ตอนที่ 2 หลานของเสด็จอา
“แต่ว่าท่านมิได้เป็นน้องชายบิดาข้า เหตุใดข้าถึงต้องเรียกท่านว่าท่านอาด้วย”
“เช่นนั้นเจ้าอยากเรียกว่าอะไรเล่า”
“ข้าก็ไม่รู้เจ้าค่ะ”
“ข้ากับบิดาเจ้าสนิทสนมกันมาก ช่วงสงครามเคยติดตามเขาออกรบบ่อยๆ เขาเป็นแม่ทัพผู้กล้าที่ยากจะมีใครล้มได้ หากมิใช่แผนชั่วของซุนหวง เขาคง….”
“พวกเขาเรียกท่านว่าท่านอ๋อง นั่นแสดงว่าท่านคือผู้ที่ปกครองเฉินโจว ท่านอ๋องจะมาเป็นท่านอาของข้าได้อย่างไรกัน”
เขาหันมามองหน้าหลันเยว่ซิน นางฉลาดและมีความกล้าจริงๆ เขายิ้มให้นางเป็นยิ้มแรกที่ทำให้ หลันเยว่ซินมองแล้วรู้สึกอบอุ่นราวกับแสงอาทิตย์ในยามเช้า แสงแรกที่ให้ชีวิตใหม่กับนาง แสงแรกที่เปิดออกจากห้องหนังสือตอนที่เขามาช่วยนางเอาไว้
“ข้าอยากให้เจ้าเรียกท่านอา เจ้าก็เรียกท่านอา เอาไว้อีกหน่อยเจ้านึกได้แล้วว่าจะเปลี่ยนคำเรียก เราค่อยมาคุยกันใหม่ ดีหรือไม่”
หลันเยว่ซินเงยหน้ามองท่านอ๋องที่ยืนสบตานาง สุดท้ายนางจึงคุกเข่าลง ท่านอ๋องตกใจเพราะนางทำเรื่องนี้กะทันหัน
“หลันเยว่ซินคารวะท่านอา จากนี้ไปเยว่ซินจะเชื่อฟังคำสั่งสอนของท่านอาเจ้าค่ะ”
จวินลู่หานถึงกับทำตัวไม่ถูก เขาพึ่งจะอายุยี่สิบสองแต่ต้องมาเป็นอาของเด็กที่อายุห่างจากเขาแค่แปดปี แต่ด้วยความจำเป็นและให้นางไว้ใจเขา จึงต้องทำเช่นนี้ เป็นสิ่งเดียวที่เขาจะตอบแทนสกุลหลันของแม่ทัพใหญ่ หลันเว่ยได้
“ลุกขึ้นเถอะ อย่าทำเช่นนี้เลยหลันเยว่ซิน”
เขาดึงนางขึ้นมา แขนนางเล็กนิดเดียวจนเขาคิดว่าหากเขาดึงนางแรงกว่านี้แขนนางคงจะหักเอาได้
“เยว่ซิน กลับเฉินโจวกับข้านะ ที่นี่ไม่มีอะไรเหลือแล้ว ข้าจะจัดงานศพให้แม่ทัพหลันอย่างสมเกียรติก่อนจะจากไป เจ้าไม่ต้องห่วง ป้ายวิญญาณของเขาจะถูกนำไปที่สุสานวีรชนที่เขาเซิ่งหวาง”
“ขอบคุณท่านอาเจ้าค่ะ”
“นี่ก็สายแล้ว เรารีบไปกันเถอะ”
มือที่เปื้อนเลือดข้างเดิมยื่นมาให้นาง ครั้งนี่เยว่ซินเอื้อมไปจับ แม้ว่าจนถึงตอนนี้เด็กน้อยจะไม่เคยยิ้มให้เขาเลยสักครั้ง แต่เรื่องที่นางเจอก็ทำให้เขาเข้าใจได้ดี จากนี้คงต้องให้คนจัดการดูแลนางอีกมาก
เฉินโจ ตำหนักอ๋องจวิน หนึ่งปีต่อมา
“คุณหนูเจ้าคะ ได้เวลาเรียนแล้วเจ้าค่ะ”
“เสด็จอาออกไปประชุมราชสำนักแล้วหรือเจ้าคะแม่นม”
“ออกไปแล้วเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะเจ้าค่ะ"
หลันเยว่ซินมาอยู่ที่ตำหนักอ๋องนี้ได้หนึ่งปีแล้ว แม้ว่านางจะพูดน้อยและไม่ค่อยสุงสิงกับผู้ใดมากนัก แต่ท่าทางและมารยาทของนางที่ถูกฝึกมาอย่างดีก็ทำให้คนที่ตำหนักอ๋องนี้เกรงใจและรักนางเป็นอย่างยิ่ง
เพราะบุคลิกที่โตเกินวัยเด็กที่อยู่ในวัยเดียวกัน ทำให้นางค่อนข้างจะดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าคนอื่น ที่สำคัญคือ นางงดงามขึ้นตามวัย
“คุณหนูวันนี้พอแค่นี้ก่อน อย่าลืมการบ้านที่สั่ง พรุ่งนี้เราค่อยพบกัน”
“ขอบคุณท่านอาจารย์”
นางยังคงเขียนงานที่อาจารย์ให้ไว้ต่อในสวนสำหรับที่เรียน ซึ่งคนอื่นๆลุกไปจนหมดแล้ว มีเพียงนางที่ยังนั่งอยู่ ท่านอ๋องที่พึ่งกลับมาจากว่าราชกิจเห็นจึงได้แวะทักทายนาง
“เจ้าคิดจะเรียนจบเป็นบัณฑิตภายในครึ่งปีนี้เลยหรือเยว่ซิน”
“เยว่ซินถวายบังคมเสด็จอาเพคะ”
“ตามสบายเถอะ ว่าอย่างไร ข้าถามเจ้าอยู่ เจ้าสนใจเรียนปราชญ์และการเมืองขนาดนี้เชียว”
“เปล่าเพคะ หม่อมฉันเพียงแค่…ใคร่รู้ให้มากเท่านั้น ความรู้มากมายในใต้หล้า แต่หม่อมฉันมีแค่ตัวคนเดียว มิอาจเรียนรู้สรรพสิ่งเหล่านั้นได้หมด แต่ก็ใช่ว่าจะไม่อยากเรียนนี่เพคะ”
“พูดได้ดี”
“วันนี้เสด็จอากลับเร็ว แสดงว่ามีผู้ยั่วโมโหน้อยลงไปอีกแล้ว”
“ฮ่าๆ ยังเป็นเจ้าที่ดูออกสินะ ก็ไม่เชิงหรอก เพียงแต่ว่ามีบ้างที่ความเห็นไม่ตรงกันจนต้องถกเถียง”
“พวกขุนนางที่เอาแต่สบาย นอนอยู่บนกองเงินไม่ได้เห็นความลำบากของผู้อื่น เอาแต่ใช้ปากทำงาน น่ารังเกียจ”
“เอ๋ เยว่ซิน เจ้าอย่าได้เหมารวมต่อว่าเช่นนั้นสิ แต่ละคนมีหน้าที่ต่างกัน จะไปว่าพวกเขาเช่นนั้นหาได้ไม่ เฉินโจวน่ะ มีขุนนางหลายฝ่าย แต่ก็ไม่มีคนที่ชั่วเกินจะเป็นภัยต่อราชสำนักได้หรอกนะ”
“ท่านอ๋อง เอ่อ…”
“มีอะไร”
“คุณหนูซ่งมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
“นางมาทำไม”
“เห็นบอกว่า นำขนมและชาดอกท้อมาถวายพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
“ให้นางเข้ามาสิ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินว่าท่านอ๋องมีแขก เยว่ซินก็รีบเก็บของทันทีจนท่านอ๋องหันไปถามนางอย่างนึกแปลกใจ
“เหตุใดเจ้าเร่งรีบนักเล่า ทำไมไม่รอดื่มชากับข้าก่อน”
“ไม่ดีกว่าเพคะ หม่อมฉันไม่สันทัดวิถีสตรีที่มีจริตมากเช่นพวกนาง ขอตัวก่อนเพคะ”
“อ้าว เยว่ซิน เดี๋ยวก่อนสิ”
หลันเยว่ซินเดินออกจากศาลาทันที นางเห็นว่าซ่งเหมยลี่เดินมาอีกฝั่งจึงเดินเลี่ยงไปอีกฝั่ง นางรู้ว่าซ่งเหมยลี่และท่านอ๋องน่าจะชอบพอกันเพราะเห็นสาวใช้ในตำหนักพูดเรื่องนี้ และนางเองก็ไม่อยากอยู่ขวางทางพวกเขา และไม่อยากนั่งฟังคำสะอิดสะเอียนเหล่านั้น
“นั่น…ใช่....เด็กคนนั้นหรือไม่”
“ใช่เจ้าค่ะคุณหนู นั่นคือหลานท่านอ๋องที่เก็บมาจากเมืองเหลียง”
“นางไม่ใช่เด็กแล้วนี่ นางโตพอที่จะรู้ความแล้ว”
“คุณหนูพูดได้ถูกต้องเจ้าค่ะ”
“หากปล่อยให้โตกว่านี้คงไม่ดีแน่”
“คุณหนูมีแผนการเช่นไรเจ้าคะ”
“หึ ไม่ยากหรอกเรื่องนี้ ข้าจัดการเอง”
ห้องอักษร
“เสด็จอาตรัสว่าอย่างไรนะเพคะ”
"ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะอยากร่ำเรียนสรรพอาวุธอย่างอื่น ก็เลยคิดว่าจะส่งไปเรียนที่สำนักศึกษาป๋อเหวิน"
“พระองค์คงไม่สะดวกใจที่หม่อมฉันอยู่ที่นี่”
“ไม่ใช่นะเยว่ซินเหตุใดเจ้าจึงคิดเช่นนั้น แต่ว่าหากว่าเจ้ายังไม่พร้อม ข้าก็ไม่ได้จะบังคับเจ้า เอาไว้ปีหน้า หรือว่า…ให้พ้นพิธีปักปิ่นไปก่อนก็ได้เจ้าค่อยไปศึกษาดีหรือไม่”
“….”
นางไม่ตอบสิ่งใด แต่ใบหน้านั้นสลดลงเล็กน้อย เขาพานางมาอยู่ที่ตำหนักนี้ได้หนึ่งปีแล้ว แต่เด็กสาวตรงหน้านี้ไม่เคยยิ้มเลยสักครั้ง แม้ว่านางจะเคยยิ้มเมื่อถูกอาจารย์หญิงเอ่ยชมว่านางชงชาด้วยท่าทางที่อ่อนช้อย หรืออาจารย์ที่สอนกระบี่นางเอ่ยชมว่านางเรียนรู้เร็ว แต่กับเขา นางแทบไม่เคยยิ้มให้เลยเท่าที่จำได้
“ข้าเพียงเรียกเจ้ามาปรึกษาเท่านั้น อีกอย่างหนึ่ง ข้าก็คิดว่าเจ้า…อยากเรียนอย่างอื่นเพราะวิชาที่อาจารย์ที่นี่สอน เจ้าก็ร่ำเรียนจนหมดแล้ว”
หรือว่าเขาอาจจะนำเรื่องนี้มาพูดเร็วไป เขาพึ่งได้คำแนะนำจากซ่งเหมยลี่เมื่อตอนบ่ายนี้เองเรื่องสำนักศึกษาที่เขาอี้เหวินที่ชื่อป๋อเหวิน ซึ่งเขาเห็นว่านางชอบร่ำเรียนวิชาศาสตร์ต่างๆ จึงคิดว่านางจะตื่นเต้นเมื่อได้ฟังเรื่องนี้
แต่คิดไม่ถึงว่านางจะทำหน้าเช่นนี้ มาคิดอีกทีราวกับว่านางกำลังคิดว่าเขารังเกียจนางที่อยู่ตำหนักอ๋อง แต่เขาไม่เคยคิดเช่นนั้นเลยจริงๆ
“เยว่ซิน เหตุใดเจ้าเงียบไป ข้าจะไม่พูดเรื่องนี้อีกตกลงหรือไม่ หากว่าเจ้ายังไม่พร้อมข้าก็ยังไม่ให้เจ้าไป”
“หม่อมฉันตกลงเพคะ เสด็จอาโปรดเขียนจดหมายส่งตัวให้หม่อมฉันทีเถิดเพคะ”