ตอนที่ 5 แวะหอสุรา
เหมยหลินยกยิ้มบางอย่างอิ่มเอมใจ นางเลือกคนไม่ผิดจริง ๆ ... วันที่ตัดสินใจไถ่ตัวเสี่ยวเสียงจากโรงค้าทาส ยังจำได้ดีว่าสถานที่นั้นอบอวลด้วยกลิ่นคาวเลือดและเสียงร่ำไห้ระงม ท่ามกลางความเวทนาและหดหู่ แววตาของเด็กผู้นั้นกลับยังมีประกายแห่งการดิ้นรน แม้จะริบหรี่ดั่งแสงเทียนใกล้มอด แต่ก็เพียงพอจะทำให้นางไม่อาจละเลย
“เสี่ยวเสียง...ฟังข้านะ ชีวิตของเจ้า เจ้าควรเป็นคนเลือกเส้นทางเอง อย่าเอาชะตาไปผูกไว้กับใครทั้งหมดเลย มันเจ็บปวดมากนัก เจ้ารู้หรือไม่”
“ฮูหยิน ท่านเมาแล้วหรือ?” เสี่ยวเสียงย้อนถามเสียงเบา สีหน้าเปี่ยมด้วยความห่วงใย คำพูดของเจ้านายช่างฟังดูคล้ายคนเมามาย หากมิใช่เพราะฤทธิ์สุรา ก็คงเป็นเพราะพิษรักกระมัง... ทว่าน่าเจ็บใจนัก ความรักที่ฮูหยินมอบให้นายท่านกลับดูไร้ค่า ไม่แม้แต่จะได้รับเศษเสี้ยวความสนใจจากเขา
“ข้าหาได้เมามายไม่ สุราเพียงกาเดียวจะทำอันใดข้าได้” เหมยหลินหัวเราะเบา ๆ พลางกระเซ้าเย้าแหย่สาวใช้ “ดูหน้าเจ้าสิ มุ่ยราวคนอมทุกข์ เอาเถิด...เลิกทำหน้าเช่นนั้นเสียที ข้าดื่มไม่นานหรอก ประเดี๋ยวก็กลับ ว่าจะแวะร้านเครื่องหอมสักหน่อยด้วย”
เสี่ยวเสียงเบือนหน้าหนีเล็กน้อย ก่อนตอบเสียงเบา “เจ้าค่ะ...ฮูหยิน”
ล้อรถม้ากลิ้งไปตามทางหินกรวด ถนนในยามย่ำค่ำเริ่มพลุกพล่านน้อยลง ร้านรวงในตลาดทยอยปิดประตู เสียงเรียกลูกค้าค่อย ๆ เงียบหาย เหลือเพียงเสียงขลุกขลักของเกวียน และเสียงหัวเราะของผู้คนบางตา เหลาอาหารและหอสุราเริ่มจุดโคมแขวนเรียงราย แสงไฟสีส้มอบอุ่นไหวระริกตามแรงลมเย็นยามยามโหยว่
ภายในรถม้า เหมยหลินเอนกายพิงเบาะอย่างเงียบเชียบ ใบหน้าของนางดูอ่อนล้า แม้มิได้เอื้อนเอ่ยคำใดอีก ทว่าสายตาที่ทอดออกไปนอกรถกลับหม่นหมอง เงียบงัน และเต็มไปด้วยความคิดคำนึง
“อีกเพียงหนึ่งปี... ข้าจะกลับเหอหยางแล้ว” นางรำพึงในใจ เสียงนั้นเบากว่าลมหายใจ
หาใช่เพียงคนในรถม้าเท่านั้นที่จมอยู่ในความเงียบ...
บุรุษผู้หนึ่งคลี่ร่มดำ ก้าวตามอยู่ไม่ห่าง นับตั้งแต่เหมยหลินและสาวใช้ออกจากโรงน้ำชา เขาได้ยินทุกถ้อยคำ ได้ยินว่านางจะไปหอเฟิ่งหวง เขาจึงเลือกเดินลัดผ่านตรอกแคบ เงียบงันและมิดชิด ไม่มีท่าทีเร่งร้อน ไม่มีพิรุธให้จับผิด เพียงแค่จดจ้อง... ทุกฝีก้าวของนาง
ร่มดำในมือบดบังใบหน้า แต่แววตาคู่นั้นฉายแสงแหลมคม เยียบเย็นยิ่งนัก
เพียงไม่นาน รถม้าของจวนตระกูลมู่ก็แล่นมาหยุดหน้าหอเฟิ่งหวง หอสุราเลื่องชื่อประจำเมืองหลวง ที่ขึ้นชื่อเรื่องสุราผลไม้รสเลิศ และบุรุษรูปงามผู้ร่ายพิณเอนกายรับแขก...สิ่งนี้น่าเร้าใจกว่าสามีที่บ้านของนางมากโข
เหมยหลินเปิดม่านรถม้าออกช้า ๆ แสงโคมแดงด้านหน้าหอสุราจับแสงลงบนใบหน้านวลเนียนของนาง แววตาคู่นั้นดูว่างเปล่า...แต่ลึกล้ำประหนึ่งสายน้ำใต้เงาจันทร์
รถม้าค่อย ๆ ชะลอลงหน้าหอสุราสูงสามชั้นซึ่งประดับโคมแดงระย้า เสียงรำพึงพิณและระฆังน้ำแข็งดังกระทบกันแผ่วเบา ประหนึ่งต้อนรับแขกผู้มากันโดยไร้กำหนด เสี่ยวเสียงรีบเปิดม่านด้านหน้า ก้าวลงอย่างคล่องแคล่ว แล้วประคองบันไดเทียบไว้มั่น “ฮูหยิน เชิญเจ้าค่ะ”
“อืม...” เหมยหลินรับคำเบา ๆ คลี่ยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะแบมือรอรับพัดเล่มโปรดจากคนสนิท
“อย่าลืมเล่า คืนนี้เจ้าต้องจัดการเรื่องของนายท่านให้เรียบร้อย” นางรับพัดจากเสี่ยวเสียง ดวงตาคู่งามเหลือบมองอย่างแฝงนัยก่อนจะระบายยิ้มอ่อน พลางยกมือขึ้นขยี้ศีรษะของสาวใช้ด้วยความเอ็นดู
“เจ้าค่ะ ฮูหยิน” เสี่ยวเสียงยอบกายลงอย่างนอบน้อม แล้วหันกลับขึ้นรถม้า สีหน้าไร้ซึ่งความกังวลใด ๆ ราวกับรู้หน้าที่ของตนอย่างแจ่มแจ้ง
เหมยหลินหัวเราะเบา ๆ พลางโบกพัดในมือน้อย ๆ อย่างคนไม่ทุกข์ร้อน ก่อนจะก้าวเข้าไปยังหอเฟิ่งหวงสถานที่ซึ่งขจรขจายด้วยชื่อเสียงเรื่องสุราหวานกลิ่นผลไม้ และบุรุษรูปงามผู้บรรเลงพิณดั่งเทพสวรรค์
ภายในหอ...บรรยากาศกลับครึกครื้นนัก โคมแดงประดับเรียงราย พาให้ภายในอบอุ่นและมีชีวิตชีวา เสียงขลุ่ยและพิณร่ายกลอนล่องลอยกลางอากาศ คลอไปกับท่วงท่าร่ายรำของหญิงงามที่เยื้องกรายอยู่บนเวทีกลางหอ ผู้คนมากมายนั่งเรียงรายตามโต๊ะไม้กลึง ดูคล้ายต่างลืมโลกภายนอกไปชั่วขณะ
เหมยหลินหยุดยืนดูอยู่ครู่หนึ่ง พัดในมือนางไหวเบา ๆ คล้ายจะโบกไล่เศษเสี้ยวความหม่นหมองในใจ ก่อนที่เถ้าแก่เนี้ยผู้ดูแลหอจะเร่งฝีเท้าเข้ามาต้อนรับ “ฮูหยิน! วันนี้ห้องชั้นสองที่ท่านใช้ประจำ มีแขกมาจองไว้เสียก่อนเจ้าค่ะ หากไม่รังเกียจ...จะเปลี่ยนเป็นห้องอื่นดีหรือไม่?”
เหมยหลินขมวดคิ้วเพียงเล็กน้อย พัดในมือยังไกวไม่หยุด “ห้องไหนก็ได้ที่เป็นส่วนตัว เรียกอาซิ่วเข้ามาให้ข้าด้วย”
เถ้าแก่เนี้ยชุนอึกอักเล็กน้อย สีหน้าเกรงใจนัก “วันนี้อาซิ่วรับแขกอยู่ในห้องนั้นพอดีเจ้าค่ะ ท่านจะเปลี่ยนเป็นคนอื่นได้หรือไม่?”
หญิงสาวมุ่นคิ้วนิ่ง ๆ ก่อนถอนหายใจเบา ๆ พัดในมือหุบลง แล้วเหน็บไว้ที่สายรัดเอวอย่างละมุนละม่อม“น่าเสียดายนัก...ไม่เป็นไร หากเช่นนั้น ข้าอยากได้ห้องที่ติดริมระเบียง มองเห็นเวทีร่ายรำได้ก็เพียงพอแล้ว”
“เจ้าค่ะ! ข้าจะรีบให้คนไปเตรียมให้เดี๋ยวนี้” เถ้าแก่เนี้ยชุนโล่งอกนัก ไม่คิดว่าวันนี้นายหญิงเหมยจะว่าง่ายถึงเพียงนี้
ขณะเถ้าแก่เนี้ยรีบเร่งฝีเท้าจัดการ ห้องโถงของหอก็ยังคงบรรเลงท่วงทำนองอ่อนหวาน เสียงพิณเย็นเยียบดังเคล้ากับกลิ่นสุราอ่อน ๆ แสงโคมสลัวสะท้อนเงาร่ายรำของนางรำกลางเวทีอย่างแผ่วเบา...
เงาหนึ่งซ่อนเร้นในมุมมืดริมเสากลางหอ ลอบจ้องมองสตรีผู้ถือพัดมิห่าง แววตาแน่วนิ่งของเขาฉายแววประหลาด รอยยิ้มบางคลี่อยู่ที่มุมปาก ดูคล้ายเล่นลิ้นกับความลับในใจ ทว่าในจังหวะที่สายตาเขาเหม่อลอยแนบแน่นไปกับนางนั้น เขากลับเผลอสบตากับหญิงงามเข้าโดยมิทันได้ตั้งตัว
เหมยหลินยืนกอดอก มองทอดผ่านราตรีอย่างสงบ สายลมยามเย็นพัดชายแขนเสื้อบางเบาไหวเอื่อย ยิ่งขับให้นางดูสง่างามดั่งภาพวาด นางปรายตามองบุรุษในเงามืดเพียงครู่ ก่อนจะหันไปทางสาวงามผู้หนึ่งซึ่งยิ้มระรื่นเดินเข้ามา “คารวะพี่หญิงเหมยเจ้าค่ะ” นางยอบกายลงงามงอนตามแบบหญิงฝึกปรือมา
“กิจการที่นี่เป็นเช่นไรบ้าง? เครื่องหอมที่ข้าส่งมาเมื่อคราวก่อน ถูกใจพวกเจ้าหรือไม่?” เหมยหลินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ นัยน์ตาแม้สงบ แต่ก็เปี่ยมด้วยเมตตาอ่อนโยน
สาวงามผู้นั้นรีบคว้าแขนเหมยหลินไว้แน่น ท่าทางสนิทสนมราวพี่น้องร่วมสายโลหิต กิริยาเช่นนั้นทำให้บุรุษในเงามืดยิ่งจ้องมองแนบแน่น ราวมิอาจละสายตาจากนางได้
“คราวก่อนท่านให้คนนำมาส่งให้ถึงที่ มิแม้คิดเงินสักอีแปะ พวกข้าล้วนซาบซึ้งนักเจ้าค่ะ” นางกระซิบเสียงเบาราวเกรงกลัวใครจะได้ยิน “แต่ต้องบอกว่าเครื่องหอมของท่านนั้นเลิศล้ำ กลิ่นติดทนนาน แถมยังช่วยให้หลับสบายยิ่งนัก”
เหมยหลินยิ้มบาง ดวงหน้างามปรากฏประกายละมุน “เช่นนั้นก็ดีแล้ว” นางทอดตามองไปรอบหอสุราอันคึกคักแล้วจึงกล่าวต่อ “เถ้าแก่เนี้ยชุนดูแลพวกเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง?”
หญิงสูงวัยผู้นั้นเพิ่งเข้ามาดูแลหอเฟิ่งหวงได้ไม่นานนัก เหมยหลินยังคงมีความห่วงใยในใจต่อสตรีที่ชะตาพลิกผันต้องกลายมาเป็นนางโลม
สตรีเหล่านี้ล้วนโชคร้าย บ้างถูกขายจากบิดามารดา บ้างกำพร้าไร้ญาติ บ้างแม้เป็นบุตรสาวขุนนาง ก็ยังต้องล่มชื่อเสียงด้วยโทษอันมิอาจต้าน ผู้คนภายนอกมองพวกนางเป็นหญิงชั้นต่ำ
หากในสายตาเหมยหลิน กลับเห็นเป็นเพียงหญิงที่มิอาจเลือกชะตาชีวิตตนเองได้ นางจึงยินดีจะหยิบยื่นความไมตรีให้โดยมิคิดแม้แต่เศษเงิน
“นางดูแลพวกเราดีนักเจ้าค่ะ อีกทั้งยังมีน้ำใจ คอยจัดหาหยูกยามาให้ มิให้พวกเราต้องรับแขกที่ก่อกวนหรือใช้กำลังเหมือนเมื่อก่อน วันก่อนก็เพิ่งจัดการคุณชายหม่าไปเจ้าค่ะ”
สาวงามเล่าไป ตาเป็นประกาย “เขาเมาแล้วอาละวาด ทำลายข้าวของ แล้วกลับกล่าวหาหอของพวกเราว่าดูแลมิทั่วถึง เถ้าแก่เนี้ยโกรธมาก ถึงกับส่งคนไปฟ้องศาล สุดท้ายได้ค่าทำขวัญกลับมาจนได้”
เหมยหลินเลิกคิ้วขึ้นน้อย ๆ “เช่นนี้ข้าก็เบาใจ เถ้าแก่เนี้ยใหม่ผู้นี้ดูกล้าหาญไม่เบา”
“เสี่ยวหลัน...” เหมยหลินเอ่ยเสียงหวานพร้อมรอยยิ้ม “วันนี้ข้าอยากได้ผู้ดูแลเป็นหนุ่มน้อย... หน้าตาน่ารัก มีหรือไม่?”
เสี่ยวหลันยิ้มกรุ้มกริ่ม ดวงตาพราวระยับ “ย่อมมีเจ้าค่ะ เพิ่งมาใหม่ สดใหม่นัก... รูปงามอย่าบอกใคร!” นางเดาไม่ยากพี่หญิงเหมยมักแวะมาที่นี่ยามใจหม่น ทั้งเพื่อดื่มสุรา ทั้งปลดเปลื้องความคิดในอก
“เช่นนั้น...” เหมยหลินหัวเราะในลำคอ พัดในมือโบกเบา “ก็ให้เขาเข้ามาดูแลข้าเถิด... ข้าเบื่อไก่อ่อนที่บ้านเต็มทนแล้ว”
