บทที่ 4 เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม 2
“เดี๋ยวข้าจะนำไปประเมินราคา และนำเงินออกมาให้เจ้ารอสักครู่” อาจเพราะเป็นร้านใหญ่ ชาวบ้านเลยทำได้เพียงไว้ใจให้พวกเขานำของไปก่อน
เฟิงเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความไม่พอใจ หรือเพราะนางไม่ใช่พระเอกนางเอกในนิยายถึงได้ไม่เจอฉากที่เจ้าของร้านกุลีกุจอออกมาต้อนรับหลังจากเห็นสมุนไพรล้ำค่า
เมื่อเหลือบมองในตะกร้าสมุนไพรของตน เฟิงเหยาก็อยากจะตบหัวตัวเองแรง ๆ สักที เพราะตลอดการเดินทางทั้งทำอาหารกิน ทั้งเร่งความเร็วการเติบโตของพืชเพื่อกินประทังความหิวกระหาย สุดท้ายสมุนไพรในตะกร้าเลยไม่ใช่กลุ่มที่นางเร่งความเร็วแม้สักต้นเดียว
ไม่แปลกใจเลย เพราะมันธรรมดาเกินไปนี่เอง ถึงได้ไม่ได้รับการต้อนรับใหญ่โตเหมือนตัวหลักชายหญิงในนิยาย
แต่เมื่อคิดดี ๆ แล้ว การเป็นคนธรรมดาก็ดีเหมือนกันนะ นางแกล้งเป็นคนธรรมดาต่อไปจะดีกว่า เพราะยังไงเป้าหมายของเฟิงเหยาไม่ใช่การรวบรวมชายหนุ่มผู้แข็งแกร่งเข้าฮาเร็ม หรือการเป็นยอดคนผู้แข็งแกร่งในใต้หล้า แต่เป็นการแสวงหาของกินอร่อย ๆ ต่างหาก
ถึงอย่างนั้นแม้นางจะมีเป้าหมายชัดเจน แต่ก็ฉลาดมากพอที่จะไม่ทำให้คนอื่นจับจุดอ่อนของตัวเองได้ ในโลกที่ผู้แข็งแกร่งกลืนกินผู้อ่อนแอกว่านี้ ถ้าคนรู้จุดอ่อนของนางซึ่งชอบการกินเป็นชีวิตจิตใจเข้า ไม่อยากจะคิดเลยว่าหากอาหารเหล่านั้นเต็มไปด้วยยาพิษ หรือพวกเขาจับนางไปกักขังให้อดตาย หรืออดข้าวอดน้ำ เฟิงเหยาจะทรมานมากแค่ไหน
ดังนั้นเก็บจุดอ่อนนี้เอาไว้ให้มิดชิด แล้วใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังมากขึ้นเพื่อจะได้อยู่ในโลกนี้นานขึ้น และลิ้มรสชาติได้มากขึ้นจะดีกว่า
“นี่เด็กน้อย รับเงินไป” พนักงานขายหนุ่มกลับมาพร้อมเงินถุงเล็ก ๆ เมื่อเปิดดูพบเหรียญสีขาวอยู่ไม่กี่เหรียญเท่านั้น นี่พอซื้อข้าวกินสักมื้อไหมนะ
“เจ้ามีสายตาที่ดี คงพอมีความรู้มาบ้างสินะ ถ้าหาสมุนไพรมาได้ก็นำมาขายให้ที่นี่เถอะ” พนักงานหนุ่มอดพูดไม่ได้ เมื่อพบว่าในตะกร้าของเด็กน้อยมีแต่สมุนไพรที่ถูกเก็บมาอย่างสมบูรณ์ไม่แตกหัก บางต้นยังมีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำ แตกต่างจากของชาวบ้านคนอื่น ๆ ที่ไม่มีความรู้
มองจากเนื้อผ้าที่เด็กน้อยสวม เขาจึงคาดเดาว่าเป็นเด็กชนชั้นสูงที่ตกต่ำลงมา คนพวกนี้มักมีความทะเยอทะยานสูง พนักงานขายจึงอดไม่ได้ที่จะผูกไมตรีเอาไว้
“ข้าจะจำไว้พี่ชาย ขอบคุณท่านมาก” ว่าแล้วก็ถือถุงเงินและตะกร้าไม้ของตนเดินออกจากจุดนั้น ครุ่นคิดว่าควรกลับเข้าป่าไปดีหรือจะหาอะไรกินก่อนดี ท่าทางของเด็กน้อยเลยดูเต็มไปด้วยประกายไฟแห่งความมุ่งมั่น
พนักงานขายพยักหน้าหงึกหงักตามหลัง คาดว่าเด็กน้อยคนนี้มีความทะเยอทะยานมากจริง ๆ โดยหารู้ไม่ว่าเฟิงเหยาทะเยอทะยานจริง ๆ แต่เป็นเรื่องที่เขานึกไม่ถึงแน่ ๆ
เฟิงเหยามองเหรียญสีขาวในมือ นี่เรียกว่าหยกขาว ค่าเงินที่ต่ำสุดในแดนนี้ แตกต่างจากแดนชั้นสามที่ใช้เงินและทอง แต่แดนชั้นสองและหนึ่งกลับใช้หยก ซึ่งมีพลังฟ้าดินอัดแน่นอยู่ด้านใน ตามระดับของหยก
หยกขาว หยกเขียว หยกแดง หยกทอง หยกดำ โดยผู้มั่งคั่งในแดนนี้ก็วัดจากหยกที่ถือครอง
ค่าเข้าเมืองคือสิบหยกขาว ขายสมุนไพรได้แค่สิบแปดหยกขาว แสดงว่าสมุนไพรที่ทหารยามหยิบออกไปนั้นมีค่าสูงที่สุดในบรรดาสมุนไพรทั้งหมดในตะกร้า
เฟิงเหยาพยายามคำนึงถึงสมุนไพรต้นนั้น ก่อนจะจำได้ว่านั่นเป็นห่อซิ่วโอว ที่มีฤทธิ์บำรุงความงามหญิงสาว แสดงว่าในโลกนี้ความงามก็ยังเป็นสิ่งที่ผู้หญิงลงทุนให้มากที่สุดอยู่ดี
“อ่า ถ้าเหลือเงินสำหรับเข้าเมืองคราวหน้าสิบหยกขาว แล้วจะซื้ออะไรกินได้ด้วยเงินแปดหยกขาวกันล่ะ” ลำพังเซ่าปิ่ง* (*แผ่นแป้งย่าง) ก็ห้าหยกขาวต่ออันแล้ว แถมยังอันเล็กนิดเดียวดูยังไงก็ไม่พอให้อิ่มท้องแน่ ๆ ซาลาเปาก็อันละห้าหยกขาว ที่นี่ค่าเงินแพงชะมัด
ถ้าเป็นแดนชั้นสามล่ะก็ หนึ่งหยกมีค่าเพิ่มขึ้นเป็นร้อยเท่าไปแล้ว แต่มีข้อดีคือเมื่ออยู่แดนกึ่งเซียนก็ไม่ต้องมีเทียบเชิญ เอ๊ะ…
“ที่นี่คือแดนชั้นสามไม่ใช่เหรอ” เฟิงเหยารู้สึกสับสนเล็กน้อย นางมองไปรอบ ๆ ในเนื้อหานิยาย เมืองม่านหมอกอยู่แคว้นต้าเยี่ยนซึ่งอยู่ในแดนชั้นสาม แต่ทำไมค่าเงินของที่นี่ถึงแปลก ๆ
“เจ้าไม่รู้อะไรหรือเด็กน้อย” ชายชราผู้สวมเสื้อคลุมนั่งอยู่ในมุมถนนไม่ไกลนัก ราวกับได้ยินคำอุทานของเด็กหญิง เสียงแหบพร่าก็พูดพร่ำออกมาทันที
“โลกพลิกกลับมานับร้อยปี แดนแห่งนี้รวมเป็นหนึ่งมาแสนนานแล้ว”
“ข้าไม่ทราบจริง ๆ ขอบคุณผู้อาวุโสที่ชี้แนะ ข้าเองก็เพิ่งเกิดมาไม่นาน จึงไม่อาจรู้ได้” หลังจากตกใจเฟิงเหยาก็หันไปขอบคุณอีกฝ่าย
นางรู้ว่าตัวละครลึกลับในนิยายมีเยอะมาก ๆ ขอเพียงเป็นคนจิตใจดี พวกตัวละครลับเหล่านั้นก็จะคอยเมตตาและทำให้ชีวิตง่ายขึ้น ดังนั้นอยู่ในโลกนี้ให้ทำตัวเป็นคนจิตใจดีจะดีกว่า
แต่นางก็เพิ่งเกิดบนโลกใบนี้ไม่นานจริง ๆ เพิ่งมาได้ไม่ถึงเดือนเลยด้วยซ้ำ แต่มันเกิดอะไรขึ้นทำไมเรื่องราวถึงไม่เป็นเหมือนในนิยาย
“นี่คือรัชศกใดหรือเจ้าคะท่านลุง”
“รัชศกต้าเยี่ยนปี้ซิงที่สาม”
‘ปี้ซิงที่สาม ปี้ซิงนั่นไม่ได้อยู่ในนิยายนี่นา เอ๊ะ’ เฟิงเหยาจำได้ว่า ในนิยายมีการกล่าวถึงปี้ซิงรอบหนึ่ง เขาเป็นรุ่นปู่ของพระเอก และเป็นคนที่ดีมากแต่ครองราชย์เพียงสามปีและหายตัวไปจากหน้าหนังสือเลย
เมื่อพ่อพระเอกขึ้นครองราชย์เนื้อหานิยายก็เริ่มดำเนินไป อ้อ เมื่อคิดดูดี ๆ แล้วนิยายเพิ่งเริ่มต้น นางเอกยังเป็นเพียงต้นอ่อน นางมารก็ยังไม่ลงมาจุติเล่นในแดนนี้ หรือจุติแล้วแต่ยังไม่โผล่มาในฉาก นางเกือบลืมไปแล้วว่านี่เป็นโลกพื้นหลังในนิยาย
“ขอบคุณท่านลุงที่ตอบคำถามข้า…” นางเดินผ่านเขามา แต่เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นข้อมือที่โผล่พ้นเสื้อของชายชรามีแต่หนังติดกระดูก หญิงสาวก็เดินเข้าไปและวางหยกขาวทั้งแปดก้อนไว้ตรงหน้าเขา
“นี่เป็นค่าข้อมูล หยกขาวนี้มีพลังฟ้าดิน หวังว่าจะช่วยท่านได้ไม่มากก็น้อย” หยกขาวคงเพียงพอแค่ประทังชีพม์ เพราะชายชราผู้นี้ใกล้ดับขันธ์เต็มที