึ้นยืนพร้อมกับสีหน้าที่ตกใจของท่านอ๋องที่รีบคว้าแขนของนางเอาไว้
“เจ้าจะไปที่ใดอีก”
“เสด็จอามีแขก หม่อมฉันขอตัวก่อน”
“ไม่ใช่แขกอะไรที่ไหนหรอก นางคงแค่มาเพราะรู้ข่าวว่าเจ้ากลับมากระมัง”
“เสด็จอาเพคะ หม่อมฉันกลับมาที่ตำหนักนี้ร่วมเดือนแล้วเพคะ มิได้มีแขกอื่นมาพบ ครั้งนี้คิดว่านางคงมาเพราะทราบข่าวของเสด็จอามากกว่าเพคะ”
ท่านอ๋องหันไปมองจงลี่ที่รู้ดีแต่ไม่พูด เขาปล่อยมือจากเยว่ซิน ซ่งเหมยลี่เป็นบุตรของเจ้ากรมขุนนางซึ่งเขามีความสำคัญในการช่วยจัดการและระเบียบในราชสำนักเฉินโจว เขาจึงต้องไว้หน้า
“นางอยู่ที่ใดกันละ”
“รออยู่ที่ห้องโถงพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นก็ไปเถอะ”
เขาเดินออกมาพบกับซ่งเหมยลี่ ก่อนที่เขาจะออกรบก็ได้พบนางครั้งหนึ่ง ในตอนนั้นนางมาส่งเขาที่กองทัพหน้าเมือง ความรู้สึกของนางที่มีต่อเขานั้นชัดเจนและเขาเองก็พอมองออก เสียแต่ว่าเขากลับมิได้คิดอะไรกับนางเลย
“แม่นางซ่ง”
“ถวายบังคมท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันทราบข่าวว่าพระองค์จะเสด็จกลับถึงเฉินโจววันนี้จึงได้รีบมาต้อนรับ”
“อ่อ ไม่ต้องมากพิธี ข้าไม่ได้ต้องการให้จัดงานเอิกเกริกเท่าใดนักจึงได้มาเงียบๆ”
“ท่านพ่อแจ้งข่าวให้หม่อมฉันทราบเพคะ”
เขานึกเอาไว้แล้ว ตาเฒ่าสกุลซ่งนั่นอยากเกี่ยวดองกับสกุลอ๋อง จึงได้พยายามส่งบุตรสาวให้เข้าหาเขา ตอนนี้เมื่อผ่านเหตุการณ์หลายอย่าง จวินลู่หานในวันนี้เติบโตขึ้น จนรู้ความหลายๆอย่าง เขาพลาดเชื่อความคิดของซ่งเหมยลี่ ถึงได้ส่งหลันเยว่ซินไปเรียนที่สำหนักศึกษาถึงสี่ปี
“หม่อมฉันทราบว่าพระองค์ตลอดเวลาที่ออกศึกด้านนอกนั่นคงลำบากไม่น้อย หม่อมฉันจึงตุ๋นน้ำแกงโสมอย่างดีมาให้พระองค์เพคะ”
“ขอบใจแม่นางซ่งมาก เสียแต่ว่าวันนี้ข้ากินเกี๊ยวของเยว่ซินไปเสียหลายชาม คงไม่มีท้องเหลือให้กับน้ำแกงตุ๋นนี้ เอาเป็นว่าข้าขอบใจเจ้ามากก็แล้วกัน”
ชื่อที่ไม่เคยได้ยินมานานกว่าสี่ปีผุดขึ้นมาอีกครั้งในวันนี้ นางคิดว่าหลันเยว่ซินไปแล้วนางจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดท่านอ๋อง แต่ไม่เลย เขาไม่เคยเปิดโอกาสให้นางได้ทำเช่นนั้น อีกทั้งปีก่อนนี้เกิดสงคราม ท่านอ๋องจึงออกศึกตลอดทั้งเหนือใต้ มาพบกันอีกทีก็พบว่า ตัวเกะกะที่นางสู้ยุยงให้เขาส่งออกไป กลับมาแล้ว….
“พระองค์ทรงหมายถึง หลันเยว่ซิน..กลับมาแล้วงั้นหรือเพคะ”