บทที่ 3 ข้าหิวอีกแล้ว 1
อึก ๆ เสียงดื่มน้ำดังขึ้นเป็นระยะ ตอนนี้เฟิงเหยาสามารถควบคุมพลังปราณและเรียกใช้พลังธาตุได้ดีขึ้นมาก เหตุเพียงเพราะนางกระเดือกโสมคนพันปีเข้าไปทั้งอัน จากนั้นร่างกายก็ร้อนขึ้น
เฟิงเหยาผู้ตื่นเต้นกับความรู้ใหม่ก็ไม่รอช้า นั่งเดินพลังในร่างกายตามความรู้พื้นฐานที่ได้มา หากแต่เป็นเคล็ดวิชาการฝึกตนที่ไม่ปรากฎในแดนชั้นสองมากว่าหมื่นปีแล้ว แต่เฟิงเหยาไม่รู้เลยว่าตอนนี้นางมีความรู้ระดับบรรพกาลอยู่ในหัว
เด็กหญิงตัวเล็กผู้สวมใส่ชุดเสมือนคุณหนูสกุลใหญ่นั่งขัดสมาธิลงใต้ต้นไม้ กัดฟันทะลวงในตอนนี้เลยเพราะแน่ใจว่าเสี่ยวเสี่ยวต้องไม่พาตนเองมาในป่าไกลจากจวนสกุลเริ่นนัก คาดว่าน่าจะเป็น ‘ป่าข้างเมืองหลวง’ ที่โด่งดังแห่งนั้น
ป่าข้างเมืองหลวงจะว่าปลอดภัยก็ปลอดภัยเพราะไม่มีสัตว์ร้าย สัตว์อสูร หรือสัตว์เวทย์อาศัยอยู่ แต่จะว่าไม่ปลอดภัยก็เพราะใกล้คนมากเกินไป ผู้คนเหาะเหินเดินอากาศผ่านไปมาหลายครั้ง
ความจริงก็ไม่ใช่การเหาะเหินอะไร พวกเขาเพียงใช้วิชาตัวเบากระโดดไปมาเท่านั้น อย่างไรแดนชั้นสองก็ไม่ได้มีเซียนที่แท้จริง มีเพียงเซียนที่เหาะเหินได้
เฟิงเหยาปลดปล่อยความคิดฟุ้งซ่านทำจิตใจให้สงบเหมือนตอนที่ไปเข้าวัดถือศีลกับยายในช่วงปีใหม่ ยายผู้เป็นญาติคนสุดท้ายในโลกนั้นซึ่งท่านได้เสียชีวิตไปเมื่อสองปีก่อน
เฟิงเหยาสลัดความคิดถึงยายของตนออกไปจากใจชั่วคราว พยายามเพ่งมองร่างกายของตนเอง จิตของตนเอง ความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง ปล่อยตัวให้กลมกลืนไปกับพลังธรรมชาติรอบกาย
ไม่นานนางก็สามารถสัมผัสพลังฟ้าดินในอากาศได้ เพียงเท่านั้นยังไม่พอจะต้องชักนำพลังเข้ามาในร่างกาย เข้าสู่เส้นลมปราณ เดินพลังหมุนเวียนดั่งเส้นเลือดเข้าสู่ตันเถียน ปรับสมดุลและทำการหมุนเวียนไปทั่วร่างกายเพื่อหล่อเลี้ยง ทำดั่งเส้นลมปราณคือเส้นเลือด
วิธีการฝึกตนเช่นนี้แหละที่หายไปจากแดนชั้นสองนับหมื่นปีแล้ว เพราะมันยากเกินกว่าจะเข้าใจ ผู้คนยากจะเข้าถึงได้ หากไม่เข้าใจฝึกไปเรื่อยเส้นลมปราณอาจบาดเจ็บ หรือร้ายแรงสุดคือธาตุไฟเข้าแทรกได้
แต่เฟิงเหยากลับเข้าถึงได้ง่ายราวกับปอกกล้วยเข้าปาก เหมือนนางสามารถรับรู้ได้ถึงเส้นลมปราณทั่วร่าง จุดหมุนเวียนสำคัญที่เหมือนข้อต่อท่อลมปราณต่าง ๆ อีกทั้งเส้นลมปราณฝอยยิบย่อย รู้จักเส้นลมปราณดีราวกับศึกษามานับครั้งไม่ถ้วน
ต้องขอบคุณ ‘ความรู้พื้นฐานจากเสี่ยวเสี่ยว’อีกครั้ง หากเจ้าระบบขี้รำคาญได้รู้ว่าตนเองสร้างตัวอะไรขึ้นมาแล้วก็ไม่รู้ มันคงได้แต่ถอนหายใจเป็นแน่ น่าเสียดายที่เมื่อหมดหน้าที่มันก็ไม่ได้สนใจชีวิตของสาวน้อยผู้ถูกส่งมาเกิดอีกเลย
เฟิงเหยารู้สึกเหมือนร่างกายเบาหวิว เสียงดัง ปัง ปัง ต่อเนื่องที่ข้างหูติด ๆ กันนับสิบครั้ง อยู่ ๆ นางก็รู้สึกเหมือนตัวเองสามารถก้าวข้ามขั้นใหญ่มาได้อย่างไม่น่าเชื่อ รู้สึกเพียงเดินผ่านกำแพงใสที่กางกั้นมาได้อย่างง่ายดาย
เมื่อเสร็จสิ้นการทะลวง ร่างกายก็หายร้อน พลังทั้งหมดถูกย่อยเรียบร้อย อีกทั้งค่าความหิวยังเพิ่มขึ้นมาตั้งห้าสิบแต้มหลังย่อยเสร็จ เฟิงเหยาจึงยิ้มกว้างดั่งคนโง่
“หิวอีกแล้ว ข้าหิวอีกแล้ว” ตอนนี้นางเป็นมารตะกละแล้วเป็นแน่แท้ สายตากวาดมองเป้าหมายถัดไป ตอนนี้มีแต้มมากมาย อีกทั้งยังมีเรี่ยวแรงเพราะการทะลวงขั้นสุดรวดเร็ว ตอนนี้นางอยู่ขั้นฝึกปราณเป็นที่เรียบร้อย
หากมีคนรู้ความเร็วในการฝึกตนของหญิงสาว จะต้องมองว่านางเป็นอัจฉริยะยอดอัจฉริยะเป็นแน่ แม้จะมีผู้ที่ผ่านขั้นวรยุทธ์ได้ในสิบวันเมื่อได้รับโอกาสและทรัพยากรเหมาะสม แต่ก็ไม่มีผู้ใดผ่านได้ในเวลาเพียงชั่วยามเดียว
คนหิวกลับไม่สนใจ ลุกขึ้นปัดตูดและออกตามหาเป้าหมายการกินถัดไป
‘ต่อไปจะลองชิมอะไรดีนะ หิวจังเลย’ ขณะที่คิดอยู่นั้นเสียง แซ่ก แซ่ก ก็ดังขึ้นบริเวณพุ่มไม้ด้านข้าง ทันใดนั้นก็ปรากฎร่างของกระต่ายป่าตัวสีเทาอ้วนกลม ไม่ได้น่ารักสักนิดเพราะมันแยกเขี้ยวใส่นางทันทีที่เห็นตัว
ในความรู้พื้นฐานสิ่งที่เห็นคือสัตว์ร้ายระดับต่ำ กระต่ายป่า พวกมันมักอยู่เป็นกลุ่มห้าหกตัว มีรสชาติใช้ได้แม้จะเป็นพวกไร้ระดับก็ตามที
สัตว์ร้ายนั้นแตกต่างจากสัตว์ป่า พวกมันคลั่งเพราะพลังที่ได้รับมาในร่าง หากเป็นพวกมีระดับบริเวณแก่นสมองจะถูกนำไปเป็นแหล่งสะสมพลังฟ้าดินและหลอมออกมาเป็นผลึกหยก และโลกนี้ทั้งโลกใช้ผลึกของสัตว์ร้ายเป็นค่าเงิน แยกตามระดับ
แต่ละระดับมีค่าต่างกันออกไป นอกจากใช้เป็นค่าเงินแล้วผลึกสัตว์ร้ายยังใช้สำหรับเป็นเชื้อเพลิงเพื่อหลอมและขับเคลื่อนพลังนอกเหนือจากธาตุที่มนุษย์เรียกใช้งานได้ด้วยพลังปราณ
อย่างเช่นการหลอมโอสถ หลอมอาวุธ สร้างค่ายกล สร้างอักขระ ล้วนต้องใช้ผลึกทั้งสิ้น
“กระต่าย!” แทนที่เฟิงเหยาจะกลัว นางกลับตื่นเต้นอย่างยิ่ง ตอนนี้ในหัวมีภาพตัวเองสู้กับกระต่ายนับร้อยภาพ ล้วนเป็นเคล็ดวิชาต่อสู้มือเปล่าที่ได้รับมาจากความรู้พื้นฐานทั้งสิ้น
ไม่รู้เพราะอะไรสมองของเฟิงเหยากลับคิดได้รวดเร็วยิ่งนัก ราวกับเวลารอบข้างดำเนินช้าลง นางสามารถใช้เวลาช่วงสั้น ๆ เพียงอึดใจเดียวคิดถึงทั้งประโยชน์ของกระต่าย ผลึกสัตว์ร้ายแต่ละระดับ วิธีการต่อสู้ และอาหารที่ทำจากกระต่ายป่า
เมื่อนึกถึงอาหารจากกระต่ายป่าตอนนี้มุมปากของเด็กหญิงก็มีน้ำลายไหลออกมา
“ซู้ด น่ากินจริง ๆ ” ภาพที่เห็นในความรู้ขั้นพื้นฐานทำให้คนอดทนไม่ไหวจริง ๆ เฟิงเหยาที่ไม่เคยกินของอร่อย อยากกินกระต่ายแล้ว นางขออภัยกระต่ายน้อยในใจ แต่ความหิวมันเกินกว่าจะสามารถไว้ชีวิตได้
คิดแล้วก็ลงมือฉับไว เพราะสมองที่เคลื่อนไปไวกว่าร่างกาย ทำให้ร่างเล็ก ๆ ของเด็กแปดขวบแม้จะแข็งแกร่งเพราะพลังฝึกฝน แต่กลับสะดุดหินล้มทันที
โชคดีที่พลิกกายขึ้นมาได้ก่อนจะโดนกระต่ายกัด เฟิงเหยาหยิบหินด้านข้างขึ้นมา กระโจนเข้าหากระต่ายน้อยแล้วทุ่มแรงในระดับที่สมองประมวลผลเอาไว้เพื่อฆ่ากระต่ายในทีเดียว
ตุบ! เสียงหินกระทบศรีษะกระต่ายจนแตกกระจาย เฟิงเหยากลับไม่หวาดกลัวต่อภาพนั้น ในจิตใจยังคงผ่องใส ภาพอาหารจากเนื้อกระต่ายป่าไหลเข้ามาในหัวรัว ๆ จนทำให้หลงลืมภาพน่าสยดสยองตรงหน้าไปได้
เด็กหญิงลากกระต่ายป่าขึ้นไปแขวนไว้บนต้นไม้ ขุดหลุมเพื่อฝังกลบเครื่องในและเลือดของกระต่ายป่ารวมถึงส่วนต่าง ๆ ที่กินไม่ได้ กระดูกและศีรษะ แล่เนื้อกระต่ายออกมาเพื่อทำอาหารเท่านั้น
เมื่อแล่เนื้อเสร็จแล้วจึงวางเอาไว้กลางแดดเพื่อตากเล็กน้อย เรียกน้ำมาล้างเลือดออกให้ดี ก่อนหันไปก่อไฟและฝังกลบซากกระต่าย
น่าแปลกที่เด็กหญิงไม่ได้สะอิดสะเอียนกับภาพตรงหน้าแม้แต่น้อย ซ้ำยังชำนาญอย่างยิ่งเพราะความรู้พื้นฐานในหัว จนเฟิงเหยาอดสงสัยไม่ได้ว่าตกลงเสี่ยวเสี่ยวยัดอะไรเข้ามาในหัวนางกันแน่ ดูเหมือนสามัญสำนึกของเด็กหญิงจะกระเด็นหายไปในห้วงมิติลึกลับเสียแล้ว
เสียงไฟแตกดังเรียกความสนใจ เฟิงเหยาเดินไปรอบ ๆ และกลับมาพร้อมสมุนไพรที่สามารถใช้เป็นเครื่องเทศได้ มีบางชนิดที่เหมือนพวกพริกไทยกระเทียม ตะไคร้ นำมาบดด้วยหินทาเคลือบไว้บนเนื้อ ก่อนจะวางลงบนเตาหินที่ทิ้งไว้เหนือกองไฟ กระทะหินทำให้เนื้อดูน่ากินอย่างยิ่ง
ซู่ ซู่ เสียงน้ำมันจากเนื้อกระต่ายปะทะความร้อนดังน่ากิน เฟิงเหยากลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่ น้ำลายไหลออกมาจากมุมปากก่อนจะใช้มือน้อย ๆ เช็ดอย่างไม่ใส่ใจ
“หิวจังเลย หิวแล้ว...” คิดแล้วก็ใช้พลังธาตุลมหล่อหลอมให้คมกริบตัดเนื้อออกเป็นชิ้นเล็ก จากนั้นก็เริ่มพลิกเนื้อและใช้ตะเกียบไม้ที่เพิ่งสร้างเมื่อครู่คีบเนื้อกระต่ายย่างเข้าปาก
“อืม...หอม หวาน อร่อย สุดยอด!” สำหรับคนที่กินอย่างควบคุมมาตลอดชีวิต เพียงเนื้อชิ้นเล็ก ๆ เข้าปากก็เหมือนกับขึ้นสวรรค์ทันที รสชาติไม่ได้ดีเลิศสำหรับคนทั่วไปแต่กลับดีเยี่ยมสำหรับนาง
เฟิงเหยาใช้เวลาเพียงครู่กับเนื้อกระต่ายหนึ่งตัว นางลูบท้องตัวเองเบา ๆ เรอเอิ้กออกมาอย่างไม่อาย ก่อนจะขมวดคิ้วสงสัยขึ้นมา มองดูค่าความหิวแล้วเพิ่มมาเพียงสิบแต้มเท่านั้น
“ทำไมค่าความหิวเพิ่มยากแต่ลดง่ายจังแหะ ตอนกินโสมก็เห็นเพิ่มเอา ๆ ” คิดไปคิดมาแล้ว ดูเหมือนว่าระดับของสิ่งที่กินเข้าไปจะมีผลกับการเพิ่มของแต้ม ต่อไปคงต้องหาแต่ของดีมากินเสียแล้วสิ
“แต่ถ้าไม่มีเนื้อก็ไม่อร่อยน่ะสิ จะให้กินโสมขม ๆ ตลอดก็ไม่ได้ เมื่อกี้ก็แค่กินกันตายเท่านั้นเอง” พอคิดเช่นนั้นรายการอาหารที่ทำจากโสมก็ปรากฎขึ้นในสมองมากมาย
เฟิงเหยาถึงกับเหม่อลอย หน้าตาน่ารักนั้นราวกับกำลังหิวโหยอย่างถึงที่สุด ทั้งที่เพิ่งจะกินกระต่ายตัวใหญ่หมดไปเมื่อครู่ มุมปากน้ำลายแทบจะไหลออกมา แต่นางปิดปากทันเสียก่อน
“ไม่ได้! จะกลายเป็นตัวตะกละไปไม่ได้ ต้องรู้จักควบคุมตัวเอง ควบคุมตัวเอง” ขณะที่พูดก็กลบไฟและซากอาหารลงดินให้หมด เริ่มเดินเข้าไปในป่าลึกขึ้นเรื่อย ๆ คิดไปตายเอาดาบหน้าในอนาคต จำบทนิยายได้ก็จริงแต่ก็ไม่รู้ทิศทางอยู่ดี
เดินไปสิบก้าวหยุดเก็บสมุนไพรรอบ ๆ เดินไปร้อยเก้าแวะทำอาหารกิน เดินไปพันก้าวหยุดทะลวงลมปราณเพราะเผลอกินโสมคนพันปีเยอะเกินไป
ทำเช่นนี้ไปสิบวันในที่สุดก็มาถึงเมืองข้างเคียงที่แสนมีเสน่ห์เสียที
‘เมืองหมอก’
หนึ่งในของดีแคว้นต้าเยียน สถานที่แห่งนี้มีสำนักยิ่งใหญ่ของจอมมารจำแลงอยู่
หนึ่งในฮาเร็มตัวสำคัญนับสิบตัวของนางเอกกับนางมาร ที่แยกร่างจำแลงเพื่อทดสอบจิตใจคนงาม สุดท้ายก็เสียใจกลับขึ้นแดนชั้นหนึ่งไปอย่างผิดหวัง ตัวละครที่เฟิงเหยาชื่นชอบที่สุด
‘จอมมารจำแลง มีตัวตนหนึ่งของเขาเป็นพ่อครัวขั้นเทพที่เมืองหมอกนี่นา...อา ข้าอยากกินอาหารฝีมือราชามาร’ อืม...ดูเหมือนความชื่นชอบของเฟิงเหยาต่อจอมมารจำแลง จะพ่ายแพ้ความชื่นชอบของนางต่ออาหารไปเสียแล้ว ช่างน่าสงสารท่านราชามารยิ่ง