ตอนที่ 3 สำนักศึกษาป๋อเหวิน
ท่านอ๋องมองหน้านางที่ยังเรียบสงบ แต่บรรยากาศรอบตัวเขากลับเย็นยะเยือกขึ้นอย่างน่าอึดอัดแปลกๆ เหมือนครั้งแรกที่เขาพบนางที่เมืองเหลียง นางมักจะทำให้เขาอึดอัดขึ้นมาจนน่าขนลุกได้เสมอโดยที่ตัวเขาก็ไม่ทราบสาเหตุ
“เยว่ซิน เจ้าคิดดีแล้วแน่หรือเอาเก็บไปคิดอีกหน่อยดีหรือไม่ การไปที่สำนักศึกษานั่นต้องไปถึงสี่ปี กว่าจะได้กลับลงมา”
“จะอยู่ที่ใดก็ไม่ต่างกันหรอกเพคะ หากไม่มีสิ่งใดแล้วหม่อมฉันขอตัวก่อน เรื่องกำหนดการรบกวนเสด็จ…เอ่อ ท่านอ๋องให้คนนำส่งให้หม่อมฉันด้วยเพคะ”
“หลันเยว่ซิน เหตุใดเจ้า…”
“ขอบพระทัยที่ทรงดูแลตลอดช่วงเวลาหนึ่งปีนี้นะเพคะ”
“เยว่ซิน เดี๋ยวก่อนข้าไม่ได้ตั้งใจให้เป็นเช่นนี้ ข้าแค่นำเรื่องนี้มาหารือกับเจ้า แต่เหตุใดเจ้า....”
“ทูลลาเพคะ”
เยว่ซินเดินถอยออกมาและคำนับให้เขาเต็มพิธีการและเดินออกจากห้องอักษรไป นางคิดถูกแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ไม่ต่างกัน ไม่ว่าจะตำหนักอ๋อง สำนักศึกษา หรือแม้กระทั่งข้างถนน ขอแค่นางยังมีชีวิตอยู่นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับนาง
เรือนพักของเยว่ซิน
“คุณหนู จะไปจริงๆหรือเจ้าคะ แล้ว…”
“แม่นม ท่านเองก็ชรามากแล้ว ท่านรอข้าอยู่นี่เถิดเจ้าค่ะ อีกไม่นานข้าก็กลับ ไม่ต้องติดตามข้าไปหรอกเจ้าค่ะ”
“แต่ว่า…คุณหนูเจ้าคะ”
“เชื่อข้านะ”
วันส่งตัวหลันเย่วซิน
“ข้าจะให้คนไปส่งเจ้าถึงสำนักศึกษาและนำจดหมายส่งตัวนี้ให้อาจารย์ที่นั่น เยว่ซิน ดูแลตัวเองด้วย”
ท่านอ๋องเดินเข้าไปเพื่อจะจับไหล่ของนาง แต่เยว่ ซินถอยออกมาพร้อมคำนับให้เขาอย่างเย็นชา จวินลู่หานรู้สึกราวกับว่าครั้งนี้เขาตัดสินใจผิดที่ส่งนางออกจากตำหนักไปยังสำนักศึกษา แต่มาถึงตอนนี้เขาคงเปลี่ยนแปลงสิ่งใดไม่ได้แล้ว
“ขอบพระทัยท่านอ๋อง หม่อมฉันรบกวนฝากดูแลแม่นมเถียนจนกว่าหม่อมฉันจะกลับมาด้วยเพคะ”
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องห่วง แม่นมของเจ้าจะรออยู่ที่นี่เพื่อรอเจ้ากลับมา”
นี่เป็นสิ่งเดียวที่จะเป็นสิ่งยืนยันว่านางจะต้องกลับมายังตำหนักนี้อีกครั้งเพราะเขาต้องรั้งให้แม่นม เถียนอยู่รอนางที่นี่ ไม่ให้นางเดินทางไปกับหลันเยว่ซิน เขาไม่รู้เหตุผล แต่เขาก็ทำไปแล้ว นางหันหลังเดินขึ้นรถม้าไป พร้อมกับเปิดหน้าต่างมาลาแม่นมพร้อมกับลาทุกคน ยกเว้น….ท่านอ๋องจวินลู่หาน
สำนักศึกษาป๋อเหวิน
เมื่อคนของตำหนักอ๋องส่งตัวคุณหนูหลันเยว่ ซินเรียบร้อยก็พากันลงเขาตามคำสั่งท่านอ๋อง ที่นั่นเยว่ซินมีโอกาสได้รู้จักเพื่อนร่วมสำนักหลายๆคนและมีทั้งคนที่มาจากหลากหลายที่
“ฟู่หย่งเล่อ” บุตรชายแม่ทัพใหญ่ในเฉินโจวที่มาเรียนก่อนหน้านางหนึ่งปี นับเป็นศิษย์พี่ของนาง และ“ลี่หลานเฟิน” บุตรสาวคนเล็กของมหาบัณฑิตแห่งเฉินโจวที่มาหลังจากที่เยว่ซินอยู่ที่สำนักศึกษาได้สิบวัน เป็นเพียงสองคนที่นางสนิทในสำนักศึกษานี้เพราะทั้งสองอยู่ที่เฉินโจวเหมือนกัน
แม้ว่าในตอนนี้ไฟสงครามด้านล่างยังประทุอยู่เป็นระลอก ข่าวของสงครามทำให้สำนักศึกษาเริ่มไม่เป็นอันเรียนเต็มที่เพราะต้องให้นักเรียนเตรียมฝึกวิชาป้องกันตัวเป็นหลัก
พิธีปักปิ่นในวัยสิบเจ็ดที่แต่ละจวนจะส่งของขวัญมาให้้บุตรสาว แต่ละคนก็จะได้รับเหมือนๆกัน ยกเว้น …หลันเยว่ซิน
“นี่เยว่ซิน ท่านแม่ข้ารู้ว่าข้ามีเพื่อนสนิทที่แสนดีเช่นเจ้า นางจึงส่งปิ่นมาให้เจ้าด้วย เจ้ารับไปนะ”
“ขอบใจนะหลานเฟิน”
สองปีถัดมา
“อีกไม่นานจะได้ลงจากเขาแล้ว เฮ้อ คงคิดถึงที่นี่น่าดูเลยนะ”
“เจ้าอยากลงจากเขาหรือ”
“อยากสิ ข้างล่างนั่นยังมีอย่างอื่นให้ทำตั้งมากมาย อยู่บนนี้มาสี่ปี แม้ว่าจะได้กลับไปบ้านช่วงปิดพัก แต่เพราะข้างล่างนั่นมีสงคราม เราแทบจะไม่ได้ลงไปไหนเลย ตอนนี้เห็นว่าเสด็จอาของเจ้านำชัยชนะมาสู่เฉินโจวแล้ว เจ้าไม่ดีใจหรอกหรือ”
“สงครามมีอะไรดี เจ้าไม่เห็นหรือว่ามีพวกเรากี่คนที่ต้องลงเขาไปก่อนที่จะเรียนจบ”
เยว่ซินพูดได้ไม่ผิด ก่อนหน้านั้นเพื่อนนักเรียนบางคนก็ต้องลงจากเขาเพราะได้รับข่าวร้ายที่บ้าน และบางคนก็ไม่มีเงินส่งเสียต่อ
แม้ว่าอาจารย์จะบอกว่าเรื่องเงินนั้นไม่จำเป็น แต่ว่าพวกเขาก็ต้องกลับลงไปเพื่อทำงานหาเลี้ยงคนที่ยังเหลืออยู่จึงไม่สามารถอยู่ร่ำเรียนได้จนจบ
“เยว่ซิน แล้วเจ้าลงไปเจ้าอยากจะทำสิ่งใด”
“ข้า…”
“ข้าก็ลืมไปว่าเจ้าต้องกลับไปที่ตำหนักอ๋องอยู่แล้วสินะ”
“ไม่ ข้าไม่อยากกลับไป ข้า…อยากอยู่ที่นี่”
“เยว่ซิน แต่เจ้าอยู่นี่มาเกือบสี่ปีโดยไม่ได้ลงจากเขาเลยนะ เจ้าไม่คิดถึงเสด็จอาเจ้าบ้างเลยหรือ”
“คิดถึง?? เหตุใดข้าต้องคิดถึงเขาด้วย”
“อ้าว ก็เขาคือเสด็จอาของเจ้า เป็นคนในครอบครัว เหตุสงครามที่ผ่านมาก็ไม่เห็นว่าเจ้าจะเป็นห่วงเขาเลยสักนิด หากข้าไม่รู้จักเจ้าดีกว่าคนอื่น คงคิดว่าเจ้าน่ะ ไม่มีความรู้สึกและใจดำเหลือเกิน”
“ไม่ใช่แบบนั้น แต่ข้ามั่นใจว่าเสด็จอาจะนำชัยชนะกลับมาได้ต่างหาก เขาเก่งกาจมีวรยุทธ์สูงและยังเชี่ยวชาญการศึกเป็นอย่างดี ข้าเลยไม่ห่วงต่างหากเล่า”
“ข้านึกว่าเจ้ายังโกรธเสด็จอาของเจ้าที่ส่งเจ้ามาที่นี่ และยังไม่ส่งของขวัญมาให้เจ้าในพิธีปักปิ่น”
“ข้าไม่ได้เป็นอะไรกับเขาเสียหน่อย พิธีนี้ก็ไม่ได้สำคัญกับข้าขนาดนั้น ก็แค่บ่งบอกว่าต่อไปจะต้องวุ่นวายทำผมและเอาสิ่งนี้มาประดับก็เท่านั้น”
“เจ้านี่กลายเป็นภูเขาน้ำแข็งเดินได้แล้วจริงๆ เสด็จอาเจ้าขึ้นชื่อเรื่องความโหดเหี้ยม เจ้าเองก็ขึ้นชื่อเรื่องเย็นชาไร้ความรู้สึก แต่เหตุใดบุรุษในสำนักเอาแต่ชอบเจ้าคนเดียวกันนะ”
“เจ้าอยากให้คนมองเจ้าราวกับเป็นตัวประหลาดเหมือนที่ข้าถูกมองมาสามสี่ปีนี้นะหรือ”
“ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย ดูเจ้าสิ ไม่เอาละไม่พูดดีกว่า อย่างไรแล้วข้าก็ต้องฉุดเจ้าลงจากเขาไปกับข้าจนได้”
“ฉุดเลยหรือ พวกเจ้าจะตั้งสำนักใหม่หรืออย่างไร เหตุใดต้องฉุดเยว่ซินด้วย”
“เจ้าคนปากเสีย ยุ่งไม่เข้าเรื่อง”
“อ้าว ข้าก็ถามดีๆ เหตุใดมาว่าข้าเล่า นี่ ข้ามีของขวัญให้พวกเจ้า”
“ข้าไม่อยากได้”
“งั้นข้าก็ไม่ให้”
“เจ้า!!…”
ฟู่หย่งเล่อและลี่หลานเฟินมักจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากันแบบนี้เสมอ ทั้งๆที่เยว่ซินก็พอดูออกว่าหลานเฟินชื่นชอบฟู่หย่งเล่อ แต่ว่านางกลับเอาแต่ทะเลาะกับเขาทุกครั้งที่พบหน้ากัน ครั้งนี้เขายื่นเข็มกลัดไม้สองอันมาให้พวกนาง
“เข็มกลัด!!”
“ใช่ วันนี้เป็นวันเรียนจบของพวกเจ้า ถือว่าเป็นของขวัญจากศิษย์พี่อย่างข้า”
“ขอบคุณเจ้าค่ะศิษย์พี่หย่งเล่อ”
“เยว่ซินเจ้าไม่ต้องเกรงใจข้าขนาดนั้น ดูหลานเฟินสิ ไม่มีขอบใจข้าสักคำ นี่ถ้าไม่บอกว่านางเป็นบุตรมาหาบัณฑิต ข้าคงไม่เชื่อ”
“ฟู่หย่งเล่อ ข้าจะจัดการเจ้า คนปากเสีย”
พวกเขาวิ่งไล่กันออกไปแล้ว เยว่ซินมองลงไปเบื้องล่างที่อีกไม่กี่วันนางจะต้องกลับไป นางไม่พบท่านอ๋องมาสีปีเต็ม ข่าวว่าเขากรำศึกอยู่นอกเมืองเฉินโจวหลังจากที่นางจากมาได้สองปี และไม่ค่อยได้กลับเมืองเฉินโจวเช่นกัน
ตั้งแต่ส่งนางขึ้นเขามา เขาไม่เคยสักครั้งที่จะมาเยี่ยมนางเหมือนพ่อแม่คนอื่นๆ และไม่เคยส่งแม้แต่จดหมายมาสักครั้ง ข่าวการศึกเยว่ซินก็อาศัยฟังจากเหล่าอาจารย์ที่มาเล่าให้ฟัง ครั้งนี้หากพบกันอีกครา ก็คงไม่ต่างจากเดิมกระมัง
“เสด็จอา….”