
บทย่อ
“ระหว่างข้ากับท่าน สองเราไม่มีสิ่งใดต้องข้องเกี่ยวอีก หากท่านปรารถนาจะรักใคร จะแต่งกับผู้ใด ข้าก็มิขอขัด ชาตินี้...ข้าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับท่านอีกต่อไป” “ถ้อยคำเจ้าช่างยียวนสิ้นดี” เรื่องย่อ มู่เจ๋อ...บุรุษผู้มีใบหน้าเป็นทรัพย์ หากแต่ไร้ความสามารถอันพึ่งพิงได้ ส่วนเหมยหลิน...หญิงสาวจากครอบครัวแตกแยก ยอมผูกชะตาชีวิตกับนายน้อยจวนมู่เพื่อตอบแทนบุญคุณผู้มีพระคุณอย่างแม่สามี แม้จะเริ่มต้นด้วยหัวใจอันว่างเปล่า แต่กาลเวลาค่อย ๆ หล่อหลอมให้นางมองเห็นแววบางอย่างในตัวสามีเด็กผู้นั้น อีกทั้งก่อนสิ้นลมหายใจของแม่สามียังฝากฝัง ให้นางช่วยเคี่ยวเข็ญบุตรชายให้กลายเป็นชายที่ควรค่าแก่ตำแหน่งผู้นำจวน ทว่า...ชายผู้นั้นกลับมิได้ตระหนักรู้ในความหวังดี ตรงกันข้ามกลับเอาแต่ใจ ดื้อรั้น และไม่เคยเห็นนางอยู่ในสายตา ยังไม่ทันครบสามเดือนหลังการจากไปของมารดา มู่เจ๋อก็เอ่ยปากจะแต่งคนรักเข้ามาอีกคน
ตอนที่1 ความปรารถนา
ณ จวนตระกูลมู่
หญิงสาวในอาภรณ์สีขาวแต่งลายใบไผ่สีเขียวอ่อน ยืนประจันหน้ากับบุรุษผู้เป็นสามี แววตานิ่งเรียบ ทว่าแฝงไว้ด้วยความเยียบเย็นหาใช่ความอ่อนโยนเฉกเช่นวันวาน
“ระหว่างข้ากับท่าน สองเราไม่มีสิ่งใดต้องข้องเกี่ยวอีก หากท่านปรารถนาจะรักใคร จะแต่งกับผู้ใด ข้าก็มิขอขัด ชาตินี้...ข้าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับท่านอีกต่อไป” คำพูดนั้นหลุดจากปากของ เหมยหลิน บุตรสาวลำดับที่สามแห่งตระกูลเหมย ด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเฉียบขาด
เดิมทีนางมิใช่สตรีเจ้าโทสะ ทว่าเพราะ มู่เจ๋อ หักหาญน้ำใจนางครั้งแล้วครั้งเล่า ความอดทนที่เคยมีก็ถูกกัดกร่อนไปจนหมดสิ้น ทั้งสองหมั้นหมายกันตั้งแต่นางอายุได้สิบขวบปี อีกทั้งยังตกแต่งกันอย่างถูกต้องตามธรรมเนียม และนางก็เป็นถึงฮูหยินเอกหาใช่หญิงสามัญที่ใครจะผลักไสเมื่อใดก็ได้
มู่เจ๋อหน้าขึ้นสี ความโกรธปะทุอยู่ในอกไม่ต่างกัน เกิดมาจนบัดนี้อายุยี่สิบปี เพิ่งจะพานพบสตรีที่กล้าแผดเสียงใส่เขาเช่นนี้ นางเป็นคนแรก...ที่ยืนหยัดต่อต้านเขาอย่างไม่เกรงกลัว “ถ้อยคำเจ้าช่างยียวนสิ้นดี” เขาขบกรามแน่น เสียงพูดสะบัดออกมาด้วยโทสะ
เหมยหลินหัวเราะเย็นพลางเอ่ยอย่างไม่ไว้หน้า “แล้วมันหนักส่วนใดของท่านกัน?” เขาเคยทำกับนางไว้เพียงใด อย่าให้นางต้องรื้อฟื้น...เพราะทุกเรื่องยังฝังแน่นอยู่ในใจ
วันเข้าหอ เขาไม่เพียงเมินเฉยนาง หากยังไม่เปิดแม้แต่ผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว... นางอับอายแทบแทรกแผ่นดินหนี โชคยังดีที่แม่สามีเมตตา คอยปลอบโยนให้นางก้าวผ่านคืนอันเลวร้ายนั้นไปได้ แต่ยิ่งอยู่ ความเจ็บปวดยิ่งทับถมนางเคยจับได้ว่าเขาแอบนัดพบสตรีอื่น ซ้ำยังเอ่ยกับนางด้วยท่าทีไร้เยื่อใยว่า จะรับสตรีผู้นั้นเป็นฮูหยินรอง
ครานั้นนางร้องไห้จนตาบวมช้ำ ส่วนเขากลับหัวเราะเยาะความอ่อนแอของนางอย่างไร้หัวใจ และเมื่อไม่นานมานี้ แม่สามี เพียงคนเดียวที่เคยปกป้องนาง จากไปกะทันหัน ยังไม่ทันครบสามเดือน มู่เจ๋อกลับกล่าวหน้าตาเฉยว่า จะรับอนุอีกสองสามคนเข้ามา “เพื่อปลอบใจตนเอง”
นี่หรือคือสิ่งที่พึงกระทำในยามไว้ทุกข์? นี่หรือคือความรับผิดชอบของบุรุษที่เรียกตนเองว่าสามี?
หนนี้เหมยหลินหมดความอดทนจนกลายเป็นเรื่องใหญ่ นางย่างสามขุมเข้าไปตรงหน้า ใช้นิ้วจิ้มหน้าผากเขาอย่างไม่หวั่นเกรง ถึงต้องเขย่งปลายเท้า นางก็ยอม “เจ้าทึ่มทื่อ...สมองหมูหรือไง? อยากแต่งนักก็แต่งไปเลย” นางแค่นเสียงใส่
“ดี สามวันข้างหน้า ข้าจะแต่งนางเข้ามา” มู่เจ๋อกดยิ้ม สีหน้าสดใสราวเด็กได้ของเล่น “หวังว่าเจ้าจะไม่ทำร้ายจิตใจนางให้ชอกช้ำก็แล้วกัน”
“เรือนนี้เป็นของข้า” เหมยหลินสวนทันควัน “ถ้านางจะเข้ามาเป็นฮูหยินรอง อย่างน้อยต้องมายกน้ำชาให้ข้าก่อน อีกอย่าง...ให้ไปอยู่เรือนท้ายจวน หากท่านรับปาก ข้าก็ไม่ขัด แต่ถ้าไม่...ก็ทำได้แค่รับอนุเข้ามาเท่านั้น”
พูดจบ นางหย่อนตัวลงบนเก้าอี้ รินน้ำชา จิบอย่างใจเย็น ราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่อย่างใด
รอยยิ้มของมู่เจ๋อพลันจางหาย ราวกับมันหล่นวูบไปโดยไม่ทันตั้งตัว “นี่เจ้าจะมากเกินไปแล้วนะ ข้าเป็นเจ้าของจวนนี้ เจ้ามีสิทธิ์อันใดมาสั่ง!”
“หากถามถึงสิทธิ์ ข้าจะบอกให้ชัด ๆ หนึ่งข้าเป็นฮูหยินที่แต่งเข้ามาอย่างถูกต้อง มิใช่อนุ มิหนำซ้ำยังได้รับแต่งตั้งอย่างชอบธรรม
สองข้าเป็นนายหญิงของจวน ดูแลบัญชีทุกเล่มของตระกูล สามก่อนท่านแม่จากไป ได้กำชับเอาไว้ชัดเจน ไม่ว่าจะจวนหลังนี้หรือที่นาในครอบครอง ล้วนเป็นกรรมสิทธิ์ของข้า หากข้ากับท่านหย่าร้าง ทรัพย์สินทั้งหมดจะตกเป็นของข้า”
เหมยหลินใช้นิ้วจิ้มกลางอกเขาอย่างจงใจ เงยหน้าขึ้นสบตาแล้วแย้มยิ้ม ราวกับผู้ที่ถือไพ่เหนือกว่า “ทีนี้เข้าใจหรือยัง ว่าทำไมพวกเราถึงหย่ากันไม่ได้ ใคร่ครวญให้ดี ก่อนจะพูดอะไรโง่ ๆ ออกมาอีก” นางห่วงเจ้าเด็กคนนี้ หากถูกสตรีลวงหลอกอาจสิ้นเนื้อประดาตัวก็ได้ ยิ่งทึ่มทื่อมิทันคนเช่นนี้ นางจะหย่าและวางใจได้อย่างไรกัน
“ฮูหยินเจ้าคะ ได้เวลาแล้วเจ้าค่ะ” เสียงสาวใช้ดังมาจากด้านนอก พร้อมรอยยิ้มหวานที่ทอดให้มู่เจ๋อ ก่อนจะเข้ามาพยุงนายหญิงเดินออกจากเรือน “คุณหนูจ้าวส่งคนมาตามท่านแล้วเจ้าค่ะ” กล่าวจบนางยื่นพัดมอบให้นายหญิงก่อนจะเดินออกไป
“น่าเบื่อชะมัด” เหมยหลินพ่นลมหายใจ บ่นกระปอดกระแปด “หากไม่ไป พวกนางคงบ่นข้าจนหูชาแน่ ๆ วัน ๆ พวกนางไม่มีอันใดทำกันหรือ”
แต่ถึงอย่างไรนางก็ต้องไปอยู่ดี...ในแต่ละเดือน เหล่าสตรีในเมืองหลวงจะนัดพบกันเพื่อดื่มน้ำชา สนทนาเรื่องราวในแวดวงขุนนาง เหมยหลินจึงถือโอกาสนี้เก็บรวบรวมข่าวสารของสาวงามแต่ละตระกูล ผลพลอยได้คือกิจการร้านเครื่องหอมของนางก็เจริญรุ่งเรืองตามไปด้วย
“โธ่ ฮูหยินเจ้าคะ สองปีมานี้ยังไม่ชินอีกหรือเจ้าคะ” เสี่ยวเสียงกลั้นหัวเราะ ขณะเดินตามไปข้างกาย
“เมื่อครู่ข้าเห็นนะว่าเจ้าส่งสายตาให้เขา ประเจิดประเจ้อเกินไปหรือไม่ หากใครเห็นเข้า ข้าคงถูกนินทาไม่หยุด” เหมยหลินปรายตามองสาวใช้ กล่าวกล่าวน้ำเสียงประชด
เสี่ยวเสียงเป็นเด็กกำพร้า เคยถูกขายอยู่ในโรงค้าทาส ตอนเหมยหลินเจอครั้งแรก ตัวนางเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ น่าสงสารจนเหมยหลินตัดสินใจไถ่ตัวออกมาเลี้ยงดู
สาวใช้ตัวเล็กรู้ดีว่านายหญิงกำลังประชดนายท่าน นางเองก็อึดอัดใจอยู่ไม่น้อย “แต่นายท่านก็มิเห็นทำอะไร ข้ายั่วยวนตามคำสั่งแล้วแท้ ๆ ยังไม่เรียกข้าเข้าไปรับใช้สักคืน” นี่มันแผนของนายหญิงชัด ๆ แกล้งใช้สาวใช้เป็นข้ออ้าง
หาเรื่องลงไม้ลงมือกับสามี เพราะคันไม้คันมืออยากฟาดเขาอยู่พอดี หากนายท่านมู่เจ๋อหลงกลเผลอเรียกใช้งานขึ้นมาเมื่อไร มีหวังถูกฟาดจนไม่ได้ผงกหัวต่อหน้าผู้ใดแน่
ขณะที่เดินกำลังจะออกจากเรือน เหมยหลินทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง แสงแดดยามสายสาดกระทบใบหน้าจนเกิดเงาเล็ก ๆ บนแก้ม
นางยกพัดขึ้นเคาะฝ่ามือตัวเองเบา ๆ คล้ายจะกลั้นอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่าน ภายในอกร้อนรุ่มจนอยากระบายกับใครสักคน สองเท้าก้าวช้า ๆ แต่แน่วแน่ ดวงตาฉายแววเจ้าเล่ห์และคุกรุ่น “ก็นั่นน่ะสิ คันไม้คันมือจะแย่อยู่แล้ว”
หลังจากเหมยหลินลับกายออกจากจวน แม่นมสวีก็ก้าวออกมาจากหลังฉากกั้น “นายท่าน... วาจาของนายหญิงน้อยช่างเผ็ดร้อนยิ่งนัก คนแก่เยี่ยงข้า ฟังแล้วแทบหายใจไม่ทั่วท้อง”
ถ้อยคำเพียงไม่กี่ประโยคกลับสะท้านถึงกระดูก นางไม่คาดคิดเลยว่า นายหญิงน้อยจะร้ายกาจถึงเพียงนี้ เพียงเปิดปาก ก็สยบความเคลื่อนไหวของนายท่านได้ในพริบตา ช่างน่าเกรงขามนัก
มู่เจ๋อทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้ สีหน้าเครียดขึงดุจพายุสะสม “ท่านก็เห็นแล้ว...ว่านางร้ายเพียงใด อีกไม่นาน ตระกูลมู่คงตกอยู่ใต้เงานางโดยสิ้นเชิง” แววตาเขาฉายเพลิงโทสะ ร้อนแรงจนดูคล้ายพร้อมจะปะทุในยามใดก็ได้
“หนทางรอดมีเพียงให้นายหญิงตั้งครรภ์เจ้าค่ะ ยามนั้นไม่ว่าท่านจะกล่าวสิ่งใด นางก็คงต้องโอนอ่อนผ่อนตาม” แม่นมสวีรีบใช้น้ำเย็นเข้าลูบ คล้ายหวังดับเพลิงโทสะในใจนายท่าน
นางเองก็เฝ้าปรารถนา หากสิ้นลมลงในวันหน้า อย่างน้อยก็อยากได้เห็นทายาทแห่งตระกูลมู่สักครั้ง หากเป็นแฝดชายหญิงไซร้ ย่อมเป็นมงคลยิ่งนัก
“นางดื้อรั้นถึงเพียงนี้ หากมีลูกกับนาง ลูกของข้าก็คงแก่นแก้วราวม้าพยศเป็นแน่” เขากัดฟันแน่น ไม่มีทาง! เขาไม่มีวันยอมมีลูกกับนางเด็ดขาด สตรีอันใดช่างบ้าบิ่นปานนั้น ข่มขู่สามีไม่เว้นแต่ละวัน เจอหน้าก็จิกกัด วาจาไม่เคยรื่นหูแม้แต่คราเดียว
แม่นมสวีนั่งลงบนเก้าอี้ ยื่นมือเหี่ยวย่นมากุมมือเขาเบา ๆ “นายท่านเจ้าคะ... บ่าวก็แก่แล้ว จะอยู่รับใช้ได้อีกสักกี่ปี ก่อนนายหญิงผู้เฒ่าจะจากไป ท่านกำชับบ่าวไว้หนักแน่น ว่าไม่ว่ายังไร นายท่านต้องมีทายาทไว้สืบสายตระกูล”
เขายังยืนกรานหนักแน่น สายตาแน่วแน่ คนที่เขารักคือหลิวหลี ไม่ใช่นางปีศาจพ่นไฟผู้นั้น “แต่ว่าข้าอยากแต่งกับหลิวหลีนี่นา หากจะมีลูก ข้าก็อยากมีกับผู้หญิงที่ข้ารัก”