ตอนที่ 5 พบเจออีกครา....
เสียงฮือฮาดังขึ้นเมื่อหลันเยว่ซินพูดจบ มีเสียงหัวเราะเกิดขึ้นโดยรอบแม้แต่ท่านอ๋องและจงลี่เองก็อดขำไม่ได้ คำนี้ดูจะเหมาะกับชายคนนี้เสียจริง
หวังเสิ่นอี้ไม่พอใจและรู้สึกเสียหน้าอย่างมาก เขาเงื้อมือขึ้นมาจะตบนาง เยว่ซินเองก็เตรียมอาวุธลับในมือแล้วเช่นกัน แต่พอเขายกมือขึ้นมา ท่านอ๋องดึงปลอกดาบของจงลี่พุ่งไปที่มือของหวังเสิ่นอี้ แรงนั้นทำให้แขนเขาพลิกไปทันที
“โอ๊ย ใครลอบโจมตีข้า นี่เจ้า!! ฮึ้ย….”
หวังเสิ่นอี้กำหมัดแน่นและพุ่งเข้าใส่หลันเยว่ซินแต่นางหลบทันพร้อมกับใช้ขาขวางทางเขาเอาไว้พร้อมกับดึงสายเสื้อเขาออกมาและรัดคอเขาและดึงไปรอบๆถนนและฟาดไปที่ต้นไม้อีกฝั่งหนึ่งทันทีพร้อมความสะใจของผู้ที่พบเห็น
“ฝีมือไม่เลวนี่”
“นี่เจ้า…เจ้า”
“ทำไม คุณชายอยากจะลองอีกสักท่าหรือไม่”
“เจ้า…หากว่าเจ้าไม่ยั่วยวนข้า ข้าก็คงไม่ต้องทำเช่นนี้ เจ้ามันหญิงแพศยา”
“นี่เจ้า!!…..”
“ผลัก!!..”
หลันเยว่ซินไม่ทันได้ลงมือ ฝ่าเท้าท่านอ๋องพุ่งไปที่ใบหน้าของหวังเสิ่นอี้เต็มแรง ใบหน้าของเขาตอนนี้มีรอยเท้าของคนที่ส่งไปให้เต็มหน้า เลือดที่ออกจากทั้งปากและจมูกนั่นทำให้เขาสลบลงไปทันที
“ขอบ…”
“เขาพูดเรื่องจริงหรือไม่ที่แม่นางไปยั่วยวนเขาก่อน”
หลันเยว่ซินจำเสียงนั้นได้ในทันทีแม้ว่านางจะไม่ได้พบเขามานานกว่าสี่ปี นางยังคงก้มหน้าไม่เงยขึ้นจน จวินลู่หานเริ่มสงสัย
“แม่นาง เหตุใดเจ้าจึง….”
“ขอตัว”
“เดี๋ยว เดี๋ยวก่อนสิ”
“คุณหนู…”
“นี่เจ้า อย่าตามไป”
“แต่ว่า….คุณหนูหลัน...”
“หา เจ้าบอกว่า…นั่นคือคุณหนูหลันเยว่ซินงั้นหรือ คุณหนูกลับมาแล้ว นี่เจ้าจงรีบกลับจวนไปก่อน ไปบอกว่าอีกสักครู่ท่านอ๋องจะเสด็จกลับไปพร้อมกับคุณหนู”
“แต่ว่า....”
“มีข้าอยู่ ไม่ต้องห่วงหรอกน่า”
“เจ้าค่ะองครักษ์จง”
หลันเยว่ซินเดินหนีเขา แต่ท่านอ๋องก็ไม่ยอมลดละ เหตุใดนางจึงไร้มารยาทถึงเพียงนี้ เขาช่วยนางไว้แท้ๆ แต่นางกลับเดินหนีเขาและยังไม่แม้แต่จะทักทายด้วยซ้ำ
“รอก่อน เจ้าหยุดนะ”
หลันเยว่ซินยังไม่อยากเจอเขาในตอนนี้เพราะไม่คิดว่าเขาจะพบนางในรูปแบบนี้ นางวิ่งหนีไปทางลำธารที่ไร้ผู้คน คิดว่าเขาคงไม่ตามมาแล้ว แต่เปล่าเลย เขาดักนางไว้ที่ด้านหน้าจนนางเดินชนเขา
“นี่แม่นาง เจ้าจะไม่….”
“ปล่อยข้านะ…”
นางผลักเขาและซัดฝ่ามือใส่ แต่ท่านอ๋องมีหรือจะพลาด เขารับกระบวนท่านางได้ทุกท่า พวกเขาประมือกันที่ริมน้ำนั่นจนท่านอ๋องไม่อยากเล่นด้วยแล้วจึงได้รวบตัวนางและจับนางหันมา
“แม่นาง ข้าแค่ต้องการรู้ว่า…..”
เยว่ซินหันไปสบตาเขา พร้อมกับจวินอ๋องที่มองหน้านางชัดๆเช่นกัน นางที่เขาส่งออกจากตำหนักไปเมื่อสี่ปีก่อน บัดนี้นางกลับมายืนอยู่ตรงหน้าเขาอีกครั้ง และไม่คิดว่า…นางจะงดงามได้ถึงเพียงนี้
“เยว่…..เยว่ซิน เจ้าคือเยว่ซิน….เยว่ซินเจ้ากลับมาแล้วจริงๆ”
ด้วยความดีใจ เขาดึงนางไปกอดเต็มแรง หลันเยว่ซินที่ไม่เคยแตะเนื้อต้องตัวบุรุษใดมาก่อนถึงกับตกใจและทำตัวไม่ถูกเมื่อถูกท่านอ๋องดึงเข้าไปกอดอย่างกะทันหันเช่นนี้ หัวใจนางเริ่มเต้นผิดจังหวะ ใบหน้าเริ่มร้อนผ่าวเพราะคนที่กอดนางแน่น
“สะ…เสด็จอาเพคะ”
คำเอ่ยเรียกทำให้ท่านอ๋องตกใจไปชั่วขณะ เขาหุบยิ้มลงเล็กน้อยเมื่อปล่อยตัวนาง เขาดีใจจนลืมตัวว่าบัดนี้นางมิใช่เด็กสาวคนเดิมอีกแล้ว แต่เติบโตงดงามราวบุบผางดงามที่เขาเกินเอื้อมถึง
ความงามที่ไร้ที่ตินี้ทำให้เขาละสายตาจากนางไม่ได้ แม้ตอนนี้นางจะเริ่มถอยห่างจากตัวเขาแล้วก็ตาม
“หลันเยว่ซินถวายบังคมเสด็จอาเพคะ”
“เจ้าลุกขึ้นเถิด อย่าได้มากพิธี”
เขาก็ยังมิวายที่จะเข้าไปโอบกอดตัวนางขึ้นมา ร่างกายเขามันสั่งการโดยเขาไม่รู้ตัว ราวกับว่าคือสิ่งที่ต้องทำ
“ดูเจ้าสิ ห่างตาไปถึงสี่ปี นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะเติบโตจนข้า…จำเจ้าไม่ได้เสียแล้ว”
“เสด็จอาก็ดู……เป็นบุรุษหนุ่มที่ดูองอาจและน่าเกรงขามมากกว่าเดิมเพคะ”
“เจ้าก็ยังเป็นเช่นนี้อยู่ร่ำไป พูดเอาใจข้าได้เสมอว่าแต่เจ้ากับเจ้าหนุ่มนั่นมาพบกันได้อย่างไร”
“หม่อมฉันออกมาพร้อมกับสาวใช้เพื่อจะมาซื้อผักกาดไปทำเกี๊ยวให้พระองค์เพิ่มเพคะ นึกไม่ถึงเช่นกันว่าเมืองเฉินโจวจะมีอันธพาลเช่นคุณชายหวัง”
“เอาไว้ข้าจะจัดการเรื่องนี้ให้เจ้าเอง”
“ขอบพระทัยเพคะ เสด็จอาเหตุใดจึงได้มาที่ตลาดเช่นนี้ เหตุใดไม่กลับตำหนักเลยเล่าเพคะ”
“เดิมทีข้าจะเดินดูรอบๆเมืองเพื่อสำรวจเหตุการณ์หลังจากจบสงคราม แต่ดูแล้วคงห่วงเกินไป นอกจากนักเลงข้างถนนแล้วไม่มีสิ่งใดน่าห่วง แต่ก็นับว่าโชคดีที่มา ถึงได้พบว่าเจ้ากำลังถูกรังแก”
“หม่อมฉันนะหรือเพคะจะถูกรังแก หึ คนกระจอกเช่นนั้นหาทำอะไรหม่อมฉันได้ไม่”
“ข้าก็ลืมไปว่าเจ้าเป็นศิษย์เอกของสำนักป๋อเหวิน เก่งทั้งบุ๋นบู๊และยังเรียนเก่งเป็นอันดับหนึ่งของสำนัก”
เยว่ซินหันไปมองคนข้างๆที่พูดเรื่องพวกนี้ นางกับเขาไม่เคยติดต่อกันมาก่อนตลอดสี่ปีนี้ แต่เขากลับรู้ทุกความเคลื่อนไหวของนางที่สำนักศึกษา
“เสด็จอา เขียนจดหมายติดต่อกับอาจารย์หลิงสินะเพคะ”
“ข้า…..ข้าก็แค่….”
“รีบกลับเถิดเพคะ ทุกคนรอต้อนรับพระองค์อยู่ อย่ามัวเสียเวลาอยู่ตรงนี้เลย”
เยว่ซินเดินนำหน้าเขาออกไปจนเขาเริ่มตามนางไม่ทันและไม่เข้าใจว่านางโกรธเรื่องอะไร
“เยว่ซิน เจ้าโกรธอะไรข้างั้นหรือ”
“เปล่าเพคะ หม่อมฉันจะโกรธสิ่งใดได้ ต้องขอบพระทัยเสด็จอามากกว่าที่ส่งหม่อมฉันไปเรียนที่นั่นถึงสี่ปี หม่อมฉันได้เรียนรู้อะไรมากมายจริงๆ มากพอที่จะใช้ชีวิตด้วยตัวเองได้แล้วเพคะ”
ท่านอ๋องสะดุดตรงคำกล่าวของนาง นี่ไม่ใช่ว่านางพูดเช่นนี้เพราะอยากออกจากตำหนักของเขาใช่หรือไม่
“เยว่ซิน เจ้าพูดเช่นนี้….หมายความว่าอย่างไร”
“ไม่มีอะไรเพคะ หม่อมฉันเพียงแค่รู้สึกขอบพระทัยพระองค์มากเท่านั้น แม่นมเถียนก็อยู่อย่างสบายมีคนคอยดูแลเป็นอย่างดี หม่อมฉันต้องขอบพระทัยพระองค์ที่ทรงดูแลนางแทนหม่อมฉัน แต่หลังจากนี้…”
“หลังจากนี้เจ้าก็ต้องดูแลแม่นมเถียนให้ดีๆในตำหนัก เจ้ารู้หรือไม่ว่านางเริ่มชรามากแล้ว นางไม่คิดจะย้ายไปที่อื่นอีกแล้ว เจ้าคงไม่พานางไปลำบากที่อื่นหรอกใช่หรือไม่”
“แม่นม…ป่วยหรือเพคะ”
“ก็...ก็ใช่น่ะสิ เจ้าจากไปตั้งสี่ปี ไม่เคยลงเขามาเยี่ยม….นางเลย หรือเจ้าลืมไปแล้วว่านางมีเพียงเจ้าเพียงคนเดียว นางจะไปหาเจ้าก็ไม่ได้เพราะสภาพร่างกายที่ย่ำแย่และชรามากแล้ว แต่เจ้านี่สิ เป็นเด็กแท้ๆ แต่กลับไม่คิดจะมาเยี่ยม….นางเลยสักครั้ง หากว่าข้าเป็นนาง ก็คงคิดน้อยใจอยู่ไม่น้อย”
หลันเยว่ซินไม่ได้คิดเรื่องนี้มาก่อน แม้ว่าตอนที่กลับมาจะเห็นว่าแม่นมยังแข็งแรงดี แต่อายุที่เริ่มมากขึ้นก็คงจะเป็นอย่างที่ท่านอ๋องตรัสจริงๆ หากว่าจะต้องออกจากตำหนักอ๋อง นางคงต้องคิดให้ดีอีกหน่อย หากว่าแม่นมป่วยจริงๆ นางก็คงไม่ฝืนพาแม่นมไปกับนางด้วย
“เยว่ซิน เจ้าคิดสิ่งใดอยู่”
“เปล่าเพคะ”
“ว่าแต่ เจ้าบอกว่าเจ้าจะทำเกี๊ยวให้ข้ากินงั้นหรือ”
“ใช่เพคะ หม่อมฉันทำไว้แล้ว แต่คิดว่าอาจจะไม่มากพอ ก็เลยจะออกมาซื้อของไปทำเพิ่ม เลยพบกับคุณชายหวังเข้าเพคะ”
“เช่นนั้น ข้าจะได้กินเกี๊ยวฝีมือเจ้าหรือไม่ในวันนี้”