บท
ตั้งค่า

บทที่ 4 เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม 1

เมืองหมอกอยู่ใกล้กับเมืองหลวงแคว้นต้าเยี่ยน ไม่ได้ขึ้นตรงกับแคว้นเพราะตกอยู่ใต้อำนาจของสำนัก ‘ม่านหมอก’ สำนักที่โดดเด่นมานานหลายร้อยปี

ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองหมอกครึ่งหนึ่งเป็นคนของสำนัก อีกครึ่งเป็นชาวบ้านธรรมดาและผู้ที่ผ่านทางมา รวมถึงเหล่าทาสและบ่าวรับใช้ที่ขึ้นมาจากแดนชั้นสามเพื่อแสวงโชคลาภ

เช่นเดียวกับเมืองของกองกำลังอื่น ๆ แต่ละแห่งมีกฎระเบียบที่แตกต่างกัน ดังนั้นก่อนจะเข้าเมืองจึงต้องศึกษาข้อมูลไว้พอตัว บางเมืองมีกฎกระทั่งว่าผู้มาเยือนห้ามขัดใจผู้อยู่อาศัยด้วยซ้ำ ซึ่งตัวเอกของนิยายชั้นเชิงยอดยุทธ์มักจะเข้าไปหาเรื่องในเมืองที่ไม่เป็นธรรมเหล่านั้นบ่อย ๆ เพื่อโชว์ความเทพของตัวเอง

โครก~ เสียงท้องร้องดังขึ้น ทำให้ชาวบ้านที่กำลังต่อแถวเข้าเมืองชะโงกเพื่อมองว่าผู้ใดกันที่ส่งเสียงน่าอับอายออกมา แต่พอได้เห็นเจ้าของเสียงก็ปิดปากหัวเราะด้วยความเอ็นดู เมื่อพบว่าผู้ส่งเสียงน่าอับอายเป็นเพียงเด็กวัยแปดขวบคนหนึ่งเท่านั้น

“พี่ชาย...ข้าหิวแล้ว ปล่อยข้าเข้าเมืองเถอะ” เฟิงเหยาหน้าเบ้งอแงเล็กน้อยพอเป็นพิธี เมื่อถึงลำดับของนางเพื่อตรวจสอบตัวตนก่อนเข้าเมือง

“เด็กน้อย พ่อแม่เจ้าอยู่ไหนกันล่ะ เข้าเมืองมาคนเดียวได้อย่างไรกัน” ทหารหนุ่มเมียงมองเด็กน้อยตรงหน้า นางอายุราวแปดขวบใบหน้าเลอะเทอะเช่นขอทานน้อยทั่วไป แต่กลับสวมเสื้อผ้าเนื้อดี หากไม่สังเกตดีดีคงไม่เห็นเพราะตอนนี้เสื้อผ้านั้นเปื้อนดินโคลนเต็มไปหมด

“พี่ชาย ท่านพ่อท่านแม่ข้า...จากไปแล้ว เหลือเพียงตัวคนเดียวลำพัง ข้าเข้าเมืองเพื่อหวังนำของป่าไปขาย หาเงินประทังชีวิตเท่านั้นเอง”

ทหารหนุ่มพยักหน้าเข้าอกเข้าใจ ขอทานน้อยที่เข้าออกเมืองเพื่อหาของป่ามาขายก็มีมาก เขาจึงไม่ได้คิดตรวจขันมากไปกว่านั้น แต่ระเบียบก็ต้องเป็นระเบียบ

“เด็กน้อย หากอยากเข้าเมืองหมอกเจ้าต้องมีสิบหยกขาวเป็นค่าเข้า ค่าออกไม่ต้องจ่าย...คราวหน้าเข้ามายื่นป้ายไม้ชื่อเจ้าที่นี่ ...เจ้ามีนามว่าอะไร” ทหารหนุ่มคว้าพู่กันของวิเศษระดับสอง เมื่อเขียนชื่อจะสลักว่าเคยเข้าออกเมืองใดกี่ครั้ง ตอบสนองกับค่ายกลของเมืองหมอก ยังมีอีกหลายเมืองที่ใช้แผ่นป้ายนี้ได้

“ข้ามีนามว่าเฟิงเหยา แต่พี่ชายข้าไม่มีเงิน” โครก~ เสียงท้องร้องดังขึ้นอีกครั้ง เด็กน้อยกระพริบตาปริบ ๆ ให้คนรู้สึกสงสารเหลือเกิน

“พี่ชายข้าหิวแล้ว” น้ำเสียงอ่อนแผ่วราวกับกำลังอ้อนวอนทำให้ทหารหนุ่มใจอ่อน เขาถือแผ่นป้ายชื่อเฟิงเหยาไว้ในมือ ก่อนจะหันเข้าไปในป้อม

“หัวหน้า เด็กคนนี้น่าสงสารนัก...นางเข้าเมืองเป็นครั้งแรก ครอบครัวไม่ปรากฎ...ขอรับ” ทหารหนุ่มเดินกลับมาที่โต๊ะลงทะเบียนเข้าเมือง เขามองตะกร้าในอ้อมแขนของเด็กน้อย ก่อนจะหยิบสมุนไพรที่รู้จักและพอจะขายได้ราคาออกมาต้นหนึ่ง

“โชคดีจริง ๆ ที่เจ้าเก็บเจ้านี่มาได้...ข้าจะเก็บนี่เป็นค่าผ่านทางแล้วกัน ต้องเอาเปรียบเจ้าแล้ว” ทหารหนุ่มละอายเหลือเกิน แต่หากไม่ได้ของที่ดีที่สุด หัวหน้าก็จะไม่ปล่อยเด็กเข้าไป

แม้หัวหน้าจะดูเหมือนคนใจอ่อน แต่ก็เป็นคนโลภคนหนึ่ง เด็ก ๆ ที่ผ่านเข้าออกมักต้องจ่ายส่วยทุกครั้ง ดีเท่าไหร่ครั้งนี้หัวหน้าเจ็บเข่าไม่ได้ออกมาหยิบเอง

“หากมีอะไรมาหาข้าได้ช่วงกลางวัน ข้าเข้าเวรอยู่ที่นี่ตลอด” ทหารหนุ่มมอบป้ายไม้ให้ ขณะที่เด็กหญิงยิ้มยินดี ก้มขอบคุณและจากไปแต่โดยดี

ร่างเล็ก ๆ กอดตะกร้าที่ถักขึ้นมาจากเถาวัลย์ง่าย ๆ ในนั้นมีสมุนไพรป่าเล็กน้อยที่นางเก็บมา แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้มีค่ามากนัก ที่สำคัญคือต้องหาร้านขายยาเพื่อขายสมุนไพรเสียก่อน

โครก~

“อา หิวมาก ๆ เลย ทั้งที่ค่าความหิวยังลดลงไม่ถึงไหนแท้ ๆ ที่แท้แล้วอัตราการย่อยของร่างกายนี้มันยังไงกันแน่นะ” เฟิงเหยาอดบ่นไม่ได้ นางพบว่าตัวเองหิวบ่อยมาก ๆ กลายเป็นคนกินจุสุด ๆ ไปเสียแล้ว ทั้งที่ชาติที่แล้วแทบไม่ได้กินอะไรเลยด้วยซ้ำ หรือพระเจ้ากำลังชดใช้ให้เธอกันนะ

บางทีเฟิงเหยาอาจกลายเป็นมารตะกละไปแล้วจริง ๆ

เมื่อเดินเข้ามาในเมืองม่านหมอก สิ่งแรกที่คิดคือที่นี่สมกับการเป็นฉากหนึ่งในนิยาย ตัวเมืองล้อมรอบด้วยกำแพง ถนนหลักเป็นถนนดินทั้งหมด อาจเพราะเป็นเมืองของสำนักผู้มั่งคั่งที่มีรากฐานมานับร้อยปี

มารจำแลงยังเป็นคนจากดินแดนที่สูงกว่า เขามีทุนทรัพย์ชนิดที่คนในแดนกึ่งเซียนนี้เทียบไม่ติด เพียงสินค้าที่หยิบออกมาหนึ่งอย่างก็ล้ำค่าพอที่จะซื้อเมืองทั้งเมืองได้

เฟิงเหยาจำได้ว่าตัวละครจำแลงต่าง ๆ ที่จอมมารจำแลงปลอมแปลงออกไปอยู่เคียงข้างสาวงาม ล้วนมีแต่สายเปย์ เวลานางเอก นางมารอยากได้อะไรก็จะนึกถึงตัวละครของมารจำแลงก่อนเป็นอันดับแรกเสมอ

เมืองที่อยู่ภายใต้เขาย่อมไม่ขี้ริ้ว ออกจะรุ่งเรืองอย่างมากด้วยซ้ำ ทั้งด้านการค้า ประชากร และการท่องเที่ยว

ในช่วงเช้าและช่วงค่ำของเมืองม่านหมอก จะมีหมอกลงต่ำ ๆ ราวกับเมฆคล้อยลงมาทับถมเมืองแห่งนี้เอาไว้ มีหลายจุดที่สามารถมองเห็นภาพทิวทิศน์หมอกท่วมเมืองได้ และถูกจัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญสี่มุมเมือง

เรื่องนี้เฟิงเหยาอ่านจากในนิยายเท่านั้น สำหรับประชาชนชั้นต่ำที่ลำพังเงินค่าผ่านทางยังไม่มีเหมือนนางแล้ว การจะไปสถานที่เหล่านั้นตอนนี้ยังเป็นไปไม่ได้เลย

‘แต่มารจำแลงพ่อครัวชั้นยอดก็อยู่หอคอยบูรพา…’ เฟิงเหยารู้สึกหนักใจเล็กน้อย นางจะทำยังไงเพื่อให้ได้เข้าไปกินอาหารที่นั่นดี บางทีอาจจะต้องใช้พลังธาตุไม้เร่งการเจริญเติบโตของสมุนไพรแล้วเอามาขายสินะ

คิดแล้วก็เลี้ยวเข้าไปในร้านสมุนไพรขนาดใหญ่ เฟิงเหยาเห็นเด็กหนุ่มยืนรอลูกค้าอยู่สองสามคน เมื่อนางเดินเข้ามาเขาก็พุ่งตรงมา

“เด็กน้อย เจ้ามาขายของเข้าที่ประตูข้างร้านเถอะ ตรงนี้ให้ลูกค้าเข้ามาเท่านั้น” ท่าทางของคนพูดไม่ได้หยาบคาย แม้จะเป็นคำไล่แต่ก็ไม่ได้น่าเกลียด เฟิงเหยาไม่ถือสาและเดินไปประตูข้างตามที่เขาบอก

พนักงานขายรับตะกร้ามาจากเด็กน้อย

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel