3 ท่านหญิง
“ท่านหญิงจื่อถิงฟื้นแล้ว” เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนเสียงดังโวยวาย ทันทีที่ผู้ที่นอนอยู่บนเตียงลืมตาตื่นขึ้น
“เสี่ยวไป๋ไปตามท่านอ๋องเร็ว”
“โธ่...จะไปตามมาทำไม ถึงจะไปบอกว่าท่านหญิงฟื้นแล้ว พระองค์ก็ไม่หันมาเหลียวแลหรอก” เสี่ยวไป๋ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยอ่อนใจ ตอนที่ท่านหญิงตกจากหลังม้าอาการปางตาย ท่านอ๋องยังไม่มาเหลียวแลเลย เพียงแต่กล่าวว่าพิธีปักปิ่นของท่านหญิงอี้สำคัญมาก ไม่มีเหตุผลที่จะขัดขวาง แล้วยังบอกอีกว่านางเสแสร้งแกล้งทำ และต่อให้นางหมดลมหายใจเขาก็ไม่สนใจ
ซูชินอ๋องผู้ใจร้ายพระองค์นั้นมีแต่จะรอฟังว่าเมื่อไหร่ท่านหญิงถิงจะสิ้นพระชนม์เสียที
“น่าสงสารท่านหญิงถิงจังเลย พวกเจ้าว่าไหม พอท่านอ๋องได้ท่านหญิงอี้มาเป็นบุตรสาว ความรักความเอาใจใส่ที่เคยมีให้ก็เลือนหายไป ดูสิพระองค์ป่วยจนเกือบตายก็ไม่ได้รับการเหลียวแล นี่โชคยังดีที่ยังส่งหมอหลวงมาดูอาการอยู่บ้าง”
เรื่องราวที่ผู้หญิงสองคนกำลังสนทนากันคล้ายกับว่าเธอเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน ยังไงนะ ‘ท่านหญิงถิง ท่านหญิงอี้ ซูชินอ๋อง’ บุคคลที่สองคนนี้กำลังกล่าวถึงเป็นใครกัน ทำไมจึงเป็นชื่อที่ค่อนข้างคุ้นหู
คนตัวเล็กตัดสินใจค่อย ๆ ลุกขึ้น ร่างกายเจ็บปวดรวดร้าว ขยับตัวได้อย่างยากลำบาก สายตาของเธอมองไปรอบ ๆ กาย พบเห็นว่าตนนั้นกำลังนอนอยู่ในเรือนไม้โบราณที่ค่อนข้างเก่า
“ที่นี่คือที่ไหน” น้ำเสียงของหญิงสาวแหบพร่า
“ท่านหญิง ท่านเพิ่งฟื้นอย่าเพิ่งลุกขึ้นมาเจ้าค่ะ” หญิงสาวที่แต่งกายด้วยชุดโบราณนั่งคุกเข่าอยู่ข้าง ๆ เตียง ขยับเข้ามาจับไม้จับมือของนาง
“พวกเธอเป็นใคร” หญิงสาวมองไปยังทั้งสองคนที่นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นหิน ผู้คนพวกนั้นไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเธอเลยสักนิด “ที่นี่คือที่ไหน” เธอมองไปรอบ ๆ ตัว แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏโดยรอบเป็นสภาพแวดล้อมที่เธอไม่รู้จัก
“ท่านหญิง หม่อมฉันเสี่ยวไป๋ กับเสี่ยวซานไงเพคะ” สตรีที่ดูเหมือนว่าจะชื่อเสี่ยวไป๋แนะนำตนเองและผายมือไปทางสตรีอีกคน ใบหน้าและท่าทางของทั้งสองละม้ายคล้ายกัน ดูออกทันทีว่าเป็นพี่น้องกัน
“ท่านหญิง ใครคือท่านหญิง? อะไรคือท่านหญิง? พวกเธอเป็นใครกัน?” คำถามมากมายถูกพรั่งพรูออกมา ‘เสี่ยวไป๋กับเสี่ยวซาน’ ชื่อคล้ายกับท่านยายชุดขาวดำทั้งสองเหลือเกิน
เสี่ยวซานใจคอไม่ดี ยิ่งเห็นท่านหญิงที่ตนรักเป็นเช่นนี้ยิ่งร้อนใจ ทั้งสองคนมองหน้ากันสลับไปมา กล่าวสิ่งใดไม่ออก สองพี่น้องได้รับการฝากฝังจากอดีตพระชายาผู้ล่วงลับ ถ้าหากพระนางไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้วให้ดูแลปกป้องท่านหญิงเท่ากับชีวิต
“ถ้าหากข้าไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว ถิงถิงน้อยของข้าจะน่าสงสาร ถึงนางจะไม่ใช่ลูกสาวแท้ ๆ ของข้าก็เถอะ แต่อย่างไรข้าก็รักนางสุดหัวใจ เสี่ยวไป๋ เสี่ยวซานข้ามีคำขอครั้งสุดท้าย ได้โปรดปกป้องท่านหญิงสุดชีวิตของพวกเจ้า”
เพราะบุญคุณของพระชายามีมากเหลือคณานับ หากไม่ได้ความเมตตาของพระนาง สองพี่น้องก็คงไม่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เสี่ยวไป๋และเสี่ยวซานจึงยึดมั่นคำสัญญาตั้งแต่ครานั้นมาจนถึงบัดนี้ ท่านหญิงน้อยถึงแม้จะมีนิสัยเอาแต่ใจร้ายกาจ แต่กระนั้นก็ไม่เคยทำร้ายพวกนางเลยสักครั้ง ทุกอย่างดูผ่านไปได้ด้วยดี กระทั่งความจริงเรื่องชาติกำเนิดของท่านหญิงจื่อถิงปรากฏ กอบกับการมีอยู่ของท่านหญิงเยว่อี้
“ไปตามหมอมาเร็ว ไปตามหมอ” เสี่ยวไป๋ตะโกนบอกน้องสาวของตนเองอีกครั้ง
“โธ่ เสี่ยวไป๋เวลานี้ด้านนอกหิมะตกหนัก ต่อให้เราให้เงินพวกหมอมากมายเท่าไหร่ พวกนั้นก็ไม่ยอมมารักษาให้หรอก”
“แล้วเราจะทำอย่างไรกันดี หากปล่อยไว้เช่นนี้ท่านหญิงอาจจะอาการหนักกว่าเดิม” บ่าวสองพี่น้องเริ่มใจคอไม่ดี จับมือกันร้องไห้น้ำตาคลอ
“เดี๋ยวก่อน พวกคุณจะร้องไห้ทำไมกัน” ซูจื่อถิงไม่เข้าใจว่าสองคนนี้ร้องไห้ไปทำไมกัน เห็นแบบนั้นหัวใจของหญิงสาวเองก็รู้สึกเจ็บปวดไปพร้อม ๆ กับที่เห็นน้ำตาของคนทั้งคู่ “พวกคุณอย่าร้องเลยค่ะ ฉันไม่เป็นอะไร” ร่างเล็กก้าวขาลงจากเตียง พยายามโอบกอดปลอบประโลมคนที่นั่งอยู่ที่พื้น
“ท่านหญิงอย่าลงมาเพคะ อย่าลงมาบนพื้น ตอนนี้อากาศหนาวเย็นนัก พระองค์เพิ่งจะฟื้นจากอาการป่วย หากป่วยอีกรอบ พระองค์คงจากหม่อมฉันไปแน่ ๆ ทำแบบนี้พระชายาที่อยู่บนสวรรค์จะต้องลงโทษบ่าว” ทั้งเสี่ยวซานและเสี่ยวไป๋บังคับให้เจ้านายของตนกลับขึ้นไปบนเตียงกันพัลวัน
น้ำเสียงของซูจื่อถิงยังคงแหบพร่า ร่างเล็กพยายามประมวลผลความทรงจำในหัว เธอจำได้ว่าล่องลอยอยู่ในมิติมืดมิดอะไรสักอย่างเนิ่นนาน บางครั้งท่านยายยมทูตขาวดำที่มีชื่อเหมือนกับคนที่อยู่ในห้อง ก็มักจะมาพูดคุยเรื่องนี้เรื่องนั้นกับเธอบ้าง แต่กระนั้นก็ยังนึกไม่ออกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานี้คือเรื่องใดกันแน่ หรือว่านี่คือชีวิตใหม่ของเธอ
“พวกคุณ”
“เพคะ” ทั้งสองคนรับคำพร้อมกัน ถึงแม้คำพูดคำจาของท่านหญิงจะวิปลาสไปบ้าง ขอแค่ร่างกายของนางดูปกติดีก็พอใจแล้ว
“พวกคุณคือใคร” ซูจื่อถิงที่นั่งซุกอยู่ในกองผ้าห่มเอ่ยถาม
ยิ่งเจ้านายของพวกนางกล่าวด้วยคำพูดแปลกประหลาดมากขึ้นเท่าไหร่ น้ำตาของบ่าวสองพี่น้องก็ไหลมากขึ้นเท่านั้น
“ท่านหญิงพระองค์จำไม่ได้เลยเหรอเพคะว่าตนเองเป็นใคร” เสี่ยวซานสะอึกสะอื้น
ซูจื่อถิงจำเรื่องราวในภพชาติที่เธอจากมาได้ แต่ในภพชาตินี้เธอจำไม่ได้และไม่มีความทรงจำของร่างกายนี้อยู่เลย
“ฉันจำไม่ได้เลย พี่สาวทั้งสองโปรดบอกฉันที ว่าฉันคือใครและที่นี่คือที่ไหน” ซูจื่อถิงตัดสินใจถามจากทั้งสอง
ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วซูจื่อถิงจึงตัดสินใจจะรับบทเป็นผู้หญิงที่ความจำเสื่อม
เสี่ยวไป๋มองหน้าเสี่ยวซาน ก่อนที่จะตัดสินใจเล่าเรื่องราวคร่าว ๆ ให้นางฟัง
“ฟังหม่อมฉันนะเพคะ พระองค์คือท่านหญิงจื่อถิง บุตรสาวคนโตของซูชินอ๋อง ปีนี้อายุ 16 มีพี่น้องไม่แท้หนึ่งคนอายุไม่น่าจะห่างกันนักก็คือท่านหญิงเยว่อี้”
‘จื่อถิง เยว่อี้ ซูชินอ๋อง’
หัวสมองเล็ก ๆ ของซูจื่อถิงประมวลผลเรื่องราวทีละเล็กทีละน้อย หญิงสาวปะติดปะต่อเรื่องราวทุกอย่างจนเริ่มเข้าใจ ชีวิตใหม่ของเธอคือซูจื่อถิงงั้นเหรอ ซูจื่อถิงที่เป็นนางร้ายในนิยายที่ถูกพระเอกและคนทั้งหล้าอยากสังหารให้ตายตกนั่นน่ะเหรอ……