ตอนที่ 6 เจ้า..คิดถึงผู้ใดบ้าง
หญิงสาวได้แต่เดินไปโดยไม่ได้ตอบเขา เมื่อเห็นว่านางไม่ตอบ ผู้เป็นเสด็จอาจึงได้รั้งแขนนั้นเอาไว้ บัดนี้ดูเหมือนนางจะไม่ใช่เด็กสาวในวัยเยาว์ที่เขารับมาจากเมืองเหลียงอีกต่อไป
หากแต่ตอนนี้นางเติบโตเป็นสตรีเต็มวัยที่สามารถออกเรือนได้แล้ว ความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจแปลกๆ
“เจ้ายังไม่ตอบข้าเลย ตกลงว่าข้าจะได้กิน…เกี๊ยวที่เจ้าทำใช่หรือไม่”
เย่วซินหันไปมองหน้าบุรุษหนุ่มที่บัดนี้มองนางด้วยสายตาที่ไม่เหมือนกับเมื่อสี่ปีที่แล้ว นางเองก็ไม่รู้ว่าควรรู้สึกเช่นไรกับเขาดี ก่อนหน้านี้เห็นเขาเป็นเพียงท่านอาที่รับดูแลนางจากคนบ้านแตก
แต่บัดนี้ดูเหมือนการมองพระพักตร์ของท่านอ๋องนั้นจะยากยิ่งกว่าเดิม หัวใจเจ้ากรรมนี้ก็เช่นกัน มันเต้นรัวไม่หยุดอย่างที่นางควบคุมไม่ได้ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“นั่น…ย่อมแน่นอนเพคะ หม่อมฉันตั้งใจ…จะทำให้พระองค์เสวยนี่เพคะ”
“ได้ เช่นนั้นก็รีบกลับไปทำเถิด ข้ารอแทบไม่ไหวแล้ว ออกศึกครั้งนี้นานเหลือเกิน รสชาติอาหารที่ทำสุกใหม่ๆเป็นเช่นไรก็แทบจะจำไม่ได้แล้ว”
“พระองค์คงลำบากมากเลยสินะเพคะ”
“แล้วเจ้าเล่าเยว่ซิน ไปอยู่ที่สำนักศึกษาเสียตั้งนาน เจ้า….ลำบากหรือไม่”
“ไม่เลยเพคะ ที่นั่นหม่อมฉันได้เรียนรู้สรรพวิชาที่หลากหลาย มีสหายมากมายหลายเมือง นับว่าเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมเพคะ”
“ก็ดีแล้ว…เจ้าไม่กลับมาที่เฉินโจวเลย เจ้า….ไม่คิดถึง….บ้างเลยหรือ”
เขาหันไปมองคนที่เดินข้างๆ บัดนี้ความสูงนางอยู่ระดับไหล่ของเขา สามารถเดินเคียงข้างเขาโดยที่เขาไม่ต้องก้มลงไปหานางมากเหมือนครั้งที่ยังเป็นเด็กสาววัยสิบสี่อีกแล้ว
คนข้างๆผลุบสายตาหลบโดยพลันเพราะไม่กล้าสบตาเขา นางรู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าวทุกครั้งที่เขาพูดคุยด้วยและหัวใจนางจะเริ่มเต้นแรงผิดจังหวะไปเสียทุกครั้ง
“หม่อมฉัน…คิดถึงสิเพคะ”
“เจ้า…คิดถึง….ผู้ใดงั้นหรือ”
“คิดถึง…ทุกคนเพคะ”
คำตอบนี้ทำให้ท่านอ๋องไม่ถามสิ่งใดต่อ พวกเขาทำแค่เดินกลับไปที่ตำหนักด้วยกันเงียบๆเท่านั้น แต่ระยะทางช่างสั้นนักสำหรับจวินอ๋อง เขาหวังว่าถนนที่เดินนี้จะยาวขึ้นอีกหน่อย
กลับกันกับความคิดของหลันเยว่ซินที่หวังอยากจะเดินให้ถึงตำหนักอ๋องโดยเร็วเพื่อจะได้หายจากอาการน่าอึดอัดและหัวใจที่เต้นแรงผิดจังหวะไม่หายเช่นนี้
ตำหนักจวินอ๋อง
“เจ้า…จะเข้าครัวเองงั้นหรือ”
“เพคะ อยู่ที่สำนักศึกษา พวกเราก็จะมีการจัดเวรเพื่อทำอาหาร ไม่ต้องห่วงเพคะ หม่อมฉันทำได้แน่”
“ข้ามิได้ห่วง เพียงแต่ ข้าแค่อยากเห็นเท่านั้น”
“แต่ว่า…เสด็จอามิได้มีราชกิจที่ต้องทำหรือเพคะ ในห้องเครื่องนั่นมิได้มีสิ่งใดน่าสนใจ”
“มีสิ มีแน่ ข้า…ไม่ได้เดินไปตรวจที่นั่นนานแล้ว เจ้านำทางเถอะ ข้าแค่อยากเดินเล่นเท่านั้น”
“เพคะ”
เท่าที่นางจำความได้ เสด็จอาผู้นี้ไม่เคยมีเวลามาเดินเล่นหรือแม้แต่จะเดินเฉียดมาที่ห้องเครื่องนี้เสียด้วยซ้ำ หรือสี่ปีที่ผ่านมานี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลง หรือเพราะสงครามที่ทำให้เขาเอาใจใส่เรื่องความเป็นอยู่ในตำหนักมากขึ้น
ห้องเครื่อง
“คุณหนูกลับมาแล้ว ข้ากับสาวใช้เตรียมของให้ท่านเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะเหลือเพียง….เอ่อ ….ถวายบังคมท่านอ๋องเพคะ”
ชุนถงไม่ทันเห็นว่าผู้ใดตามคุณหนูของนางมาด้านหลัง บัดนี้จงลี่เองก็เดินตามมาด้วย ท่านอ๋องที่แวะคุยกับจงลี่อยู่จึงเดินตามมาทีหลัง
“ตามสบายเถอะ พวกเจ้ามีสิ่งใดก็ไปทำ ข้าแค่แวะมาดูเท่านั้น”
“เพคะ คุณหนูเจ้าคะ”
“พวกเจ้าไปเถอะ ที่เหลือข้าทำเองได้”
“เจ้ามีอะไรก็ไปทำเถอะจงลี่ ข้าอยู่ได้”
“แต่ว่า…”
จวินอ๋องหันไปปราดตาดุใส่องครักษ์คู่กาย เขาจึงคำนับและเดินตามชุนถงไปทันที เยว่ซินเดินเข้ามาในห้องเครื่องพร้อมกับหยิบผ้ากันเปื้อนมาเพื่อจะสวม ท่านอ๋องรีบเดินเข้าไปเพื่อผูกผ้านั้นให้นาง
“เจ้าคงไม่ถนัด ข้าจะผูกให้”
“ขอบพระทัยเสด็จอาเพคะ”
เขานึกขัดใจคำพูดนี้แปลกๆ เดิมทีคำว่าท่านอา หรือเสด็จอา เป็นคำที่เขาให้นางเรียกเองเมื่อครั้งไปรับนางมาจากสกุลหลัน แต่บัดนี้เมื่อเขาได้ยินกลับรู้สึกราวกับว่าแก่มากจนไม่อยากให้นางเรียก ทั้งๆที่เขากับนางมีอายุห่างกันเพียงแปดปีเท่านั้น
“เจ้าทำอะไรต่อ”
“ล้างมือเพคะ หม่อมฉันจะห่อเกี๊ยว”
“อ้อ”
“เสด็จอาจะยืนดูหรือเพคะ”
“อืม ใช่ ข้ารู้สึกว่า ห้องเครื่องนี้…จัดได้สะอาด หยิบจับของก็ง่ายและสะดวก ดียิ่ง”
เยว่ซินหันมาห่อเกี๊ยวต่อโดยไม่สนใจเขา ท่านอ๋องลอบมองด้วยความสนใจ ไม่คิดว่านางจากเฉินโจวไปสี่ปี กลับมาอีกครั้งกลับเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ ทั้งดูคล่องแคล่ว และดูน่าค้นหา แม้นสตรีที่งดงามในเฉินโจวในยามนี้ ก็ไม่แน่ว่าอาจจะด้อยกว่านางมากในตอนนี้
“ผู้ใดเป็นคนสอนเจ้าทำสิ่งเหล่านี้”
“อาจารย์หญิงที่สำนักศึกษาเพคะ พวกท่านมักจะทำเกี๊ยวเวลาที่พวกหม่อมฉันฝึกวิชามาหนักๆ หรือไม่ก็ทำหลังจากการสอบที่ต่อเนื่องยาวนานจนเหนื่อยล้า การได้กินเกี๊ยวน้ำเป็นยิ่งกว่าสวรรค์บนดินอีกเพคะ”
“แล้วนี่เจ้าจะทำสิ่งใดอีก”
“นำเกี๊ยวไปลวกน้ำเพคะ เสร็จแล้วก็ตักน้ำต้มกระดูกเคี่ยวไฟอ่อนนี้มาราดลงไปพร้อมกับหั่นหมูแดงเป็นเครื่องเคียง กินกับผักลวกสุกนี่และราดน้ำหมูแดงลงไป เสด็จอาไปรอที่โต๊ะเสวยดีกว่าหรือไม่เพคะ”
“ไม่ละ แค่ฟังวิธีที่เจ้าบอกข้าก็นึกอยากจะดู ข้าจะรอดูเจ้าทำอยู่ตรงนี้ เสร็จแล้วจะได้ไปกินพร้อมกัน”
“แต่ว่า”
“เจ้ามีปัญหาอันใดงั้นหรือ หรือว่าเจ้าไม่พอใจที่ข้าเกะกะงั้นหรือ”
“เปล่านี่เพคะ หม่อมฉันเพียงคิดว่า…ช่างเถอะเพคะ”
จวินลู่หานขมวดคิ้วอย่างสงสัยแต่นางก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่ม เขาเดินดูนางทำด้วยท่าทางคล่องแคล่วพลางยิ้มไปด้วย การที่เขาอยู่ทำให้เยว่ซินรู้สึกอึดอัดไม่น้อย จนนางเผลอทำมีดบาดขณะที่หั่นหมูแดงอยู่
“อ๊ะ..”
“เยว่ซิน เจ้า..บาดเจ็บแล้ว มานี่เร็วเข้า”
เขาดึงนางมาล้างน้ำสะอาดพร้อมกับหันดูรอบตัวแต่ก็ไม่เห็นสิ่งใดที่จะทำแผลได้ จึงได้กัดเสื้อของตัวเองด้านในออกมา
“เสด็จอาเพคะ หม่อมฉันไปทำแผลเองได้”
“อยู่เฉยๆ ข้าจะห้ามเลือด”
เขาจับมือนางมาพร้อมกับบรรจงพันแผลที่ถูกบาดนั้นและผูกอย่างดี ใบหน้าของท่านอ๋องอยู่ห่างจากนางไม่ถึงคืบ หัวใจที่เต้นรัวไม่อาจบังคับได้
“เสร็จแล้ว”
“ขะ..ขอบพระทัยเพคะ”
“เอ่อ….ให้คนมาทำต่อดีหรือไม่ เหลือแค่จัดชามแล้ว”
“เพคะ”
“จงลี่!!”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ไปเรียกแม่บ้านมาจัดการต่อ ข้ากับเยว่ซินจะรออยู่ข้างใน ไปเถอะ เจ้าบาดเจ็บแล้ว ต้องทำแผลเสียก่อน”
“ไม่ต้องเพคะ เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว”
“ไม่ได้ ตามมาเถอะ”
“เสด็จอาเพคะ แต่ว่านี่มันจะ…”
“ทำไม เจ้ามีอะไร”
“คือว่า ชายหญิง….ไม่ควร….”
“อ้อ เจ้าก็มีความเชื่อบ้าๆนี่กับเขาด้วยสินะ”
“หม่อมฉัน…พระองค์เป็นถึง…”
“แล้วอย่างไร เป็นท่านอ๋องแล้วเป็นห่วงเจ้ามิได้หรือเยว่ซิน เจ้าเรียกข้าว่าอย่างไร”
“เสด็จอาเพคะ”
“เช่นนั้นเรายังนับว่าห่างไกลกันหรือไม่”
“ก็…”
“เช่นนั้นก็อย่ามาใช้กฎบ้าบอพวกนี้กับข้า ไปข้างในข้าจะทำแผลให้”