ตอนที่ 2 อภิเษกครั้งที่ 8
“น้องห้า…เจ้า…ตัดสินใจแน่แล้วงั้นหรือ”
“เจ้าค่ะ"
ชิงเยี่ยนคำนับให้พี่ใหญ่ก่อนจะเดินกลับมาที่เรือนพัก ของตนเอง นางมองไปรอบๆเรือนพักของนางอีกครั้ง ก่อนหน้านี้หลังจากมารดานางเสียไปนางก็ถูกย้ายมาที่เรือนหลังนี้ทันทีด้วยคำสั่งของฮูหยินใหญ่ ระหว่างที่บิดานางไปทำศึก แต่เมื่อเขากลับมาก็มิได้สั่งย้ายหรือช่วยเหลืออะไรนาง
ทุกอย่างก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ฮูหยินใหญ่จัดการทั้งหมด แม้ว่านางจะได้ร่ำเรียนทุกอย่างเหมือนกับพี่น้องทุกคน แต่ความแตกต่างกันก็เห็นได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องประดับและสถานะในจวนสกุลฟ่าง
“บางทีการไปตายเอาดาบหน้าเช่นนี้ก็อาจจะดีกว่า”
วันแต่งงาน
“ช่างน่าสงสารอะไรเช่นนี้นะ”
“เห็นว่านางเป็นบุตรสาวคนสุดท้องของท่านแม่ทัพ”
“นางไม่มีแม่ จะว่าไปแล้วข้าแทบจะไม่เคยเห็นนางมาก่อนเลยนะ หากวันนี้มิได้แต่งออกไปข้าคงคิดว่าท่านแม่ทัพมีบุตรสาวเพียงคนเดียวเสียอีก”
“จุดประทัดไล่เสียงน่ารำคาญนี่ที”
ฟ่างหลิงเทียนรีบสั่งคนให้จุดประทัดที่หน้าจวนด้วยรำคาญเสียงพูดจาเกี่ยวกับน้องสาวของเขา ก่อนจะออกเรือนเขาไม่อยากให้นางได้ยินเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ เมื่อเสียงประทัดดังขึ้นเสียงครหานั้นก็เงียบลงไปทันที เจ้าสาวในชุดสีแดงอยู่บนหลังของเขา
“น้องห้า หากว่ามีสิ่งใดให้พี่ช่วย รีบส่งคนมาบอกพี่จะไปทันที”
“ขอบคุณพี่ใหญ่เจ้าค่ะ …ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง”
“เจ้าเป็นน้องสาวข้า ไม่ว่าจะแต่งไปที่ใด เจ้าก็ยังเป็นน้องห้าของข้า ไม่ต้องห่วงพี่ไม่ทิ้งเจ้าแน่”
ชิงเยี่ยนกอดคอเขาเอาไว้แน่นแทนคำขอบคุณ ด้วยเกรงว่าหากไม่ทำเช่นนี้ หลังจากนี้นางอาจจะไม่มีโอกาสได้ทำอีกแล้ว ชื่อเสียงของลั่วอ๋อง อ๋องโลหิตที่รับพระสนมเข้าตำหนักไปเจ็ดครั้งแต่ก็ไม่เคยมีสตรีคนใดได้กลับออกมาจากตำหนักอ๋องโลหิตผู้นั้นอย่างมีลมหายใจเลยสักครั้ง
“ได้เวลาแล้ว พระชายาขึ้นเกี้ยวได้”
ครั้งนี้ราชโองการทรงแต่งตั้งให้บุตรแม่ทัพฟ่างไม่ต้องเป็นพระสนม แต่เป็นพระชายาตามคำทำนายของโหรในวังหลวงว่าหากยังแต่งตั้งให้เป็นพระสนม พวกนางอาจจะไม่มีชีวิตรอด ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ลั่วอ๋องไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธเพราะเป็นพระราชโองการจากฮ่องเต้
“น้องห้า ข้าจะไปส่งเจ้าให้ถึงตำหนักอ๋อง”
“ขอบคุณพี่ใหญ่เจ้าค่ะ”
ตำหนักลั่วอ๋อง
ขบวนเกี้ยวเจ้าสาวมาถึงหน้าประตูใหญ่ตำหนัก มีเพียงแม่นมและสาวใช้อีกสี่คนมายืนรอรับพระชายาอยู่ด้านหน้าตำหนัก
ทั้งหมดทำหน้าตาเรียบเฉยแต่ดูมีมารยาทพร้อมกับรับหนังสือส่งตัวพระชายามาจากคุณชายใหญ่สกุลฟ่างและส่งตัวเจ้าสาวให้กับแม่บ้านผู้นั้น
“คารวะพระชายาเพคะ จากนี้หม่อมฉัน แม่บ้านเจาจะเป็นผู้ดูแลพระองค์เอง หากมีสิ่งใดให้รับใช้โปรดเรียกหม่อมฉันนะเพคะ”
“ขอบคุณแม่บ้านเจาเจ้าค่ะ”
เสียงนั้นลอดออกมาจากผ้าแดงคลุมหน้าพร้อมกับเดินเข้าไปในตำหนัก ฟ่างหลิงเทียนมองดูน้องสาวครั้งสุดท้ายเมื่อส่งนางเข้าไปแล้ว พร้อมกับขบวนเกี้ยวที่ตามเข้าไปพร้อมกันจนประตูด้านหน้าตำหนักท่านอ๋องปิดลง
“พระชายา นี่คือห้องส่งตัวของพระองค์ เมื่อถึงเวลาฤกษ์ส่งตัวท่านอ๋องจะเป็นผู้ที่มาเปิดหน้าพระองค์เพคะ”
“ขอบคุณแม่บ้านเจาเจ้าค่ะ”
“พระชายาเรียกหม่อมฉันว่าป้าเจาก็ได้เจ้าค่ะ จะได้สะดวกเวลาเรียกใช้งาน”
“ขอบใจป้าเจ้า”
เมื่อประตูปิดลง ฟ่างชิงเยี่ยนนั่งอยู่ในห้องส่วนตัวนั้น ไม่ทราบเวลาว่าผ่านไปนานเพียงใดแล้ว และไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นยามใด นางเผลอพิงตัวหลับที่เสาเตียงห้องส่งตัวเพราะความเหนื่อยล้า
ห้องทรงงาน
“ทูลท่านอ๋อง แม่นมเจาให้คนมาแจ้งว่าได้เวลาส่งตัวแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หมึกจากปลายพู่กันหยดลงกระดาษที่กำลังจะเขียนเมื่อองครักษ์ประจำกายกล่าวจบ ใช่แล้ว วันนี้เป็นวันที่เขาได้รับแต่งตั้งพระชายาเข้าจวนมา พระชายาที่ได้รับการพระราชทานจากฮ่องเต้
พระชายาที่เป็นบุตรีของแม่ทัพใหญ่ที่ทรงอำนาจในซูโจว และเป็นพระชายาที่เขาไม่ต้องการ
“ข้ารู้แล้ว”
“ท่านอ๋อง…..พระองค์ตรัสเช่นนี้….มาสี่รอบแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”
พู่กันในมือถูกวางลงอย่างหงุดหงิดเล็กน้อยเมื่อลงชื่อด้านล่างรายงานจบพร้อมกับกระดาษที่ปิดลง ชายเสื้อชุดเจ้าบ่าวสีแดงนั้นถูกดึงขึ้นและจับรายงานนั้นส่งให้องครักษ์คนสนิท
“ส่งรายงานนี้ไปวังหลวง”
“พ่ะย่ะค่ะ ให้กระหม่อมสวมฉลองพระองค์มงคลให้นะพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ต้อง ข้าจัดการเอง มิใช่ครั้งแรกที่ข้าสวมนี่ ข้าย่อมจำได้ว่าต้องใส่อะไรบ้าง”
บุรุษหนุ่มเดินไปยังชุดเจ้าบ่าวที่ถูกแขวนอยู่ริมห้องพร้อมกับหยิบมาสวมอย่างไม่นึกใส่ใจมากนัก เมื่อเขาจัดชุดแล้ว จางจื่อจึงได้นำเข็มขัดมาสวมทับให้เขาอีกที
“ไม่ต้องแน่นมาก อีกเดี๋ยวก็ถอดออกแล้ว”
“แต่ว่า ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ ครั้งนี้แต่งตั้งพระชายา มิใช่พระสนม ฉะนั้นคืนส่งตัวมีกฎว่า….”
บุรุษหนุ่มที่ยืนฟังเพียงแค่ปรายตามองผู้พูด เขาจึงรีบหยุดพูดทันที เขารู้ว่าท่านอ๋องคิดอะไรอยู่ งานแต่งที่เขาไม่ได้ต้องการ เขาแสดงออกมาเจ็ดครั้งแล้วว่าไม่ต้องการสตรีในตำหนักอ๋องแห่งนี้
แต่เหมือนกับฮ่องเต้ทรงเกรงว่าท่านอ๋องจะไม่มีทายาทเพื่อสืบสกุลจึงได้ตัดสินใจแต่งตั้งพระชายาให้เขาแทนที่จะเป็นพระสนม
“นางเป็นบุตรสาวของแม่ทัพฟ่าง เขาได้ส่งอะไรมาบอกหรือไม่”
“แม่ทัพฟ่างมีเพียงจดหมายฉบับเดียวเพื่อส่งให้พระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
“เอามาให้ข้าอ่าน”
จางจื่อสวมเข็มขัดให้ท่านอ๋องเสร็จแล้วจึงได้ล้วงเข้าไปในปกเสื้อเพื่อดึงจดหมายจากแม่ทัพฟ่างออกมาส่งให้ผู้เป็นนาย
สายตาคมดุจพยัคฆ์ที่จ้องไปในจดหมาย แม้ว่าจะดูแข็งแกร่งน่าเกรงขาม แต่ก็โดดเดี่ยวอยู่ด้วยไม่น้อย เมื่อเขาอ่านจดหมายจบจึงนำจดหมายนั้นลนไฟไปในทันที
“ท่านอ๋อง….”
“หึ สุดท้ายก็แค่เพิ่มคนเข้ามาในตำหนักมิใช่หรือ”
“ท่านอ๋องแต่ว่าครั้งนี้..จะทำแบบเดิมหาได้ไม่นะพ่ะย่ะค่ะ”
“ทำไม จะพระสนม หรือพระชายาก็ไม่ต่างกัน ข้าไม่ได้ต้องการคนไม่มีประโยชน์ มีพวกนางไปก็เกะกะ สู้ฆ่าให้ตายเสียยังดีกว่า จะได้ไม่ต้องผูกพันธะสืบเนื่องกันต่อไป”
“แต่นางเป็นบุตรของแม่ทัพฟ่างนะพ่ะย่ะค่ะ หากข่าวพระชายาแพร่ออกไป เรื่องนี้เกรงว่า….ชาวบ้านคงจะ…”
“ข้าเคยสนใจคำพูดของชาวบ้านพวกนั้นงั้นหรือ ที่ทำอยู่นี่ก็มิใช่ว่าปกป้องพวกเขาหรืออย่างไร ใต้หล้านี้มีเพียงบุรุษที่เข้มแข็งหนักแน่นเท่านั้นที่ปกครองได้ หากมีสตรีมายุ่งเกี่ยว พาลแต่จะทำให้เรื่องราวยุ่งเหยิงน่ารำคาญ น่าเบื่อหน่าย เจ้าไม่เห็นพวกวังหลวงนั่นหรือ พอแต่งงานก็ไม่ได้เรื่อง ลุ่มหลงแต่ชายาจนไม่เอาการเอางาน การศึกไม่ยุ่งเกี่ยว การทหารไม่ใส่ใจ”
“แต่ว่าชิงอ๋องแห่งเฉินตูแม้ว่าจะมีพระชายาแต่พวกเขากลับสามารถปกครองเฉินตูไปพร้อมๆกับดูแลเมืองหลวงช่วยฝ่าบาทได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
“เสด็จพี่เย่หานเป็นเพียงหนึ่งในกี่คนเล่า เจ้าลองดูสิ”
“ท่านอ๋องเฟิ่งกับพระชายาเองก็มิได้รักกันมาก่อน แต่ภายหลังพวกเขาก็….”
“นั่นเพราะพี่เฟิ่งและนางเข้าใจผิดกันแต่แรก แต่เมื่อทราบความจริงพวกเขาจึงเข้าใจกัน”
“เช่นนั้นท่านอ๋องจวินกับพระชายาที่เคยเป็นอาหลานกันมาก่อน….”
“พวกเขาทั้งสองมีใจผูกพันกันมาหลายปี ไม่แปลกหากว่าจะรักกัน”
“ท่านอ๋อง เหตุใดพระองค์จึงไม่ยอมลองเปิดพระทัย….”
“เจ้าพอเสียที พวกเขามิได้เหมือนข้า ข้าแต่งงานมาเจ็ดครั้งแล้ว…..”
“กระหม่อมเพียงแค่คิดว่า…บางที….”
“ไม่ต้องพูดมาก ได้เวลาแล้วมิใช่หรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นหลังจากนี้เจ้าก็ไปถามนางว่า…”
“ท่านอ๋อง พระองค์คงไม่คิดที่จะ…”
“ไปถามนาง…ว่าหลังจากนี้อีกสองเดือน นางอยากจะตายเช่นไร”